ถึงแม้ว่าเหล่าจอมยุทธ์แห่งโลกมนุษย์ ยากจะเทียบเคียงกับเซียนผู้เปี่ยมด้วยฌานวิถีและพลังบำเพ็ญตบะ สำนักเทียนหยวนก็มีผู้บำเพ็ญตนเพื่อแสวงหาพลังแห่งเต๋า และสามารถบรรลุสู่กายเซียนได้ด้วยพื้นฐานเดิมของตน แต่เมื่อเทียบด้านอำนาจและกำลัง ยังไม่อาจทัดเทียมสำนักกระบี่ไท่สิงได้
ในบรรดาห้าพิสดารแห่งเทียนหยวน พวกเขาล้วนมีระดับพลังอย่างน้อยขั้นหกประทับ นับเป็ยอดฝีมือแห่งโลกมนุษย์ หากเป็เมื่อก่อน เจี่ยหลีผู้มีขั้นแปดประทับ คงมิได้ใส่ใจพวกเขาเหล่านี้ แต่โม่ยงในยามนี้ กลับเป็เพียงเด็กหนุ่มร่างบอบบางผมสีเงินเท่านั้น
“สำนักกระบี่ไท่สิงซ่อนเ้าไว้ที่นี่ นักพรตหัวโบราณสำนักอี๋เซี่ยงอาจเชื่อคำกล่าวอ้างของพวกเ้า แต่สำนักเทียนหยวนของเราหาได้เชื่อเช่นนั้นไม่”
เสียงเสียดสีดังขึ้น พร้อมเสียงคนล้มลงบนพื้นหญ้า
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย การที่ผลักสตรีอ่อนแอเช่นข้าลงบนพื้นดิน ไม่ข่มเหงน้ำใจกันเกินไปหน่อยหรือ?”
เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ หัวใจของโม่ยงพลันสั่นสะท้าน ความคิดที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนเมื่อครั้งบำเพ็ญเพียร กลับงอกงามขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
นั่นคือ “โทสะ” อารมณ์ที่เจี่ยหลีผู้มีจิตใจอ่อนโยนและรักสันโดษ ไม่เคยััมาั้แ่เข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋า
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน” เสียงหัวเราะเยาะของคนจากสำนักเทียนหยวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาพากันหัวเราะสนุกสนาน “มีข่าวลือว่าการบำเพ็ญคู่กับสตรีผมเงินผิวสีน้ำผึ้งเช่นเ้า จะช่วยเพิ่มพูนพลังปราณได้อย่างมาก... ดูท่าแล้ว ที่นี่คงมิใช่สถานที่สันโดษอันบริสุทธิ์อันใด สำนักกระบี่ไท่สิงพวกนั้น คงซ่อนสตรีที่ล้ำค่าเช่นเ้าไว้ เพื่อใช้ประโยชน์จากเ้าเสียเองกระมัง?”
คำพูดเริ่มหยาบคายขึ้นเรื่อยๆ โม่ยงที่ซ่อนตัวอยู่ กำมือซ้ายแน่นจนแทบแหลกละเอียด
ต่อมา เสียงฉีกขาดของอาภรณ์พลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือเสียงของอาภรณ์ที่ถูกกระชากออกอย่างรุนแรง
“โอ้โห... ร่างกายเ้านี่มันเย้ายวนยิ่งนัก หากดูเพียงใบหน้า คงคิดว่าเป็เด็กสาวที่ไม่ถึงสิบแปดเสียอีก ทว่าทรวงอกคู่นี้และบั้นท้ายอันงอนงาม... กลับเป็ผลไม้สุกงอมที่รอการเก็บเกี่ยวแล้ว”
“ได้ยินมาว่าบุรุษใดที่่ชิงโลหิตล้ำค่าแรกแย้มของนางได้ จะเป็ผู้แข็งแกร่งยิ่งในใต้หล้า ศิษย์พี่ โอกาสนี้ต้องคว้าไว้ให้ดี...”
เสียงฉีกทึ้งเสื้อผ้าดังขึ้นอีกหลายครั้ง เยว่อู๋โยวเคยส่งเสียงสะอื้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะถูกผ้าอุดปาก หรือถูกปิดด้วยมือ จึงเหลือเพียงเสียงครางอู้อี้ที่ขาดหายเป็่ๆ
“ไหน ข้าขอดูหน่อยสิ... ช่างเป็เนินเนื้อที่งดงามหมดจด ขาวผ่องเสียจริง คงจะรอข้ามาเยือนอยู่สินะ... เดี๋ยวนะ นี่เ้าไม่บริสุทธิ์แล้วหรือ?”
