“ไม่ต้องขายเครื่องประทินผิวพวกนี้ เ้าไปหาคนทำขวดปากกว้างจากหยกเขียวและโมรามาสักชุด รวมถึงทำกล่องไม้แกะสลักจากไม้จินซือหนานมู่ [1] และไม้กฤษณาด้วย บรรจุภัณฑ์ของเครื่องประทินผิวต้องเปลี่ยนใหม่ ข้าต้องใช้ เอาล่ะ เ้าออกไปเถอะ”
“เ้าค่ะ บ่าวขอตัว!” อวิ๋นเหนียงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เดิมทีนางคิดว่าจะใช้เครื่องประทินผิวนี้สร้างผลกำไรมหาศาล แม้จะไม่รู้ว่าฉู่อี้คิดจะทำการใด แต่นางก็ไม่กล้าสอดรู้สอดเห็นความตั้งใจของเ้านาย
หลังจากอวิ๋นเหนียงออกไปแล้ว จางหลิงก็พูดกับฉู่อี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ซื่อจื่อ ตระกูลอวิ๋นนี้ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะธรรมดา แต่กลับมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเลย ก่อนหน้านี้ทางร้านหนังสือส่งข่าวมาว่า บทประพันธ์ของท่านอาจารย์หลานหลิงปรากฏแล้ว ก็เป็พวกพี่น้องตระกูลอวิ๋นที่นำมาส่ง แต่ดูเหมือนว่าอวิ๋นฉี่เยว่พี่ชายคนโตตระกูลอวิ๋น ไม่อยากให้น้องๆ รู้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับท่านอาจารย์หลานหลิง”
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่ากลิ่นนี้คุ้นเคย ที่แท้เขาก็เคยได้กลิ่นนี้จากตัวของอวิ๋นเจียว
จางหลิงได้สืบเื่ราวของครอบครัวอวิ๋นโส่วจงจนกระจ่างแล้ว ดูเผินๆ แล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ตอนเด็กจากบ้านไป พอยี่สิบปีให้หลังก็พาครอบครัวกลับมาตั้งรกรากที่บ้านเกิด แต่ยิ่งดูเหมือนไม่มีพิรุธ ความแปลกในครอบครัวนี้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เครื่องประทินผิวที่แตกต่างจากเครื่องประทินผิวทั่วไป เม็ดยาที่มีสรรพคุณวิเศษ รวมถึงความเกี่ยวข้องระหว่างอวิ๋นฉี่เยว่กับท่านอาจารย์หลานหลิง...
“ท่านอาจารย์หลานหลิงก็คืออวิ๋นฉี่เยว่!”
“จะเป็ไปได้อย่างไรขอรับ? เขาอายุยังไม่ถึงสิบสี่ปีเลยด้วยซ้ำ ท่านอาจารย์หลานหลิงมีชื่อเสียงมาสองปีแล้ว หากเขาคือท่านอาจารย์หลานหลิง แสดงว่าเขาเริ่มเขียนบทประพันธ์ั้แ่อายุสิบเอ็ดปี?” เมื่อได้ยินซื่อจื่อสรุปเช่นนี้ จางหลิงก็อุทานออกมาโดยไม่ทันคิด
ในฐานะคนสนิทของฉู่อี้ แน่นอนว่าเขารู้เื่ราวของร้านหนังสืออยู่บ้าง เพราะไม่ว่าจะเป็ร้านหนังสือหรือร้านฝูหรงเซวียน เ้าของที่แท้จริงก็คือซื่อจื่อของพวกเขา
