หลังจากพักผ่อนเป็เวลาหนึ่งคืน เช้าวันถัดมา ชุ่ยอวิ๋นก็กลับมาที่จวนองค์ชายหกอีกครั้ง
แม่นมเสิ่นแค่เห็นชุ่ยอวิ๋นก็เหมือนเห็นมู่หลิงจู จึงไม่อยากจะแลเหลียว สั่งให้นางยืนอยู่กับที่รอไปก่อน
จื่อเซียงเดินออกมาจากข้างหลัง เห็นชุ่ยอวิ๋นยืนอยู่จึงประหลาดใจ พานางเดินไปที่เรือนลี่เฉวียน
มู่อวิ๋นจิ่นที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พร้อมจะไปเรียนวิชาที่เรือนิหราน พอเห็นชุ่ยอวิ๋นเข้ามาในเรือนลี่เฉวียนก็แปลกใจไม่ทันตั้งตัว
“เ้ามาได้ยังไง?”
ชุ่ยอวิ๋นทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนเอ่ยปากขึ้นว่า “เมื่อคืนคุณหนูสี่กลับจวนหรงไป ได้ถูกตระกูลฉินตบตีด้วยเื่ที่จวนอัครเสนาบดีมู่รอด จนเป็ไข้สูง พระชายาหรงยังไม่อนุญาตให้เรียกท่านหมอมารักษาเลยเพคะ”
“เมื่อครู่คุณหนูสี่อาศัยจังหวะที่บ่าวใช้ใกล้ชิดของพระชายาหรงเดินออกไป สั่งให้บ่าวแอบมาหาพระชายาหก อยากขอร้องให้พระชายาหกช่วยคิดหาวิธีช่วยเหลือด้วยเพคะ”
ชุ่ยอวิ๋นละล่ำละลัก “เมื่อวานที่คุณหนูมาบอกความลับของพระชายาหรง หวังว่าพระชายาหกจะรักษาคำพูด ช่วยคุณหนูให้พ้นจากภัยในตอนนี้ด้วยเพคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินกวักมือเรียกจื่อเซียงเข้ามา “เ้าไปหาบ่าวใช้ในเรือนบอกให้ต้มยามามาชามหนึ่ง และนำยาทาแผลกลับไปด้วย”
สิ้นเสียงมู่อวิ๋นจิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินออกจากเรือนลี่เฉวียนไป
ชุ่ยอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่น้าสื่อ จึงหันไปถามจื่อเซียง “พี่จื่อเซียง พระชายาหกหมายความว่ายังไง?”
“เ้าบื้อเอ๋ย ดูก็รู้ว่าพระชายาไม่อยากเข้าไปจัดการเื่นี้ เอาแค่เื่ในจวนยังจัดการไม่ทั่วถึง ย่อมไม่มีเวลายื่นมือไปจัดการถึงจวนหรง หากไปยุ่งเื่นี้เข้า คุณหนูสี่อาจแว้งกัดได้ ถึงตอนนั้นเื่ร้อนจะพุ่งเข้ามาไม่หยุด” จื่อเซียงอยู่รับใช้มู่อวิ๋นจิ่นมาเนิ่นนาน นิสัยใจคอของมู่อวิ๋นจิ่น นางพอรับรู้อยู่บ้าง
“รอก่อน ยาทานและยาทานั้น เ้าแอบเอากลับไป บอกคุณหนูสี่ว่าได้มาด้วยความยากลำบาก ขอให้กลับไปบอกคุณหนูสี่ให้รอข่าวคราวอย่างใจเย็นๆ ที่จวนหรงไปก่อน”
จื่อเซียงอธิบายจบแล้ว ชุ่ยอวิ๋นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
……
(สลับฉากไปทางมู่อวิ๋นจิ่น)
ในระหว่างที่มู่อวิ๋นจิ่นมุ่งหน้าไปที่เรือนิหราน กลับพบอาจารย์เฟิงเสวียนโดยบังเอิญ
“เ้ามาได้เวลาพอดี วันนี้ไม่ต้องฝึกแล้ว ข้าจะพาเข้าไปวัดสุ่ยอวิ๋น” อาจารย์เฟิงเสวียนบอกเล่า
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักไปชั่วขณะ “ไปที่วัดสุ่ยอวิ๋นทำอะไร?”
