เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “น้าจ้าว ผู้น้อยจะพาอาหลี่และพวกเจี้ยนอันกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
กลางดึก ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางท้องฟ้า บนถนนสายหลักในยามนี้ไม่มีรถม้าคันอื่นเลย มีเพียงรถม้าสองคันของตระกูลเจียงที่มีองครักษ์แปดนายคอยคุ้มกันวิ่งอยู่บนถนน มุ่งหน้าไปสู่เมืองเยี่ยน
ภายในรถม้าคันแรกค่อนข้างโคลงเคลง เจียงชิงอวิ๋นนั่งขัดสมาธิ หลับตาทำสมาธิ ส่วนลุงฝูที่อยู่ข้างๆ พยายามเบิกตาอันพร่ามัวของตนมองไปที่ผ้าม่านหนาๆ ของรถม้า ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ลมหนาวพัดมาปะทะกับผ้าม่าน หน้าต่าง และหลังคาจนเกิดเสียงดังราวกับมีมือของคนนับไม่ถ้วนกำลังเคาะเกวียนอย่างรุนแรง ความมืดมิดยิ่งทำให้ทวีความน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน
รถม้าคันที่สองก็โคลงเคลงมากเช่นเดียวกัน หลี่หรูอี้นั่งพิงแขนหลี่ซานหลับไปแล้วพักใหญ่
ในฐานะที่หลี่เจี้ยนอันเป็บุตรชายคนโตไหนเลยจะหลับลงได้ เขามองหลี่หรูอี้เป็ระยะ คิดในใจว่า เกวียนโคลงเคลงเพียงนี้น้องสาวก็ยังหลับลง ช่างมีจิตใจหนักแน่นจริงๆ
คนที่นอนไม่หลับยังมีหลี่ซานอีกคนหนึ่ง เมื่อครู่ตอนที่เขารับปากอีกฝ่ายยังรู้สึกมีความสุขเป็อย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว หากบุตรีสุดที่รักรักษาอาการป่วยของหลานชายเจียงชิงอวิ๋นไม่ได้ ครอบครัวตนจะทนรับผลที่ตามมาไหวหรือ
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด รู้เพียงว่ารถม้าโคลงเคลงจนก้นของหลี่เจี้ยนอันเจ็บระบมไปหมดแล้ว ส่วนหลี่หรูอี้ก็ตื่นระหว่างทางถึงสามรอบ ในที่สุดก็มาถึงประตูเมืองเยี่ยน
ตอนนี้เป็เวลาปลายยามจื่อ[1]แล้ว เมืองเยี่ยนอยู่ใน่เวลาห้ามออกจากบ้าน ประตูเมืองก็ปิดไปนานแล้ว
ทหารเฝ้าประตูเมืองเดินเข้ามาสอบถาม หัวหน้าองครักษ์ของจวนเจียงมาจากจวนเยี่ยนอ๋อง ในมือแสดงป้ายคำสั่งที่เยี่ยนอ๋องมอบให้เจียงชิงอวิ๋นเอาไว้ “นายท่านของพวกเรามีธุระ้าไปที่จวนอ๋อง น้องชายโปรดเปิดประตูเมืองด้วยเถิด”
แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองรู้จักหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้ และรู้ด้วยว่าเยี่ยนอ๋องเป็ญาติผู้พี่ของเจียงชิงอวิ๋น อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเจียงชิงอวิ๋นเป็อย่างสูง ทว่าจะอย่างไรก็ยังให้ผ่านไปเช่นนี้ไม่ได้ หลังจากตรวจสอบป้ายคำสั่งแล้วจึงจะอนุญาตให้เข้าไปได้