“ข้าก็อายุแค่สิบสองปี!” ฉู่อี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก
“แต่ท่านเป็ถึงซื่อจื่อ คนอื่นจะเทียบกับท่านได้อย่างไรขอรับ” จางหลิงพูดด้วยเสียงเบา
“เ้าจงจำไว้ อย่าได้ดูถูกผู้ใดเด็ดขาด!” สายตาของฉู่อี้เ็าลง มองจนจางหลิงรู้สึกหนาววาบไปทั้งแผ่นหลัง สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึม ก้มหน้าลงคารวะแล้วเอ่ยตอบ “ขอรับ! บ่าวจะจำคำสอนของซื่อจื่อเอาไว้”
“ไม่ต้องไปสืบเื่ของตระกูลอวิ๋นแล้ว รอให้อวิ๋นเหนียงเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของเครื่องประทินผิวพวกนี้เสร็จ เ้าค่อยนำสิ่งนี้ไปมอบให้คนผู้นั้นที่เมืองหลวงด้วยตัวเอง”
“ขอรับซื่อจื่อ! เช่นนั้นพวกเราต้องส่งองครักษ์ลับมาที่นี่สักหน่อยหรือไม่?” จางหลิงกังวลว่าหลังจากเขาจากไป ความปลอดภัยของฉู่อี้อาจไม่มีหลักประกัน ตอนนี้ข้างกายซื่อจื่อเหลือเพียงหลิวจ้านกับอวิ๋นเหนียง เขาไม่ค่อยวางใจ คนพวกนั้นคิดจะเอาชีวิตซื่อจื่อ ตอนนี้ซื่อจื่อหายตัวไปจากสายตาพวกเขา ทั้งเป็หรือตายก็ไม่มีใครรู้ พวกเขาคงไม่ยอม ปล่อยมือไปง่ายๆ แน่
“หากมีคน้าชีวิตของเ้า ต่อให้มีองครักษ์มากมายก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่างคนผู้นั้นที่เมืองหลวง เมื่อได้รับของสิ่งนี้แล้ว ก็คงไม่ยอมให้ข้าเป็อะไรไปหรอก” เดิมทีตอนที่ฉู่อี้เดินทางมาพักฟื้นที่จวนรับรองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงแห่งนี้ เขาก็พาองครักษ์ติดตามมามากกว่าสิบคน แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งหมดต้องสละชีพเพื่อปกป้องฉู่อี้
จางหลิงรับคำสั่ง จากนั้นก็ออกไปเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง ในห้องเหลือเพียงฉู่อี้ ภาพใบหน้าบึ้งตึงของอวิ๋นเจียวก็ผุดขึ้นในความคิดของเขา มุมปากก็อดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เผยให้เห็นรอยยิ้มงดงามที่แต่งแต้มบนใบหน้า ที่แท้ครอบครัวนี้ ก็มีความเกี่ยวข้องกับเขาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้เป็บทประพันธ์ของท่านอาจารย์หลานหลิง ที่ช่วยให้เขากอบโกยกำไรมหาศาล
ต่อมาก็ช่วยชีวิตเขา แล้วตอนนี้ล่ะ? การปรากฏของเครื่องประทินผิวนี้ เป็การเติมเต็มหรือช่วยเหลือเขาในอีกด้านหนึ่งหรือ?
