ถังชิงอวี่กลับไปยังลานฮ่าวอู๋ด้วยใบหน้างงงวยสงสัย
ฮูหยินถังลุกขึ้นกล่าวอำลาพอดี
“ท่านพี่ ในครัวเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ทานอาหารกลางวันก่อนแล้วค่อยกลับเถอะ” เถาซื่อลุกขึ้นยืน คิดรั้งให้อยู่ต่อ
“ไม่แล้วล่ะ ที่บ้านยังมีธุระ ไม่อยู่ต่อแล้ว... ชิงอวี่ มากล่าวลาท่านน้าเ้าสิ” ฮูหยินถังใบหน้าเ็า ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
ถังชิงอวี่รีบเข้ามาทำความเคารพ
เถาซื่อประคองนางให้ยืนขึ้น แล้วยิ้มส่งไปให้ฮูหยินถัง “ท่านพี่ ท่านอย่าใช้อารมณ์เลย พิจารณาให้มากหน่อย”
“ไว้ข้าหารือกับผู้าุโแล้วค่อยว่ากัน... ชิงอวี่ ไปกันได้แล้ว” ฮูหยินถังวางมาดและเดินนำหน้าออกไป
ถังชิงอวี่ที่ไม่ทราบสาเหตุเื่ราว นางหันไปยิ้มอย่างรู้สึกผิดให้เถาซื่อและรีบตามไป
เถาซื่อถอนหายใจพลางส่ายหน้า ลูกผู้พี่ผู้นี้นิสัยแข็งกระด้างอย่างยิ่ง ช่างเถอะ... หากไม่สำเร็จค่อยหาครอบครัวอื่นให้เหยียนเอ่อร์แล้วกัน
เมื่อฮูหยินถังและถังชิงอวี่ได้ขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้ว ถังชิงอวี่จึงถามขึ้นแ่เบา “ท่านแม่ เมื่อครู่ที่ท่านน้ากล่าว นางให้ท่านพิจารณาเื่อะไรหรือเ้าคะ?”
ฮูหยินถังชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง “พูดจาให้เสียงดังมีพลังหน่อย เอาแต่ขี้ขลาดอยู่ได้ ไปเรียนรู้ท่าทางต่ำต้อยนี้มาจากที่ใด หน้าตาของสกุลถังได้ถูกเ้าทำให้ขายหน้าจนหมดสิ้นนัก”
คำพูดกล่าวได้รุนแรงอย่างมาก ใบหน้าของถังชิงอวี่เปลี่ยนไปเป็สีขาวซีด ชั่วพริบตาเดียวหยดน้ำตาก็เอ่อล้นเต็มเบ้าตา
“ถ้าเ้ากล้าร้อง กลับไปก็ห้ามออกมาข้างนอกหนึ่งเดือน” ฮูหยินถังไม่เกิดความสงสาร กลับดุด้วยเสียงเ็า
ถังชิงอวี่กลัวจนเบิกดวงตากว้าง ไม่กล้าให้หยดน้ำตาร่วงหล่น มารดาของนางพูดเช่นไรทำเช่นนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ทำอะไรตามอำเภอใจแล้วปล่อยผ่านไปได้
เหอะ ฮูหยินถังถลึงตาใส่นางทีหนึ่งแล้วหันหน้ากลับไป ที่เถาซื่อเอ่ยปากออกมานั้นแน่นอนว่านางต้องไว้หน้าแน่ เดิมทีนางเองก็เอนเอียงไปทางเถาเหยียนอยู่แล้ว แต่เป็ท่านป้าผู้นั้นของนางทำพิษเข้า ตอนนี้พวกนางมาขอร้องถึงที่ย่อมเป็เื่ดี แค่ยืดเวลาออกไปสักหน่อย เมื่อทำท่าวางโตใส่จนพอใจแล้วค่อยคุยกันอีกทีก็ไม่สาย
ก่อนจะถึงตอนนั้น นางต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกของยัยลูกน่าตายผู้นี้ก่อน หากแต่งไปแล้วยังทำหน้าตาน่าขันอย่างในใจรู้สึกขมขื่นและไม่ได้รับความเป็ธรรมเช่นนี้อยู่อีก นั่นคงทำให้คนมองเป็เื่ตลกโดยไม่ใช่เหตุเป็แน่
“…ท่านแม่ วันนี้เหมือนข้าจะเห็นคนคุ้นเคยผู้หนึ่งด้วยเ้าค่ะ” กว่าถังชิงอวี่จะเก็บน้ำตากลับเข้าไปได้ไม่ง่ายเลย จากนั้นก็ปรับเป็เสียงสองให้สูงขึ้นและกล่าวออกมา
“ผู้ใด?”