“น่าแค้นนัก ไอ้พวกสารเลวสำนักกระบี่ไท่สิง ที่แท้ที่นี่มิใช่ที่คุมขังหญิงผู้นี้ แต่เป็หอบำเรอกามของพวกนั้นหรือ?” ชายคนหนึ่งถ่มน้ำลายอย่างเคียดแค้น “ช่างเถอะ แม้จะไม่ใช่สภาพสมบูรณ์ การได้เสพสมนางก็ยังช่วยเพิ่มพลังปราณได้ พวกเ้าจับนางไว้ดีๆ ผิวนางอ่อนนุ่ม ทรวงอกก็นุ่มลื่น แท่งัในกางเกงข้ามันชักจะทนไม่ไหวแล้ว”
“ศิษย์พี่ รีบหน่อย พวกเราเองก็รับประกันไม่ได้ว่าจะทนได้นานแค่ไหน เพราะสตรีนางนี้มีรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด แม้ท่าทางจะหยิ่งผยองและเ็า แต่กลับมีทรวดทรงองค์เอวที่งดงามเช่นนี้”
เสียงเสื้อผ้าหล่นพื้นดังระรัว ยิ่งกว่านั้นคือเสียงตบตีกระทบเนื้อที่เริ่มดังขึ้น แม้ว่าพลังบำเพ็ญจะสูญสิ้นไปแล้ว โม่ยงก็ยังคงได้ยินและมองเห็นทุกสิ่ง เขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นข้างนอก เขาขบกรามแน่นจนแทบเกิดประกายไฟ กำปั้นทั้งสองข้างกำแน่นจนเืไหลออกมา
สำนักไท่สิงซ่อนเยว่อู๋โยวไว้ด้วยเหตุผลใด? สำนักเทียนหยวนรู้เื่นี้ได้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ...
ประตูไม้พลันเปิดออกอย่างรุนแรง ดวงตาของโม่ยงเปล่งประกายราวสายฟ้า ผมสีเงินราวหิมะ พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว “ปล่อยนาง!” เขาร้องคำราม
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาช่างน่าสังเวช
ชายสามคนอยู่ในสภาพล่อนจ้อน สองคนที่ยังถอดไม่เสร็จ ยืนกอดกระบี่อยู่ข้างๆ ท่อนล่างของพวกเขากำลังพองโต เยว่อู๋โยวสวมชุดสีขาวน้ำนมที่ขาดวิ่น ทรวงอกอันอวบอิ่มทั้งสองข้างสั่นไหวเล็กน้อยตามการกระทำอันป่าเถื่อนของชายเ่าั้
ชายที่แหวกเรียวขาของนางออก เตรียมพร้อมที่จะบุกรุกเรือนร่างสีน้ำผึ้งอันแสนงดงามนั้น เขาแบกเรียวขาทั้งสองไว้บนบ่า เผยให้เห็นช่องสวาทสีชมพูของเยว่อู๋โยวอย่างชัดเจน เส้นผมยาวสลวยดุจแสงจันทร์ ร่วงหล่นกระจายไปทั่วพื้น นางราวกับดอกไม้ที่พานพบพายุ ร่วงโรยสู่ผิวน้ำอย่างสิ้นหวังและอ้างว้าง
ใบหน้าของนางยังคงเ็าเช่นเดิม ราวกับไม่มีอารมณ์ใดๆ ปากเล็กๆ สีแดงระเรื่อถูกอุดด้วยเศษผ้าที่ฉีกขาด นางได้ละทิ้งการดิ้นรนและร่ำไห้แล้ว ราวกับว่านางปล่อยวางทุกสิ่งอย่าง ราวกับว่าการถูกกระทำเช่นนี้คือโชคชะตาอันขมขื่นของนาง
แต่โม่ยงที่ใช้ชีวิตร่วมกับนางมาเป็เวลาเกือบหนึ่งปี กลับเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
เยว่อู๋โยวดูเหมือนจะเ็า แต่ที่จริงแล้วนางไร้เดียงสาและน่ารัก นางใช้คำพูดที่เหมาะสม แต่ที่จริงแล้วนางไม่เก่งในการแสดงออก ไม่มีใครสอนมารยาทให้นาง มีเพียงผู้สอนภาระหน้าที่เท่านั้น ในแววตาที่เ็ากลับซ่อนไว้ซึ่งความจริงใจอย่างยิ่ง
อารมณ์ของนางเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอ่อน ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ และในตอนนี้ ในดวงตาสีแดงก่ำของนาง มีน้ำตาคลอเบ้า
นางไม่ยินยอม และนางก็กำลังขอความช่วยเหลือ
“เ้าเป็ใคร?” เนื่องจากไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายเซียนจากร่างของโม่ยง ห้าพิสดารแห่งเทียนหยวนผู้มีขั้นหกประทับ จึงมิได้หยุดการกระทำ กลับมองเขาด้วยท่าทีสบายๆ “เ้าเด็กน้อย เ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้พวกเราปล่อยนาง? นางเป็อะไรกับเ้า?”