คนของจวนเจียงเข้าประตูด้านข้างของจวนเยี่ยนอ๋อง องครักษ์เฝ้าประตูเห็นว่าเป็เจียงชิงอวิ๋นก็ใไปครู่หนึ่ง คิดว่าเกิดเื่ใหญ่อะไร จนกระทั่งได้ยินลุงฝูกล่าวว่า มาเยี่ยมโจวโม่เสวียน จึงเกิดความสงสัยอีกว่า เหตุใดเจียงชิงอวิ๋นจึงมาตอนกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้
“ไท่เฟยและท่านอ๋องทรงมีรับสั่งไว้ว่า หากนายท่านเจียงมาที่จวนเยี่ยนอ๋องไม่จำเป็ต้องไปรายงาน ให้เข้าจวนไปได้เลย” องครักษ์ของจวนเยี่ยนอ๋องจึงเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป
จวนเยี่ยนอ๋องไม่ได้มีเพียงแค่ประตูเดียว เมื่อผ่านประตูด้านข้างไปแล้วจะต้องผ่านประตูอีกสามบาน กว่าจะไปถึงเรือนที่โจวโม่เสวียนพักอยู่
เจียงชิงอวิ๋นเดินผ่านประตูไปอีกสองบาน จึงได้เข้าสู่พื้นที่ส่วนกลางของจวนเยี่ยนอ๋อง
ั้แ่พื้นที่ตรงนี้ไปไม่สามารถขี่ม้าหรือนั่งเกวียนได้ จะต้องนั่งเกี้ยวไปเท่านั้น
เจียงชิงอวิ๋นมาเยือนดึกๆ ดื่นๆ อีกทั้งไม่ได้มีการแจ้งมาก่อนย่อมไม่มีเกี้ยวให้นั่ง
เขาลงมาจากรถม้า พาลุงฝูและคนบ้านหลี่ไปหาโจวโม่เสวียน ส่วนคนที่เหลือก็ให้บ่าวไพร่ของจวนอ๋องพาไปจัดแจงเื่พักผ่อน
“อย่าได้ทำให้ท่านน้า ญาติผู้พี่ และพี่สะใภ้ใไปเลย ข้าจะไปดูโม่เสวียนสักหน่อย”
หัวหน้ากองทัพส่วนตัวของจวนที่เฝ้าอยู่บริเวณประตูส่วนในของจวนเยี่ยนอ๋องรับปากด้วยท่าทีนอบน้อม “ขอรับ”
ั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้ครอบครัวหลี่ก็ยังไม่รู้เลยว่า ที่นี่ก็คือจวนเยี่ยนอ๋องของเยี่ยนอ๋องโจวปิงผู้มีอำนาจมากที่สุดของฝั่งเหนือ จึงเดินไปเรื่อยๆ ผ่านประตูอีกหลายชั้นที่มีการคุ้มกันอย่างแ่า เพื่อไปวินิจฉัยอาการให้เ้านายของที่นี่ ซึ่งมีอำนาจสูงส่ง
ในขณะที่เจียงชิงอวิ๋นเดินไปเกือบถึงเรือนของโจวโม่เสวียนแล้วก็กระซิบบอกว่า “หลานของข้าผู้นี้แซ่โจว นามว่าโม่เสวียน ปีนี้อายุสิบสองแล้ว หากพวกเ้าพบเขา เรียกเขาว่า คุณชายโจว ก็พอ”
“ขอรับ” พ่อลูกบ้านหลี่รู้สึกใยิ่งนัก ที่แท้หลานชายของเจียงชิงอวิ๋นก็โตขนาดนี้เชียวหรือ
เมื่อครู่หลี่หรูอี้เห็นองครักษ์สวมชุดเกราะหนักๆ หนาๆ ก็คิดว่านายท่านของที่นี่คงเป็แม่ทัพใหญ่ในกองทัพ เมื่อได้ยินเจียงชิงอวิ๋นบอกว่าแซ่โจว ก็เกิดความคิดขึ้นมารางๆ ว่า จะเกี่ยวข้องกับเยี่ยนอ๋องโจวปิงหรือไม่
ลุงฝูพูดกับชายหนุ่มผู้เฝ้าลานเรือนสองคนที่สวมอาภรณ์สีเขียวว่า “นายท่านของข้าได้ยินว่า ท่านชายสุขภาพไม่แข็งแรง จึงออกเดินทางกลางค่ำกลางคืนเพื่อมาเยี่ยมเยียน”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้ายาวกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “นายท่านเจียงมาแล้ว รีบเข้ามาเถิด”
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมเห็นเจียงชิงอวิ๋นก็รู้สึกราวกับพบญาติของตน เขากล่าวด้วยท่าทีตื้นตันใจว่า “นายท่านเจียง ตอนเย็นท่านชายของพวกเราอาการกำเริบ ปวดท้องจนต้องกลิ้งไปมาบนพื้น บ่าวไพร่หลายคนก็กดเขาไว้ไม่อยู่ ต้องให้รัฐทายาท[2]มาตีให้สลบ…”
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมกล่าวเสริมว่า “หมอหลวงและหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองเยี่ยนก็มาตรวจกันหมดแล้ว ล้วนทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ท่านอ๋องส่งคนไปเชิญหมอจากที่ต่างๆ มาแล้วขอรับ”
ลุงฝูกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นายท่าน ตอนที่บ่าวเดินทางออกจากจวนอ๋องในตอนบ่าย ท่านชายยังดีๆ อยู่เลยขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นใจเต้นตึกตัก “ตอนนี้เขาเป็อย่างไรบ้าง”
ทั้งสองกล่าวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เพิ่งหลับไปไม่นานขอรับ”
นี่เป็เรือนห้าลาน ลานแรกเป็ห้องโถง ห้องรับแขก ห้องอาหาร ลานที่สองเป็ห้องนอนและห้องหนังสือ
หมอหลวงทั้งสองของจวนเยี่ยนอ๋องและหมอมีชื่ออีกสิบกว่าคนของเมืองเยี่ยนกำลังวินิจฉัยอาการกันอยู่ที่ห้องโถงในลานแรก เสียงตำหนิที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังแว่วออกมาจากประตูที่ปิดสนิท
“พวกเ้าแต่ละคนบอกว่าตนเองเป็ยอดฝีมือ เหตุใดจึงตรวจไม่ได้ว่าน้องชายข้าป่วยเป็อะไร!”
ชายหนุ่มหน้ายาวกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “รัฐทายาทของพวกเราเฝ้าท่านชายตลอด กระทั่งอาหารเย็นก็มิได้เสวย”
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมกล่าวขึ้นว่า “นายท่านเจียง ท่าน้าเข้าเฝ้ารัฐทายาทหรือไม่”
คนบ้านหลี่เข้ามาที่ประตูลานเรือน เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างเจียงชิงอวิ๋นและชายหนุ่มทั้งสอง ก็คาดเดาฐานะของโจวโม่เสวียนได้แล้ว ในใจรู้สึกสั่นสะท้านเป็อย่างยิ่ง ตอนนี้ยังได้ยินคำว่า รัฐทายาทอีก นั่นไม่ใช่โอรสองค์โตของเยี่ยนอ๋อง ซึ่งก็คือว่าที่เยี่ยนอ๋องในอนาคตหรอกหรือ!
