มู่เทียนอินพยายามััอย่างละเอียด และพบว่ามีพลังชีวิตกำลังหลั่งไหลเข้ามาอย่างช้าๆ โดยมีต้นกำเนิดมาจากกำไลข้อมือที่สวมอยู่
กำไลข้อมือเส้นนี้ทำจากหินผลึกสีม่วง ความใสบริสุทธิ์นั้นซ่อนเร้นเสน่ห์ดึงดูดและความเก่าแก่เอาไว้
ิญญาตนนี้อยู่ในกำไลข้อมือเส้นนี้งั้นหรือ?
“ก่อนหน้านี้จิติญญาของข้ายังไม่สมบูรณ์นัก จึงไม่สามารถใช้พลังใดได้ จนกระทั่งเ้าสิ้นชีวิต ข้าจึงสามารถพาเ้ามาสวมร่างที่เทียนเสวียนได้”
เป็การช่วยนางสวมร่าง เพราะการรวบรวมิญญาของตนให้ครบก็เป็สิ่งที่สำคัญที่สุด
“เสี่ยวอินเอ๋อร์ เ้าควรรีบคิดหาทางรักษาชีวิตตัวเองเสียเถิด ร่างกายของคนผู้นี้อ่อนแอเกินไป และยังถูกบังคับให้สวมร่างอีก... เกรงว่าคงอยู่ได้ไม่นาน"
เยว่เยาพูดจายืดยาวเป็ชุด
ทว่าเมื่อมู่เทียนอินได้ยินประโยคสุดท้าย หน้าก็ถอดสีทันที
“หมายความว่าอย่างไร? เ้าเคยบอกว่าหากข้าตกอยู่ในอันตรายจะช่วยกันไม่ใช่หรือ ข้าทำภารกิจมาสิบสามปีแล้ว แต่เ้ากลับทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่น”
“ยามนี้ข้าตกที่นั่งลำบาก เ้ากลับช่วยนำิญญามาสวมร่างต่อชีวิต แต่ร่างนี้กลับก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในโลงศพแล้ว!”
มู่เทียนอินรู้สึกโกรธมาก ิญญาตนนี้ช่างคุยโวโอ้อวดเก่งเป็ที่หนึ่งเสียจริง
เอาแต่คุยโม้อยู่ตลอดทั้งวันว่าในอดีตเคยเก่งกาจเพียงไหน เป็ผู้นำของโลกเซียน
แสร้งว่ามีพลังเทพที่เก่งกาจเกินจะบรรยาย นางฟังจนเบื่อแล้ว
ทว่าผลลัพธ์เป็อย่างไรล่ะ?
ิญญาของนางมาสวมร่างของคนใกล้ตาย
และยังถูกวางยาทันทีที่มาถึง...
“เช่นนั้นเ้าก็จงตั้งใจฝึกฝนจิติญญาเสียสิ! เมื่อเ้าเป็ยอดฝีมือ ทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขไม่ใช่หรือ?”
เยว่เยารู้สึกถึงความโกรธแค้นที่อยู่ในใจนาง เสียงจึงอ่อนลงเล็กน้อย
มันก็ไม่ได้อยากจะอ่อนแอหรือไร้ค่าถึงเพียงนี้นี่
ความจริงแล้ว เงื่อนไขในสวมร่างต่อชีวิตเข้มงวดเกินไปไม่ใช่หรือ
ในเวลานี้ ความทรงจำทั้งหมดในหัวของมู่เทียนอินได้รวมเข้าเป็หนึ่งเดียวกันแล้ว
ตัวตนที่แท้จริงของร่างนี้คือคุณหนูสามที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนแม่ทัพมู่ ซึ่งเป็หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของแคว้นมู่สุ่ย
ร่างกายอ่อนแอและป่วยออดๆ แอดๆ มาั้แ่เด็ก เป็คนไร้ตัวตนในจวน
โลกนี้เรียกว่าทวีปเทียนเสวียน เป็โลกที่ให้ความสำคัญกับวรยุทธ์ ความแข็งแกร่งเป็ตัวกำหนดสถานะและอำนาจ
หากไม่นับรวมบุคคลที่ร่างกายอ่อนแอเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่จะฝึกยุทธ์มาั้แ่วัยเยาว์ และเมื่อฝึกฝนไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะถูกเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์
ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพร์จะสามารถปลดปล่อยพลังพิเศษที่เรียกว่า ‘พลังิญญา’ ได้
พลังิญญาสามารถเสริมสร้างร่างกายและปรับรูปร่างได้ เมื่อผ่านการฝึกฝนร่างกายอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สามารถมีพลังมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาร้อยเท่าพันเท่า หรือแม้แต่หมื่นเท่า!