“นางคือผู้มีพระคุณของข้า” โม่ยงพยายามรวบรวมพลังปราณแท้ แต่พลังปราณแท้ในร่างกายยังคงปั่นป่วน เขาทำได้เพียงใช้พลังภายใน โดยหวังว่าด้วยร่างของมนุษย์ จะสามารถต้านทานได้บ้าง
“ยอมแพ้เถอะ นางเป็ของพวกเราแล้ว”
ชายที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ ผู้กดร่างเยว่อู๋โยวไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ได้ยินมาว่าพวกสำนักไท่สิงในตอนนี้ก็ยังเอาตัวแทบไม่รอด พวกเขาไม่มีใจที่จะปกป้องสตรีล้ำค่าที่พวกเขาเก็บซ่อนเอาไว้ สำนักอี๋เซี่ยงก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก เส้นทางสู่เซียนที่พวกเขาปรารถนานั้นแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่มีทางที่จะบำเพ็ญคู่ได้ สรุปแล้ว นางผู้นี้ถูกกำหนดให้พวกเราได้ผลัดกันเชยชม เ้าลองบอกมาสิ พลังภายในอันกระจอกงอกง่อยของเ้า จะสามารถทำอะไรพวกเราผู้มีขั้นหกประทับได้...”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เหล่าศิษย์น้องกลับตกตะลึงและถอยร่นออกไป
เขาปล่อยเรียวขาสีชมพูของเยว่อู๋โยว ลุกขึ้นยืนด้วยร่างที่เปลือยเปล่า แท่งัที่น่าเกลียดนั้นยังคงแข็งตัว กระตุกสั่นไม่หยุด แต่เมื่อเขาเห็นร่างของโม่ยงในตอนนี้ สิ่งที่แข็งตัวนั้นก็อ่อนตัวลงในทันที
เพียงเห็นร่างเด็กหนุ่มผมสีเงิน ยืนหยัดมั่นคง กระบี่จรดพื้น มือซ้ายยกขึ้นชี้เป็กระบี่ ท่าทางที่มั่นคงราวหุบเขาไท่ซานนั้น ไม่หวั่นไหวต่อแรงลม กลายเป็ “ท่าชิงตัน” อันเลื่องชื่อแห่งสำนักกระบี่ไท่สิง ยอดเขาเขียวชอุ่ม โอบรับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่น หัวใจแดงก่ำ เปล่งประกายเจิดจ้าใต้แสงอาทิตย์ สิ่งที่ทำให้กระบวนท่านี้เป็ที่กล่าวขานคือ จิตใจแห่งกระบี่ที่แข็งแกร่งดั่งขุนเขา ตั้งตรงไม่ยอมก้มหัวให้ใคร
โม่ยงฝึกกระบี่มาหลายปี ด้วยพร์อันเฉลียวฉลาดและรากฐานที่หาใครเทียบมิได้ เมื่อเขายืนอยู่บนลานกระบี่ เพียงแค่ท่าชิงตันที่ไร้รอยตำหนิ ก็สามารถ่ชิงความโดดเด่นจากศิษย์ร่วมสำนักจำนวนมากได้ เมื่อเขาเริ่มร่ายเจตจำนงกระบี่ไท่สิง กระแสปราณกระบี่พลันพุ่งทะลวง ทั้งยังปรากฏภาพการเปิดฟ้าแยกดินอันสง่างาม
สำนักเทียนหยวนและสำนักไท่สิงมีการประลองนับครั้งไม่ถ้วนใน่ห้าร้อยปีที่ผ่านมา ซึ่งจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งหมด หากจะกล่าวว่าใครในโลกที่เข้าใจความวิเศษของสำนักไท่สิงมากที่สุด นอกจากสำนักไท่สิงแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นสำนักเทียนหยวน เด็กหนุ่มนิรนามผู้นี้กำลังใช้กระบี่ที่เป็ของสำนักไท่สิงอย่างแท้จริง เหล่าคนเสเพลทั้งห้าที่เรียกตัวเองว่า ‘ห้าพิสดารแห่งเทียนหยวน’ ต่างก็ไม่แน่ใจในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ พวกเขาลุกขึ้นจากข้างกายเยว่อู๋โยว แล้วชักกระบี่ในมือออกมา ก่อตัวเป็วงล้อม ไม่มีใครกล้าลงมือกับเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะมีพลังกระบี่สูงส่งผู้นี้ง่ายๆ