หลี่ซานรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก อาการป่วยของโจวโม่เสวียนหนักมาก ทั้งหมอหลวงและหมอเลื่องชื่อมากมายก็ยังรักษาไม่ได้ หากหลี่หรูอี้ช่วยไม่ได้จะทำอย่างไร รัฐทายาทของเยี่ยนอ๋องจะลงโทษบุตรีสุดที่รักหรือไม่
เดิมทีเจียงชิงอวิ๋นอยากพบโจวจิ่งวั่งเสียก่อนแล้วค่อยไปดูอาการของโจวโม่เสวียน แต่เมื่อได้ยินว่าโจวจิ่งวั่งกำลังบันดาลโทสะใส่หมอหลวงและหมอเลื่องชื่อทั้งหลาย ก็พานกลัวไปว่า หากหลี่หรูอี้รักษาโจวโม่เสวียนไม่ได้จะมีจุดจบเดียวกัน จึงได้พูดไปว่า “ข้าจะไปดูโม่เสวียนเลย ไม่รบกวนจิ่งวั่งแล้ว”
“ขอรับ” ชายหนุ่มทั้งสองเชิญเจียงชิงอวิ๋นและผู้ติดตามเดินเข้าไปยังลานที่สอง
เจียงชิงอวิ๋นและลุงฝูไม่ได้แนะนำครอบครัวหลี่ ชายหนุ่มทั้งสองเห็นครอบครัวหลี่สวมใส่อาภรณ์ธรรมดาก็คิดว่าเป็บ่าวไพร่ของจวนเจียง จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าคนที่อายุน้อยที่สุดในที่นี้จะเป็หมอเทวดาน้อยที่จะมารักษาให้โจวโม่เสวียน
ลานที่สองมีอยู่แปดห้อง สองห้องตรงกลางยังคงมีแสงสว่างเรืองรอง ห้องนอนของโจวโม่เสวียนก็คือหนึ่งในห้องเ่าั้
ตอนนี้โจวโม่เสวียนกำลังนอนหลับสนิท ผู้ที่คอยเฝ้าเขาคือเด็กรับใช้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสองคน
เยี่ยนหวังเฟยสั่งสอนบุตรชายบุตรสาวอย่างเข้มงวด โจวโม่เสวียนอายุสิบสองแล้ว ข้างกายจึงไม่มีสาวใช้อีก
โจวโม่เสวียนมีเด็กรับใช้ติดตามทั้งสิ้นสี่คน พวกเขามีนามว่าโจงตง โจวซี โจวหนาน และโจวเป่ย เป็บ่าวที่เกิดในจวนอ๋อง อายุพอๆ กับโจวโม่เสวียน
พวกเขาเริ่มติดตามโจวโม่เสวียนั้แ่อายุหกขวบ เข้าใจนิสัย ความเคยชินและการใช้ชีวิตของโจวโม่เสวียนเป็อย่างดี
คืนนี้เป็เวรเฝ้าของโจวตงและโจวซี พวกเขากำลังกังวลกับอาการป่วยของโจวโม่เสวียนจนร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อเห็นเจียงชิงอวิ๋นที่สนิทสนมกับโจวโม่เสวียนมาเยือน ก็รีบเข้าไปโค้งตัวคารวะทันที
เจียงชิงอวิ๋นรอให้ชายหนุ่มทั้งสองออกไปก่อน เขาไม่อยากให้ไอเย็นบนร่างของตนไปถูกโจวโม่เสวียนโม่จึงยืนห่างจากเตียงไปสามฉื่อ อาศัยแสงตะเกียงมองอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ รู้สึกว่าโจวโม่เสวียนไม่มีอะไรแตกต่างจากวันวาน เขาทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพูดกับเด็กรับใช้ทั้งสองว่า “คราวนี้ข้าพาหมอเทวดาน้อยมาด้วย ฐานะของเขาค่อนข้างพิเศษ ข้าไม่อยากให้คนนอกรู้ เื่ในคืนนี้ พวกเ้าต้องปิดเป็ความลับให้ดี”
โจวตงและโจวซีได้ยินคำว่า หมอเทวดา ก็รู้สึกว่าหมอเทวดาจะต้องเก่งกว่าหมอหลวงและหมอเลื่องชื่อทั้งหลาย พลันก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง ไม่สนใจว่าหมอเทวดาน้อยเบื้องหน้าจะยังเป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง จึงรีบพยักหน้ารับปากไปทันที “ขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นหันไปเห็นหลี่หรูอี้มีสีหน้าเรียบนิ่ง ลมหายใจสงบ จึงกล่าวไปว่า “หมอเทวดาน้อย เ้ามาตรวจให้หลานข้าเถิด”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามจื่อ คือ 23.00 – 24.59 น.
[2] รัฐทายาท (ซื่อจื่อ/世子) หมายถึง ตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง(อ๋องที่ได้ถวายงานรับใช้ฮ่องเต้) มักเป็บุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้