อวิ๋นเจียวคงคิดไม่ถึงว่า จากหนังสือหนึ่งเล่มกับเครื่องประทินผิวไม่กี่กระปุก จะทำให้ฉู่อี้คิดอะไรไปมากมายขนาดนี้ หลายปีต่อมา ยามอวิ๋นเจียวได้รู้ว่าเครื่องประทินผิวของนางช่วยเหลือฉู่อี้ไว้มากเพียงใด ถึงกับอ้าปากค้างนิ่งอึ้งไปนาน แต่แน่นอนว่า เื่พวกนี้เป็เื่ของอนาคต
หลังจากขายเครื่องประทินผิวและได้เงินมาแล้ว อวิ๋นเจียวก็มอบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงเงินให้อวิ๋นฉี่ซานอย่างใจกว้าง อวิ๋นฉี่เยว่ก็มอบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงเงินให้อวิ๋นฉี่ซาน เพื่อให้เขาไปซื้อเครื่องมือที่ชอบ
อวิ๋นฉี่ซานไม่รู้สึกลำบากใจเลย ไม่ว่าจะเป็เงินจากพี่ชายหรือน้องสาว เขาก็รับไว้โดยไม่ลังเล เพราะเขาคิดว่าพวกเขาเป็ครอบครัวเดียวกัน อีกอย่างในอนาคตหากเขาทำสิ่งดีๆ ออกมาขายได้ราคา เขาก็สามารถแบ่งเงินให้พี่ใหญ่และเจียวเอ๋อร์ได้เช่นกัน
อวิ๋นเจียวชอบนิสัยของอวิ๋นฉี่ซาน เขาเป็คนใจกว้าง ไม่คิดว่าการรับเงินจากน้องสาวเป็เื่น่าอาย เมื่อมีเงินก้อนโตติดตัว อวิ๋นฉี่ซานก็เลือกซื้อของอย่างไม่ลังเล ทุกอย่างต้องดีที่สุด ส่วนเื่ต่อรองราคา มีพี่ใหญ่อยู่ทั้งคน ไม่ต้องให้เขากังวลเอง พวกเขาก็ไม่มีทางถูกเอาเปรียบแน่นอน
อวิ๋นฉี่ซานซื้อเครื่องมือที่เขา้าได้ครบแล้ว นานๆ ทีจะเจอลูกค้าที่ซื้อของเยอะขนาดนี้ ทั้งยังจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว หลงจู๊อารมณ์ดีเป็อย่างมาก เขาหวังว่าลูกค้าเช่นนี้จะกลับมาซื้อของที่ร้านของเขาอีก ไม่เพียงบริการอย่างกระตือรือร้นเป็พิเศษ แต่ยังถามที่อยู่ของพวกเขาอย่างชัดเจน ก่อนจะหารถม้ามาช่วยขนส่งสินค้าของพวกเขาไปให้ที่หมู่บ้านไหวซู่โดยไม่คิดเงิน
ต่อไปก็ซื้อดอกไม้ ซื้อต้นกล้าดอกไม้ ซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ก็ง่ายหน่อย ในเถาเป่ามีเมล็ดพันธุ์อะไรที่หาซื้อไม่ได้ด้วยหรือ อวิ๋นเจียวมาซื้อของพวกนี้ก็เพื่อตบตาคนอื่น ดังนั้นจึงไม่ได้เลือกมากนัก ซื้อแบบส่งๆ ไป จากนั้นก็จ้างรถม้าขนของทั้งหมดไปที่โรงเตี๊ยมที่นัดกับอวิ๋นโส่วจง
ขณะที่พี่น้องสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่ในรถม้า จู่ๆ ม้าที่ลากรถม้าอยู่ข้างหน้าก็ร้องลั่น รถม้าที่กำลังวิ่งอยู่ก็หยุดกะทันหัน ทำให้อวิ๋นเจียวและพี่ชายทั้งสองคนกระเด็นตกจากที่นั่ง โชคดีที่อวิ๋นฉี่เยว่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว รีบปกป้องอวิ๋นเจียว นางจึงไม่ได้รับาเ็ แต่ดอกไม้ที่พวกเขาซื้อมาส่วนใหญ่กระเด็นออกไปนอกรถม้า หล่นกระจายเต็มพื้นไม่เหลือชิ้นดี
เสียงด่าทอของสารถีดังมาจากข้างหน้า อวิ๋นฉี่เยว่กับอวิ๋นฉี่ซานรีบพยุงอวิ๋นเจียวขึ้นมา แล้วตรวจดูอย่างร้อนใจว่านางได้รับาเ็หรือไม่
“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ แต่พวกท่านาเ็แล้ว”
เพื่อปกป้องอวิ๋นเจียว อวิ๋นฉี่เยว่จึงล้มลงไปทั้งตัว ฝ่ามือถลอกจนมีเืไหล ส่วนอวิ๋นฉี่ซาน แก้มด้านซ้ายกระแทกกับโครงไม้ของหลังคารถม้า แก้มบวมปูดขึ้นมาทันที ใต้ตาก็เขียวช้ำ
“บ้าเอ๊ย! ตอนที่ข้ามีเงิน พวกหญิงในหอนางโลมของพวกเ้าก็เอาอกเอาใจปรนนิบัติอย่างดี พอสูบเงินข้าไปจนหมดก็ถีบหัวส่ง! พวกโลภมาก ใจดำ ไอ้ขยะพวกนี้ ขอให้พวกเ้าไม่มีวันตายดี!”
“แล้วก็เ้า ออกมาข้างนอกไม่ดูตาม้าตาเรือ บัดซบ ชนข้าเข้าแล้ว ไม่จ่ายเงินสักแปดสิบหรือร้อยตำลึงเงินก็อย่าหวังว่าจะไปไหนได้!”
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าของพี่น้องทั้งสามคนก็พลันเคร่งเครียดขึ้นทันที เสียงดุด่าโวยวายนี้เป็เสียงของอวิ๋นโส่วจู่!
“เ้าคนผู้นี้พูดจาไม่มีเหตุผลบ้างเลย ทั้งๆ ที่เ้าเป็คนวิ่งมาชนม้าข้าจนใ แถมยังทำให้สินค้าบนรถม้าของข้าตกแตกเสียหาย ข้ายังไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายจากเ้าเลย เ้ากลับมาขู่กรรโชกข้าก่อน!”
สารถีโกรธจนะโเท้าเร่าๆ สินค้าของลูกค้าหล่นลงมาเสียหาย เขาก็ต้องรับผิดชอบ แล้วยังมาเจอนักเลงรีดไถ่อย่างหน้าไม่อายอีก
เมื่อเกิดเื่วุ่นวายบนถนน ผู้คนที่มามุงดูก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสามพี่น้องอวิ๋นเจียวลงจากรถ ก็เห็นอวิ๋นโส่วจู่นอนอยู่บนพื้น กอดเชือกบังเหียนม้าเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้รถม้าเคลื่อนไป
สารถีเองก็กลัวว่าหากม้าพลั้งเท้าเหยียบลงไป อาจเหยียบเขาจนเป็อะไรขึ้นมากจริงๆ จึงไม่กล้าใช้ไม้แข็ง บนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาเต็มไปหมด สองตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ นี่มันตั้งใจหลอกเอาเงินกันชัดๆ ไม่ใช่หรือ?
อวิ๋นโส่วจู่กล้าทำเื่แบบนี้ ช่างเป็ลูกรักที่เถาซื่อฝึกฝนมาเป็อย่างดีจริงๆ !
เมื่อเจอกับคนหน้าไม่อายแบบนี้ ทุกคนต่างก็แนะนำให้สารถียอมความ จ่ายเงินค่าเสียหายแล้วจากไป เพราะคนหน้าไม่อายแบบนี้ ไม่ว่าจะพูดเหตุผลกับเขาอย่างไรก็ไม่เป็ผล เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน อวิ๋นโส่วจู่ก็รู้สึกได้ใจ ปากเขาก็ร้องโอดโอยว่าเจ็บ แต่ในใจเตรียมตัวต่อรองค่าเสียหายกับสารถีแล้ว
“พี่ใหญ่ นั่นไม่ใช่คนที่ขโมยรถม้าของพวกเราไปหรือ? พวกเรารีบไปแจ้งความกันเถิดเ้าค่ะ จะได้จับตัวเขาไปเข้าคุก!”
อวิ๋นโส่วจู่ฝันหวานถึงเงินที่จะได้เข้ากระเป๋าอย่างลำพองใจจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงดังขึ้นอย่างไม่คาดคิด เขาก็สะดุ้งสุดตัว หันไปมองตามเสียงในฝูงชน ก็เห็นอวิ๋นเจียวชี้มาที่เขาแล้วพูดกับอวิ๋นฉี่เยว่
เชิงอรรถ
[1] จินซือหนานมู่ (金丝楠木) เป็ไม้เนื้อแข็งชนิดหนึ่ง มีลายสวยงาม เนื้อไม้มีกลิ่นหอม เป็ไม้ที่มีค่าและหายากในประเทศจีน