“เมื่อคืนที่ผ่านมา ข้าครุ่นคิดอยู่เป็เวลานาน สุดท้ายตัดสินใจแล้วว่าจะไปดูค่ายกลที่จองจำหรงเฟยเอาไว้ ถ้ากลัวว่าการลงทุนลงแรงของพวกเราอาจเสียเปล่าได้”
มู่อวิ๋นจิ่นมิได้ยึกยักแต่อย่างใด รีบหันหลังกลับ “เดี๋ยวศิษย์จะไปตามฉู่ลี่”
“กลับมา!” อาจารย์เฟิงเสวียนเรียก “เ้านี่จะโง่หรือเปล่า เื่นี้จะบอกฉู่ลี่ไปทำไม พวกเราแค่ไปสถานการณ์มาก่อน แล้วที่เหลือค่อยว่ากัน”
“ก็ได้…” มู่อวิ๋นจิ่นเดินตามอาจารย์เฟิงเสวียนออกนอกจวนไป
เมื่อเดินทางมาถึงวัสุ่ยอวิ๋น ก้าวลงจากรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นเห็นอาจารย์เฟิงเสวียนคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก เขาเดินไปที่กุฏิของท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนโดยตรง
ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนเหมือนหยั่งรู้ล่วงหน้า พอพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ก็เปิดประตูต้อนรับโดยไม่ต้องเคาะ
“ฮ่าๆๆๆ อาตมาว่าละทำไมวันนี้วิหคร้องระงมไม่หยุด ที่แท้มีสหายเก่ามาเยี่ยมนี่เอง นับเป็นิมิตรหมายที่ดี”
“ไฮว๋หยวน เ้ากับข้าไม่ได้พบหน้ามานานหลายปี วันนี้มารำลึกเื่ราวในอดีตสักหน่อย”
“ได้สิ”
ทั้งสองทักทายปราศรัยกันเรียบร้อยแล้ว อาจารย์เฟิงเสวียนจึงหันมองมู่อวิ๋นจิ่น “ข้ากับท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนมีเื่คุยกัน เ้าออกไปนั่งเดินเล่นตามใจชอบได้”
หลังจากนั้นอาจารย์เฟิงเสวียนก็เดินเข้าไปในกุฏิของท่านอาจารย์ไฮว๋หยวน
มู่อวิ๋นจิ่นเบะปากด้วยความงง จ้องประตูกุฏิที่ถูกปิดด้วยความโมโห ไหนว่าจะมาตรวจดูค่ายกลมิใช่หรือ?
ตาแก่นี่น่ะ!!!
มู่อวิ๋นจิ่นสะบัดหน้าเดินเตร็ดเตร่ไป จนมาพบเข้ากับต้นไม่พันปีต้นนั้นโดยไม่รู้ตัว
พระที่เฝ้าอยู่ตรงนั้น ั้แ่รู้ฐานะของมู่อวิ๋นจิ่นก็มิกล้าเอ่ยห้ามนางแต่อย่างใด
เมื่อเดินเข้าไปในลานด้านใน มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินเข้าไปแนบชิดต้นไม้พันปี เวลานี้โดยรอบไม่มีผู้ใด นางจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะที่มีหมึก พู่กันและกระดาษแดงเขียนคำอวยพรวางอยู่
พอมู่อวิ๋นจิ่นบรรจงตวัดพู่กันจีนเขียนว่า… พวกเราจะดีไปด้วยกัน!