ผู้ฝึกจะต้องเริ่มฝึกฝนจิติญญาขั้นพื้นฐานสิบระดับ
ต่อมาแบ่งออกเป็ขอบเขตการฝึกตนสิบเอ็ดระดับ แต่ละระดับมีห้าขั้น ระดับิญญาขาว ระดับิญญาสีชาด ระดับิญญามรกต ระดับิญญาสีคราม ระดับิญญาอินทนิล ระดับหลอมโอสถ ระดับจิตแรกเริ่ม ระดับถอดจิต ระดับจิตว่างเปล่า ระดับจิตลึกล้ำ และระดับจิตหลุดพ้น
“การฝึกฝนจิติญญาต้องใช้พร์ แต่ร่างกายอ่อนแอมากเช่นนี้ เ้ามีวิธีบ้างหรือไม่?”
มู่เทียนอินขมวดคิ้ว
การใช้กำลังนั้นตรงใจนางพอดี
ทว่าด้วยร่างกายเล็กจ้อยที่ยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเช่นนี้ จะมีพร์ใด?
“อะแฮ่ม ร่างกายเป็เช่นนี้เพราะพิษ ข้ามีวิธีรักษา แต่ขาดสมุนไพร”
เยว่เยาได้ตรวจสอบร่างกายของนางมาก่อนหน้านี้แล้ว
โครงสร้างกระดูกเล็กบาง ไม่สามารถเค้นพลังิญญาออกมาได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ถูกเรียกว่า...คนไร้ประโยชน์
“เ้าใช้พลังวิเศษได้ไม่ใช่หรือ? หลอกอีกแล้วใช่หรือไม่?”
มู่เทียนอินขมวดคิ้วมุ่น
ในตอนแรกยังอวดอ้างพลังวิเศษของตนอย่างใหญ่โต ยามนี้ยังคงทำได้เพียงหลอกลวงผู้อื่นเช่นเดิมงั้นหรือ?
“ใครหลอกเ้ากัน! กำไลสีม่วงที่ข้อมือของเ้ามาจากยุคา ตราบใดที่เ้ากลายเป็ผู้ฝึกตนและทำสัญญากับสมบัติโบราณชิ้นนี้ รับรองว่าจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน!”
เมื่อเยว่เยาเห็นว่านางยังคงสงสัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงชี้ไปที่กำไลข้อมือของนางเพื่อแก้ต่าง
"ร้อน ร้อนมาก..."
ต้องกลายเป็ผู้ฝึกตนอีกหรือ คิดหาวิธีเอาชีวิตรอดก่อนเถอะ
มู่เทียนอินกลอกตา ทว่าก็รู้สึกถึงความร้อนแปลกประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างฉับพลัน
“เสี่ยวอินเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป? เฮ้ เหตุใดเส้นลมปราณของเ้าจึงเปิดขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ล่ะ?”
เมื่อเยว่เยาเห็นว่าผิวของนางแดงก่ำจึงรีบตรวจสอบทันที ทว่ากลับพบสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ
ร้อนมาก เหมือนร่างกายจะละลายเลย
มู่เทียนอินกัดฟันอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายตัว
เมื่อความร้อนนี้เกิดขึ้น ร่างกายที่เคยอ่อนล้ากลับค่อยๆ มีพลังงานลึกลับเกิดขึ้นมา
“เ้า...เ้ามีพลังิญญาขึ้นมาได้อย่างไรกัน?”