“เอ่อ…” คำพูดขึ้นมาถึงปาก ถังชิงอวี่กลับลังเล
“เมื่อครู่มีท่าทางเสียงสองคล่องแคล่ว เหตุใดก็เริ่มอึกๆ อักๆ ขึ้นมาอีกแล้ว?” ฮูหยินถังถลึงตามองด้วยความฉุนเฉียวพวยพุ่งขึ้น
ถังชิงอวี่หวาดกลัวจนรีบกล่าวขึ้นทันที “เหมือนจะเป็หลัวจิ่งจากสกุลหลัวผู้นั้นเ้าค่ะ”
หลัวจิ่งจากสกุลหลัว? ฮูหยินถังชะงักงัน ทันทีหลังจากนั้นครุ่นคิดขึ้น พร้อมกับสีหน้าได้เปลี่ยนไปฉับพลัน
“เ้าเห็นที่ไหน?”
เสียงเปลี่ยนไปเล็กแหลมขึ้น
“…ที่ ในจวนกั๋วกงเ้าค่ะ” ถังชิงอวี่ตัวสั่น รีบตอบทันที
เห็นหลัวจิ่งในจวนกั๋วกง? สายตาฮูหยินถังทั้งตื่นตระหนกทั้งเกิดความสงสัยไม่นิ่ง
“เ้าไม่ได้มองผิดแน่นะ?”
“…น่าจะไม่ผิดเ้าค่ะ เขาหน้าตาเหมือนกับตอนเด็ก ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก” ถังชิงอวี่นึกย้อนกลับไปคิดอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แน่ใจว่าตนเองมองไม่ผิดแน่
บุตรชายคนเล็กของหลัวเจวี้ยนยังมีชีวิตอยู่หรือ? เข้าออกจวนของเจิ้นกั๋วกงด้วย? สีหน้าฮูหยินถังปรวนแปรไปมาไม่มั่นคง
ขณะที่สกุลหลัวประสบกับการถูกค้นบ้านยึดทรัพย์สังหารทั้งครอบครัว จวนสกุลถังทั้งไร้ความสามารถและไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ ภายหลังแม้แต่คนรับใช้เก่าที่รู้ว่าทั้งสองสกุลมีสัญญาหมั้นหมายปากเปล่ากันก็ถูกส่งไปอยู่ที่อื่น เพราะไม่้าถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสกุลหลัวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็ผู้สมคบคิดฏ
แม้ตอนนี้องค์ไท่จื่อจะสิ้นพระชนม์แล้ว แต่สกุลหลัวยังแบกรับโทษสมคบคิดการก่อฏอยู่ หาก้ากอบกู้ชื่อเสียง ไม่ใช่เื่ที่จะทำสำเร็จได้ภายในวันเดียวเลย
อีกอย่าง ต่อให้พวกเขาสามารถพลิกกลับมาได้ จวนสกุลถังก็ไม่สามารถให้ชิงอวี่แต่งกับหลัวจิ่งได้ เพราะในยามนั้นที่ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ก็เป็การตัดสินใจแล้วว่าสองสกุลไม่มีวาสนาต่อกัน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ไม่มีวงศ์ตระกูลคอยปกป้อง ยังจะมีอนาคตอะไรได้อีก
ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ฮูหยินถังก็ได้ทำการตัดสินใจทันที ต้องรีบตกลงเื่การแต่งงานของชิงอวี่แล้ว
แต่ท่านป้ารู้ว่าสกุลถังและสกุลหลัวมีสัญญาหมั้นหมายปากเปล่ากัน ด้วยเหตุนี้วันนั้นจึงได้หยิบยกเื่นี้มาเอ่ยขึ้น ตามหลักแล้วเถาซื่อน่าจะรู้เช่นกัน แต่เหตุใดในเมื่อหลัวจิ่งเข้าออกอยู่ที่จวนกั๋วกง แล้วนางยังมาขอแต่งงานให้หลานชายอีกนะ? เป็การไม่สนใจสัญญาหมั้นหมายปากเปล่านั้นจริงๆ หรือ?
ฮูหยินถังไม่เข้าใจเล็กน้อย
ฮูหยินกั๋วกงเถาซื่อไม่ทราบว่าหลัวจิ่งอยู่ภายในเขตที่พักอาศัยของตนเองจริงๆ
หลังจากหลัวจิ่งไปพบเจิ้นกั๋วกงแล้วก็มุ่งตรงไปยังลานอันหวาทันที ั้แ่ต้นจนจบไม่ได้เข้าพบฮูหยินกั๋วกงเลย
อีกทั้งเถาซื่อก็ไม่ได้บอกเื่จะสู่ขอถังชิงอวี่ให้ผู้เป็หลานชายแก่เจิ้นกั๋วกงฟังด้วย อย่างไรเสียก็เป็เื่ของทางบ้านฝ่ายมารดาของนาง การหยิบทุกเื่ไปรบกวนนายท่านกั๋วกง จะทำให้เขาเป็ทุกข์กับเื่ทางบ้านฝ่ายบิดามารดาของนางไปเปล่าๆ
เจิ้นกั๋วกงก็ไม่ได้บอกเื่ที่หลัวจิ่งช่วยชีวิตเซียวจวิ้นให้เถาซื่อฟังเช่นกัน ในฐานะที่หลัวจิ่งเป็ผู้รอดชีวิตของสกุลหลัว หากเื่ถูกใส่ร้ายป้ายสียังไม่มีการพลิกกลับมาได้ ควรเก็บเขาไว้เงียบๆ จึงจะเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด
หากเถาซื่อรู้ว่าหลัวจิ่งเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเซียวจวิ้นไว้ เช่นนั้นนางย่อมไม่มีทางสู่ขอถังชิงอวี่ให้กับผู้เป็หลานชายอย่างแน่นอน
บางครั้งโชคชะตาก็ล้อคนเล่นเช่นนี้...
...หลัวจิ่งมองเจินจูที่สองมือกอดอก ใบหน้าบูดบึ้ง ทำให้เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ทำไม... นางถึงมีท่าทางโกรธเคืองได้?
ผิงอันถูกเจินจูสั่งให้ไปเฝ้าอยู่ข้างประตูห้องโถง ส่วนนางกับหลัวจิ่งเข้ามาภายในห้อง
“เป็อะไรไป? ยังดีๆ อยู่เลย ผู้ใดทำให้เ้าโกรธเคืองเข้าหรือ?”
หลัวจิ่งยกมุมปากยิ้มและเดินไปข้างหน้าเข้าใกล้นาง
เจินจูรีบถอยหลังเล็กน้อย เงยใบหน้าเล็กขึ้นมองเขา “หึๆ เ้าว่าผู้ใดล่ะ?”
ในหัวของหลัวจิ่งโลดแล่นอย่างรวดเร็ว คิดถึงความเป็ไปได้ที่เขาจะทำให้นางโกรธเคืองเข้า
อืม... เหมือนจะไม่มีนะ เว้นเสียแต่เื่นั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนางเลย
“เจินจู เ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?” เขาเดินเข้าใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว
“เชอะ... นี่ไม่ใช่การเข้าใจผิดหรอก แต่เป็เื่บนแผ่นเหล็กตอกตะปู [1] ข้าบอกเ้าไว้เลยนะ หากสารภาพออกมาโทษหนักจะเป็เบา หากปฏิเสธจะถูกลงโทษสถานหนักอย่างเดียว” นางฮึดฮัดถลึงตาใส่เขา
“…”
สารภาพอะไร? หลัวจิ่งหรี่ดวงตา นี่เขาตกข่าวสำคัญอะไรไปใช่หรือไม่?
สองสามวันมานี้จวนของเจิ้นกั๋วกงมีเพียงอู๋ซื่อมารดาของฮูหยินกั๋วกงเท่านั้นที่มาเยี่ยมเยือน
เอ๊ะ เขาคิดขึ้นได้แล้ว อู๋ซื่อปฏิเสธข้อเสนอของฮูหยินถัง ที่ไม่ให้หลานชายของตนแต่งกับถังชิงอวี่มาเป็ภรรยา นางต้องเอาเื่นี้มาบอกแก่ฮูหยินกั๋วกงแน่ แล้วเจินจูคงได้ยินเข้าพอดี
ใบหน้าของหลัวจิ่งชะงักแข็งทื่อจนกลายเป็ก้อนน้ำแข็ง
เขาลืมไปได้อย่างไร ฮูหยินกั๋วกงเป็ลูกพี่ลูกน้องกับฮูหยินถัง สองสกุลล้วนเป็ญาติกันนี่
“…เอ่อ เจินจู เื่นี้... ข้าอธิบายได้” หลัวจิ่งรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว
เจินจูเลิกคิ้วงามขึ้น แสดงท่าทางว่าข้ารอเ้าอธิบายอยู่
ั์ตาสีดำสนิทลึกซึ้งของหลัวจิ่ง สะท้อนเงาท่าทางน่ารักเชิดหน้าเลิกคิ้วของนางออกมา อีกนิดเขาแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่จนต้องยิ้มออกมาแทน โชคดีที่เขายั้งไว้ทัน ไม่เช่นนั้นอาจทำให้นางโมโหและเขาจะไม่ได้รับการให้อภัยจากนางจริงๆ
เขาปรับสีหน้าเล็กน้อย อธิบายความเป็มาของเื่สกุลหลัวกับสกุลถังั้แ่ต้นจนจบหนึ่งรอบ และยังเน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่าเป็สัญญาปากเปล่าของผู้าุโสองคนที่กล่าวออกมาหลังดื่มสุราจนมึนเมา ไม่ได้ตกลงอย่างเป็ทางการ บิดามารดาทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ยอมรับ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบเื่นี้
“อ้อ เช่นนั้นเหตุใดมารดาของฮูหยินกั๋วกงจึงทราบได้ล่ะ?” เจินจูมองเขาราวกับยิ้มและไม่ยิ้ม
“…อืม คงเป็มารดาของนางกับฮูหยินใหญ่สกุลถังสนิทสนมกันกระมัง”
หลัวจิ่งก้าวไปข้างหน้าต่ออีกก้าว เข้าไปใกล้นางและยื่นมือออกไปยึดนางมาไว้ในอ้อมกอด
เ้าหมอนี่ เจินจูดันเขาออกด้วยความโมโห ทว่าไม่สามารถดันออกได้ ทั้งยังถูกเขาโอบกระชับไว้แน่นขึ้นไปอีก
“เ้าปล่อยข้านะ!”
“ไม่ปล่อย!”
“ปล่อยข้า!”
“ไม่ปล่อย!”
“…”
เ้าคนหน้าหนานี่ เจินจูทุบตีแผงอกของเขาอย่างทั้งขัดเขินทั้งหงุดหงิด แต่กลับถูกหลัวจิ่งรวบไว้ด้วยมือข้างเดียว
“ข้ากับนางไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันทั้งนั้น เ้าอย่างโกรธเลย สี่ปีก่อนครอบครัวนางเลือกที่จะไม่ให้ความใส่ใจต่อสกุลหลัว ท่าทีเช่นนี้ก็รู้ได้แล้วว่ากลัวเกี่ยวโยงกับสกุลหลัว ต่อให้ตอนนี้ข้าไปปรากฏอยู่หน้าประตูบ้านนาง สกุลถังก็ไม่มีทางให้ถังชิงอวี่แต่งกับข้าแน่นอน”
เมื่อเขากล่าวออกมา ใบหน้าของเจินจูเย็นเยียบขึ้นทันที นางเงยหน้าจ้องเขา “ทำไม? ความหมายของเ้าคือไม่สามารถแต่งกับถังชิงอวี่ได้ จึงรู้สึกเสียดายมากงั้นหรือ?”
“…ไม่ใช่สิ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เ้าอย่าบิดเบือนความหมายของข้า” หลัวจิ่งรีบปัดข้อกล่าวหาทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
“เหอะๆ ทำไมข้าถึงฟังออกมาเป็ความหมายนี้ได้ล่ะ? สกุลถังไม่มีทางให้ถังชิงอวี่แต่งกับเ้าแน่นอน? เช่นนั้นหากสกุลถังให้เ้าแต่งงานกับถังชิงอวี่จริงๆ เ้าก็จะแต่ง... ใช่หรือไม่?”
“…ไม่ ต่อให้สกุลถังให้ข้าแต่ง ข้าก็ไม่มีทางแต่งเด็ดขาด!” หลัวจิ่งโพล่งออกไปทันทีด้วยความตื่นตะลึงพร้อมกับมีเหงื่อเย็นผุดขึ้น เหตุใดเขาถึงกล่าวคำพูดโง่เขลาเพียงนั้นออกไปได้นะ
เจินจูออกแรงดึงตัวเองออกมาจากมือของเขา และกัดบนข้อมือของเขาด้วยความขุ่นเคืองอย่างรุนแรงหนึ่งที
หลัวจิ่งเจ็บมาก ทว่าไม่กล้าขยับตัว ทำได้เพียงปล่อยให้นางกัดอยู่เช่นนั้น
เจินจูกัดอยู่พักหนึ่ง คิดว่าคงมีเืออกมาจากรอยกัดแล้ว แต่พอนางเงยหน้าขึ้นกลับพบว่ามีเพียงรอยฟันและคราบน้ำลายเท่านั้น จึงอดโมโหขึ้นมาอีกไม่ได้
“…เจินจู เ้าอย่าโมโหเลย เช่นนั้นข้างนี้ก็ให้เ้ากัดด้วย”
เขายื่นข้อมืออีกข้างไปชิดปากนาง
เจินจูกลอกตาใส่เขา ’พลั่ก’ นางตบมือของเขาออกไป
หลังจากนั้นหมุนตัวเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างฮึดฮัด
หลัวจิ่งเดินตามนางและคุกเข่าข้างหนึ่งลงพร้อมกับสบสายตากับนาง แก้มกระจ่างใสของหญิงสาวแวววาวดุจชิ้นหยก ริมฝีปากนุ่มอมชมพูมุ่ยขึ้นเล็กน้อย แสดงอารมณ์ของนางในยามนี้ได้อย่างชัดเจน
“เจินจู อย่าโกรธเลย ข้าชอบเพียงเ้าเท่านั้น ไม่ได้ชอบผู้อื่นทั้งสิ้น”
เครื่องหน้ารูปงามของเขาคมชัดราวกับใช้มีดแกะสลักขึ้นมา ดวงตาสีดำสนิทลึกซึ้งเผยให้เห็นถึงความจริงจังและซื่อสัตย์
แก้มของเจินจูปรากฏสีชมพูจางๆ นางกัดริมฝีปากล่างพร้อมกับมองเขาด้วยดวงตาใสแจ๋ว
หลัวจิ่งกุมมือเล็กเรียวของนางไว้กลางฝ่ามือและลูบไล้เบาๆ ความรู้สึกลึกล้ำในดวงตา ความคิดถึงห่วงหาที่มุมปาก ไม่มีส่วนไหนเลยที่จะไม่บอกเล่าความรักความห่วงใยจากเขา
เจินจูถูกโอบล้อมไปด้วยความรักอันลึกซึ้งที่เขาปลดปล่อยออกมา แก้มจึงร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ จิตใจว้าวุ่นขึ้นในชั่วพริบตา
หญิงสาวหน้าแดง สายตาขัดเขิน ราวกับดอกกุหลาบบอบบางสีสันสดสวยแพรวพราว... ดึงดูดให้เขาเข้าไปเด็ด
เขาขยับไปตามดังใจคิด
มือข้างหนึ่งไปกุมมือเรียวนุ่มนิ่มไว้ ส่วนมืออีกข้างโอบรอบแผ่นเอว ค่อยๆ บรรจงประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอย่างแ่เบา
ริมฝีปากนุ่มอุ่นชื้น มีกลิ่นอายเฉพาะของนาง ลมหายใจอุ่นร้อนก่อกวนอยู่บริเวณริมฝีปาก ความรู้สึกไร้แรงกำลังพร้อมกับหัวใจเต้นรัวเกิดขึ้นอยู่ระหว่างคนสองคน
หลัวจิ่งถูกสายตาที่สื่อความในใจดึงดูดให้หลงใหล สติการรับรู้กระเจิดกระเจิงหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว มือของเขาโอบไปรอบไหล่ด้านหลังแล้วสอดเข้าในกลุ่มเส้นผมสีดำสนิท ทำให้สองคนใกล้กันยิ่งขึ้น เขาแทบอยากจะกดนางเข้ามาในกายของตนเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เจินจูถูกเขากดริมฝีปากไว้จนสติพร่าเลือน เืทั่วกายสูบฉีดพล่านออกมา ลมหายใจของสองคนเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ หลัวจิ่งรู้สึกได้ถึงสัญชาตญาณของสัตว์ป่าในร่างกายตัวเองกำลังร้องคำรามขึ้น เขาอยากได้มากกว่านี้ อยากซึมซับความหวานให้มากกว่านี้ อยากฝังนางเข้ามาข้างในร่างกายของเขา ให้ทั้งหมดทั้งมวลของนางกลายเป็ของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เขาละริมฝีปากออกทันที พร้อมกับออกแรงโอบนางเข้าสู่อ้อมอก
เสียงทุ้มหนักหอบอยู่ข้างใบหู สติของเจินจูค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ทำให้ใบหน้าของนางร้อนผ่าวดังน้ำแกงเดือดที่จวนจะระเหยกลายเป็ไอ แต่นางไม่กล้าขยับตัว
“…เจินจู …เจินจู …เ้าอย่าเพิ่งขยับ …ให้ข้ากอดเ้าหน่อย” มือของเขายังสอดอยู่ในมวยผมของนางดังเดิม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งลูบแผ่นหลังหญิงสาวในอ้อมอก... ลมหายใจเริ่มมั่นคงขึ้นช้าๆ
เจินจูขัดเขินแก้มแดง นางรู้... ชายหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี เป็วัยที่กำลังอยู่ใน่อารมณ์พลุ่งพล่านเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ย่อมง่ายต่อสิ่งปลุกเร้า... นางดันเขาออกเบาๆ
เขากลับประทับจูบค้างอยู่ที่ติ่งหูของนางอย่างกะทันหัน
“อ๊ะ!” เจินจูเหมือนแมวน้อยพองขน ใช้แรงผลักเขาออกทันที
นางเอามือปิดติ่งหู ทันทีหลังจากนั้นก็หน้าแดงจนแทบจะมีเืหยดออกมาได้
หลัวจิ่งคล้ายกับว่าค้นพบอะไรบางอย่าง จึงหัวเราะขึ้นเสียงดัง
เชิงอรรถ
[1] แผ่นเหล็กตอกตะปู เป็การอุปมาถึง 1. การตัดสินชี้ขาดไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือ 2. การพูดจาและการกระทำเด็ดขาด ไม่ลังเล แน่วแน่ จริงจัง ไม่แก้ไขแล้ว