เมื่อได้สติสัมปชัญญะกลับมา นางรู้สึกแปลกใจมิน้อย ไม่รู้ว่าภาพที่วาดลงกระดาษ เหตุใดจึงเป็ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่ลี่ไปได้
“ตายแล้ว ข้านี่คิดเพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว!” มู่อวิ๋นจิ่นหยิบกระดาษแผ่นนั้นยกขึ้นส่องดู ทำท่าจะขยำโยนทิ้งลงพื้น
ระหว่างนั้นมือของนางกลับหยุดลงด้วยความลังเลใจ
คิดขึ้นได้ว่ายังมีกระดาษแดงเหลืออีกเยอะ จึงหยิบออกมาเขียนว่า “รู้จักเ้ามาเนิ่นนาน กลับไม่เห็นเ้าเขียนอักษร”
ทันใดนั้น เสียงที่แปลกหูดังขึ้นมา มู่อวิ๋นจิ่นจึงหยุดสิ่งที่เขียนอยู่ เงยหน้ามองใบหน้าที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคย
คนผู้นี้เป็บุรุษ สวมชุดสีเงินยาว ร่างกายสูงขาว พ่ายมือจับกันไว้ข้างหลัง ที่เอวมีหยกงดงามกับถุงหอมชมพูดที่ปักไม่ค่อยเรียบร้อยผูกอยู่ แต่มิอาจกลบความโดดเด่นในตัวเขาได้เลย
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งนิ่งปรายตามองบุรุษเบื้องหน้า รู้สึกว่าเหมือนเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่กลับลืมไปแล้ว
จากนั้นไม่นาน ในหัวของมู่อวิ๋นจิ่นแวบภาพที่นางตกอยู่ในทะเลสาบระยับ มีบุรุษคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาช่วย
“ฉินมู่หนาน?” มู่อวิ๋นจิ่นมองหน้าบุรุษผู้นี้ด้วยคำถามที่แน่นในอยู่เต็มทรวง
พอได้ยินที่นางเรียก สายตาของบุรุษผู้นี้กลับนิ่งลง “เ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“......”
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากแน่น ไม่เข้าใจในสิ่งที่บุรุษเบื้องหน้า้าสื่อสาร เห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ สงสัยนางจำคนผิดอีกแล้ว มิอย่างนั้นคงไม่หัวเราะหัวร่อแบบนี้ แอบหยิบกระดาษแดงที่นางเขียนวิ่งไปอ่านด้านข้าง“”
“อวิ๋นจิ่น เ้าต้องทำเป็แสร้งไม่รู้จักกันไปทำไม?” จากนั้นบุรุษผู้นี้เดินมาหยุดเบื้องหน้า สบสายตากับนาง
ห๊ะ!!!
อวิ๋นจิ่น???
เรียกเสียประหนึ่งสนิทสนมกันมานาน……
“เ้ายังโทษข้าอยู่ ที่ทิ้งเ้าไปออกรบที่ชายแดนใช่ไหม?” บุรุษผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองตานางด้วยความอาลัยอาวรณ์
ออกรบชายแดน?
มู่อวิ๋นจิ่นพยายามปะติดปะต่อเื่ราวจากคำพูดของเขา ที่แท้เขาคือฉินมู่หนานไม่น่าผิดเพี้ยน
อีกอย่างร่างกายนี้ของนางััได้ถึงปฏิกิริยาที่มีต่อเขา ประหนึ่งคนคุ้นเคย ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา
“แม่ทัพฉิน ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือข้าในวันที่ตกทะเลสาบระยับ จนถึงวันนี้ยังไม่มีโอกาสไปขอบคุณถึงจวน วันนี้พบกันโดยบังเอิญ ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณอย่างเป็ทางการเสียเลย” มู่อวิ๋นจิ่นพยายามเปลี่ยนหัวข้อ จะได้ไม่ต้องรู้สึกเก้อเขินในปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับร่างนี้
สิ่นเสียงขอบคุณ นางหันหลังเดินจากไป
พอเดินได้เพียงสองก้าวเท่านั้น มีมือจับเข้าที่ไหล่ของนาง ยังคงเป็ฉินมู่หนานที่ตามไม่ปล่อย “ไหนว่าคุยกันแล้วนี่หน่า รอให้ข้าชนะศึกกลับมา จะตบแต่งเ้าเป็ภรรยา พาออกจากกรงที่กักขังอย่างจวนอัครเสนาบดีมู่มิใช่หรือ?”