เห็นได้ชัดว่าเยว่เยาใและสับสนไม่น้อย
มู่เทียนอินรู้สึกศีรษะหนักอึ้ง ทว่ายังคงจดจำความรู้สึกร้อนรุ่มนี้ได้
เมื่อคืนนี้นางกัดลงบนไหล่ของคนผู้นั้น เืของเขามีอุณหภูมิร้อนจัดผิดปกติราวกับถูกไฟลวก
คนผู้นั้นเป็ใครกันแน่?
เพียงเืไม่กี่หยด ก็ทำให้นางสามารถเค้นพลังิญญาออกมาได้
“เมื่อคืนเ้าคงไม่ได้รับประโยชน์อะไรมาจากคนผู้นั้นใช่หรือไม่?”
ในขณะที่มู่เทียนอินเต็มไปด้วยความสงสัย ทันใดนั้นเยว่เยาก็พึมพำขึ้นมาหนึ่งประโยค
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเป็น่าเกลียดอย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อคืน เ้าอยู่ที่นั่นตลอดเลยหรือ?”
เสียงของนางฟังดูเหมือนการพูดลอดไรฟัน สายตาเต็มไปด้วยความอันตราย
“ข้าหลอมรวมจิติญญาอยู่ตลอด เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นเ้ากำลังขโมยสิ่งของของคนผู้นั้น คนผู้นั้นไปทำสิ่งใดให้เ้าขุ่นเคืองกัน?”
มันรอคอยมานานแสนนาน ในที่สุดก็รวบรวมิญญาครบแล้ว
จะมีเวลาสนใจนางได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม โอสถที่นางขโมยมานั้น เพียงมองก็รู้ว่าไม่ใช่โอสถธรรมดา อาจเป็เพราะเหตุนี้นางจึงทำให้นางมีพลังิญญาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เพียงคนตัณหากลับผู้หนึ่งเท่านั้น เ้าคิดว่าอย่างไร?”
มู่เทียนอินรู้สึกโล่งใจ เพียงให้คำอธิบายที่คลุมเครือเท่านั้น
“เ้าคนตัณหากลับผู้นี้ค่อนข้างร่ำรวยเลยทีเดียว เราช่างโชคดีเสียจริง ในเมื่อเ้ามีพลังิญญาแล้ว เช่นนั้นก็รีบไปเริ่มกระบวนการขัดเกลาเสียเถอะ”
เยว่เยาไม่สงสัยเขา เพียงแต่กระตุ้นด้วยความตื่นเต้น
“การขัดเกลา คืออะไรกัน?”
มู่เทียนอินใเล็กน้อย
“แม้เ้าจะมีพลังิญญาแล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนแอเกินไป จำเป็ต้องชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ ฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาได้อย่างเต็มที่”
เยว่เยาอารมณ์ดีอย่างมาก และอธิบายอย่างละเอียด
“เื่นี้ถือเป็ความสามารถพิเศษของข้าเลย เ้าไม่ได้บอกว่าข้าชอบพูดจาโอ้อวดหรอกหรือ? วันนี้ข้าจะแสดงให้เ้าเห็นเอง”
มู่เทียนอินพยักหน้า คล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ
เดิมทีร่างกายนี้อ่อนแอและเจ็บป่วยบ่อยจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ในลานลึก และไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับการฝึกฝนจิติญญาสักเท่าใด
เยว่เยาหยิบโอสถทั้งหมดที่นางขโมยมาไป
หลังจากบดจนได้ที่แล้วจึงเทลงในอ่างอาบน้ำ และให้นางแช่น้ำสมุนไพรทุกคืน
มู่เทียนอินเห็นการแสดงฝีมือของมันเป็ครั้งแรก จึงลองทำด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่คาดคิดว่าเพียงแช่ตัวให้ยาซึมเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ลมปราณไหลเวียนหมุนวนไปตามเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง
นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาก พลังิญญาก็เพิ่มขึ้นจากระดับหนึ่งไปสู่ระดับสิบอย่างรวดเร็ว
จะใช้คำว่าเปลี่ยนแปลงจนเสมือนได้เกิดใหม่มาอธิบายก็คงไม่เกินไปนัก
มู่เทียนอินหมกมุ่นอยู่กับการแช่ยาและฝึกฝนทุกวัน แม้จะมีเื่ราวใหญ่โตเกิดขึ้นภายนอกก็ยังไม่ล่วงรู้
…
คืนนั้น มู่เทียนอินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในอ่างอาบน้ำ
ของเหลวสีเขียวอ่อนในอ่างอาบน้ำมีควันบางๆ ลอยขึ้น ควันนั้นลอยไล่ขึ้นไปตามส่วนเว้าโค้งของร่างหญิงสาว
สุดท้ายก็หลอมรวมเข้ากับเส้นลมปราณ และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของนางทั้งหมด
ร่างกายของนางค่อยๆ ถูกเติมเต็ม ความรู้สึกอบอุ่นและสบายตัวทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
ทันใดนั้นก็มีร่างเงาปรากฏขึ้นตรงหน้า
มู่เทียนอินใ จึงรีบหลบลงไปซ่อนตัวในน้ำทันที
นิ้วเรียวขยับไปมา ทำให้น้ำกระเซ็นไปยังผู้ที่เข้ามาใกล้ จากนั้นจึงรีบหยิบเสื้อผ้ามาห่อหุ้มร่างกาย
คนผู้นั้นไม่ได้ลงมือทำอะไร เพียงเฝ้ามองนางอย่างเงียบเชียบ
มู่เทียนอินก้มลงมองตัวเอง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนสำคัญถูกปิดไว้อย่างมิดชิดแล้ว
จากนั้นจึงค่อยๆ หันไปมองคนที่เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีดำ โดยสวมหน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้าส่วนใหญ่ ทว่ามู่เทียนอินก็สามารถจำเขาได้ทันทีที่เห็น!
“กล้าบุกเข้าจวนตระกูลมู่ในยามค่ำคืนเช่นนี้ ช่างกล้าเสียจริง!”
มู่เทียนอินลอบบ่นในใจ
เืเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้คนใกล้ตายสามารถเค้นพลังิญญาออกมาได้ คนผู้นี้ต้องมีตัวตนไม่ธรรมดาเป็แน่
ทว่าภายนอกดวงตาของนางกลับมีน้ำตาคลอหน่วย ดูน่าสงสาร
ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่พยายามทำเป็เข้มแข็งนั้นไม่สามารถซ่อนความตื่นตระหนกได้ ราวกับคุณหนูอ่อนแอที่ถูกคนสารเลวรังแก
นางจำเขาไม่ได้จริงๆ
หรือแสร้งทำเป็ไม่รู้จักเพื่อหลบเลี่ยงกัน?
ทว่าสตรีที่ขโมยเคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิและโอสถผลึกวารีจะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดได้อย่างไร
“ใครก็ได้ ช่วย...” ด้วย
มู่เทียนอินเห็นว่าเขาจ้องตนไม่หยุด นางจึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสร้งโง่ให้ถึงที่สุด นางจึงอ้าปากะโ
ทว่ายังไม่ทันจะได้ส่งเสียง
กลิ่นหอมเย็นลอยเข้ามาปะทะจมูก มาพร้อมกับความร้อนรุ่มที่คุ้นเคยจนทนไม่ไหว
อืมอ๊ะ...หน้าอก...หน้าอกมันคันมาก...
ภายใต้เสื้อผ้าบางที่ปกคลุมร่างกายของหญิงสาวราวกับถูกกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ในขณะนั้นไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้
ริมฝีปากอ่อนนุ่มสั่นระริกเล็กน้อย มู่เทียนอินร้องครวญครางออกมาอย่างอดไม่ได้
ระหว่างขาถูกหนีบแน่น มีกลีบดอกสีแดงอ่อนสองกลีบแบะบานออกเล็กน้อย ภายในมีหยาดหยดน้ำใสไหลซึมออกมา
ร่างกายที่ขาวนวลของมู่เทียนอินแดงก่ำและร้อนรุ่ม ใบหน้าอ่อนเยาว์ของนางแดงซ่านไปด้วยความอับอายและความโกรธเคือง
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นเพียงเข้ามาใกล้
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของนางกลับเบ่งบานออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ แม้กระทั่งความหิวกระหายก็รุนแรงจนแทบจะทนไม่ไหว
ในขณะนี้ คนผู้นั้นก็ยื่นนิ้วเรียวขาวมาเชยคางนางขึ้น
ก้มศีรษะลงจุมพิตอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
"อื้อ..."
ขณะที่ริมฝีปากััและประกบกันแนบสนิท ความชาวาบที่แปลกประหลาดก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ
แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีบรรยากาศเ็าและนิ่งสงบ ทว่ากลับทำให้เกิดความรู้สึกกระวนกระวายและร้อนรุ่มมากยิ่งขึ้น
เสียงที่ทั้งเขินอายและโกรธเคืองของมู่เทียนอิน เปลี่ยนเป็เสียงหอบหายใจ ร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอ่อนยวบ
้า ้าเหลือเกิน...
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวแดงก่ำอย่างผิดปกติ ถูกตัณหาเข้าครอบงำจนราวกับลูกสัตว์ร้ายที่ตัวสั่นใกล้ตาย
ตามด้วยการบดจูบที่ลึกซึ้งและเอาแต่ใจของบุรุษผู้นั้น ทำให้ปลายยอดอกเล็กที่รอการปลดปล่อยแข็งเป็ไตและชูชันขึ้นมา
รูรักระหว่างขามีความกระหายที่้าการเติมเต็ม
ไม่ได้การ นางจะหลงใหลคู่นอนเพียงชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?!
มู่เทียนอินคร่ำครวญด้วยความทรมานออกมาหลายครั้ง แล้วส่ายศีรษะอย่างสิ้นหวัง
ใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมตัวเอง เพื่อไม่ให้ตนโผเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
“ไม่ต้องกลัว จะไม่แตะต้องเ้า”
ภายในใจของนางสับสนและอัดอั้นจนแทบจะะเิออกมา
ทว่าในขณะที่สติเริ่มเลือนรางลง กลับได้ยินเสียงบริสุทธิ์ราวกับหยกเย็น
ซู่หลิงมองไปที่สตรีร่างเล็กที่ดิ้นเร่าอยู่ในอ้อมแขน ประกายในดวงตาเล็กแคบส่องแสงวูบวาบ
นิ้วเรียวยาวเกลี่ยไล้ไปทั่วร่างกายของนาง ราวกับกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง
…
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว
มู่เทียนอินไม่รู้ว่าตนผ่านเดือนนี้มาได้อย่างไร
ั้แ่คืนนั้น คนผู้นั้นก็มักจะปีนขึ้นเตียงมาเป็ระยะ
ไม่ว่านางจะหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด เขาก็มักจะตามหานางเจอเสมอ
มู่เทียนอินเคยอยากพูดคุยกับเขา
ทว่าทุกครั้งที่เขาเข้ามาใกล้ นางจะกลายเป็สตรีมักมากและหื่นกระหายอย่างรุนแรง
โชคดีที่นอกจากครั้งแรกแล้ว บุรุษผู้นั้นเพียงโอบกอดไว้ครู่หนึ่งเท่านั้น
ไม่มีการล้ำเส้นไปมากกว่านี้
เมื่อเื่ราวมันบานปลายมาถึงจุดนี้ แม้แต่คนโง่เขลาก็สามารถมองออกว่าร่างกายของอีกฝ่ายมีบางอย่างผิดปกติ
ในทวีปเทียนซวนมีเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ และมีเคล็ดวิชาชั่วร้ายที่ใช้อีกฝ่ายเป็เตาหลอมอีกด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าอับอายมากเสียจนนางไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ และยังต้องหาทางหลอกล่อปีศาจข้างกายอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้