“ทำไมถึงไม่รอข้ากลับมา ทำไมต้องใจจืดใจดำแต่งกับคนอื่นไปด้วย……”
“อวิ๋นจิ่น พวกเรามีวันเวลาแผ่งความสุขร่วมกันมากมาย หรือว่าเ้ากลับลืมมันจนสิ้นไม่เหลือเยื่อใยต่อกันอีกแล้ว?”
“ั้แ่ที่ข้ากลับจวนไป อยากออกมาหาเ้าอยู่ตลอดเวลา แต่ยังหาเวลาที่เหมาะสมไม่ได้เลย วันนี้ข้าพบหน้าเ้าที่วัดสุ่ยอวิ๋น ย่อมรู้ว่าเป็โอกาสเบื้องบนประทานให้”
“อวิ๋นจิ่น เ้ากล้าพูดหรือไม่ ว่าไร้ความรักใคร่ที่มีให้กัน?”
มู่อวิ๋นจิ่นยังคงยืนหันหลังให้ฉินมู่หนาน พร้อมกับฟังคำพูดที่ยืดยาวเป็กระบวน จนเหงื่อไหลไคลย้อย มิอาจตั้งตัวกับข้อมูลที่ได้รับมากมายตรงหน้านี้
ถึงไม่ถึงว่าเ้าของร่างนี้ ปฏิพัทธ์กับฉินมู่หนานมาก่อน?
โลกทั้งใบของมู่อวิ๋นจิ่นในเวลานี้เหมือนจะพังทลายลงตรงหน้า แต่ิญญาของนางในตอนนี้อยู่ในร่างนี้ไปแล้ว จึงไม่ได้เป็มู่อวิ๋นจิ่นคนเก่าที่ฉินมู่หนานรู้จักอีกต่อไปแล้ว นางจะทำเช่นไรดีหนอ อธิบายให้ฉินมู่หนานเข้าใจในสิ่งที่ยากจะเชื่อนี้
“อวิ๋นจิ่น เ้ามองข้าหน่อยจะได้หรือไม่?” ฉินมู่หนานก้าวมายืนเบื้องหน้ามู่อวิ๋นจิ่นก้มมองนางด้วยสายตาที่อบอุ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปาก ลดระดับสายตาไปที่พื้น “แม่ทัพฉิน บัดนี้ข้าได้แต่งงานกับองค์ชายหกไปแล้ว เื่ราวในอดีตอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย”
ทันใดนั้น มู่อวิ๋นจิ่นััได้ถึงความเย็นะเื ที่ซ่อนความโกรธเคือง พัดซู่ปะทะร่างกาย กลัวว่าฉินมู่หนานอาจควบคุมอารมณ์มิได้ มู่อวิ๋นจิ่นจึงถอยผงะไปหลายก้าว
“เ้ากลัวข้า?” สายตาฉินมู่หนานมองมาเสมือนถูกทำร้ายปางตาย “อวิ๋นจิ่น เ้าช่างอำมหิตเหลือเกิน!”
สิ้นเสียงแล้ว ฉินมู่หนานดึงหยกชิ้นนั้นกับถุงหอมสีชมพูออกจากผ้าคาดเอว หางตาของนางเหลือบเห็นด้ายที่หลุดรุ่ยจากถุงหอม พอรู้ก็ทราบได้ทันทีว่าผ่านการใช้งานมานานหลายปี
“ในเทศกาลชีซี[1]ปีนั้น เ้าได้มอบถุงหอมนี้ให้กับข้า ยังจำได้ไหมว่าตอนนั้นเ้าพูดอะไรกับข้าบ้าง?”
มู่อวิ๋นจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติ นี่เป็ถุงหอมที่เ้าของร่างเก่ามอบให้อีก!
โอ๊ย! ใครจะไปรู้ละว่าเ้าของร่างเก่าพูดอะไรไปบ้าง!
แต่หากมอบถุงหอมให้ในเทศกาลชีซี มู่อวิ๋นจิ่นพอคาดเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะพูดสิ่งใด
“ยังจำได้ไหม เ้าบอกข้าว่า เ้าใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะปักรูปบนถุงหอมนี้ หวังว่าหลังจากผ่านพิธีวัยปักปิ่น[2]จะแต่งงานกับพี่หนานคนนี้ อีกทั้งทุกปีจะช่วยปักถุงหอมหนึ่งใบให้พี่หนาน” น้ำเสียงฉินมู่หนานเปี่ยมด้วยความเศร้าสร้อยทรมานจับใจ
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว บัดดลนั้นนางรู้สึกปวดใจเหลือเกิน นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ป้าซูลงมือฆ่าเ้าของร่างเก่า “มู่อวิ๋นจิ่น” ให้ตาย ถ้านางยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ และทราบว่าฉินมู่หนานได้แต่งตั้งให้เป็แม่ทัพ นางจะต้องดีใจเป็ฝั่งเป็ฝา
ทว่าน่าเสียดายเหลือเกิน….
โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตของคนเสมอ!!!
“แม่ทัพฉิน ตอนนี้รื้อฟื้นเื่ในอดีต มันคงไร้ความหมายแล้ว ในใต้หล้านี้ ยังมีสตรีอีกมากมายที่เหมาะสมกว่าข้า” มู่อวิ๋นจิ่นมองฉินมู่หนานด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจ
พอสายตาของฉินมู่หนานและมู่อวิ๋นจิ่นกัน เขาััได้ถึงแววตาที่เปลี่ยนไปของนาง เหมือนเราสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งน้ำเสียง ความอ่อนโยน ไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว
ชั่วพริบตาเดียว สายตาของมู่อวิ๋นจิ่นแฝงด้วยความใคร่รู้
“ห่านป่าโบยบินลงทิศใต้……” ฉินมู่หนานเอ่ยกลอนออกมาหนึ่งวรรค
ด้านมู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าฉินมู่หนานจะเอ่ยกลอนมาทำไม นางจึงนิ่งงันไม่เอ่ยวาจา
“เ้ารู้ไหมว่าวรรคต่อไปคืออะไร?” ฉินมู่หนานถามขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจ มองฉินมู่หนานอย่างจนปัญญา “ข้าไม่ชอบต่อกลอน”
เมื่อนางพูดจบหันเดินจากไป เงี่ยหูฟังฝีเท้า ไม่ได้ยินฉินมู่หนานไล่ตามมา มู่อวิ๋นจิ่นจึงเร่งสาวเท้าไปด้วยความรวดเร็ว
ฉินมู่หนานมองดูมู่อวิ๋นจิ่นจากด้านหลัง น้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง และรอยยิ้มที่ส่งให้
ที่แท้นางสูญเสียความทรงจำนี่เอง!!!
โชคยังดีที่นางสูญเสียเพียงแค่นี้
เขากลัวเหลือเกินว่า นางจะลืมห้วงเวลาอันแสนหวานที่ได้มีกันและกันไป
อวิ๋นจิ่น ไม่ว่าตอนนี้เ้าจะอยู่กับใคร ข้าต้องเอาเ้ากลับมาอยู่ข้างกายให้จงได้ ครั้งหน้าข้าไม่ยอมให้เ้าหนีไปแบบนี้อีกแล้ว
[1] เทศกาลชีซี เป็วันแห่งความรักของจีน เทียบเท่าเทศกาลวันวาเลนไทน์ของสากล
[2] พิธีวัยปักปิ่น เป็พิธีที่เด็กสาวอายุสิบห้าปีเข้ารับการปักปิ่นมรกต แสดงถึงวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว