เื่เข้าเรียน แม้เจิ้งเจวียนจะมีทั้งครอบครัวสนับสนุน และยึดหลักความเป็จริงอย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะพี่สาวได้ หลังเปิดภาคเรียนมาได้หลายวัน จึงโดนพี่สาวไล่กลับไปเรียนต่อ
ซ่งปิงเป็อย่างที่เจิ้งหยวนบอกไว้ไม่ผิด แม้จะทำงานไม่เก่งสักเท่าไร แต่นิสัยดีจริงๆ ตามคาด เขาเรียนรู้ทุกอย่างที่สอน ให้ดูแลเด็กก็ดูแล ให้ล้างจานก็ล้าง ขยันขันแข็ง คล่องแคล่วและกระตือรือร้น ไม่นานก็ทำเป็แม้กระทั่งอาหาร หลังเขาเรียนรู้เสร็จก็ไม่ได้อยู่ค่ายยุวปัญญาชนกับกลุ่มยุวปัญญาชนพวกนั้นต่อ หากแต่มาอยู่ที่บ้านของสกุลเจิ้งแทน ครั้นวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เฉินชุ่ยอวิ๋นก็แทบจะมองซ่งปิงเป็ลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง ส่วนเจิ้งเทียนิถอดเฝือกออกจากขาแล้ว ขาเขาฟื้นตัวดีมาก ตอนนี้จะเดิน วิ่ง หรือะโก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าต้องทำงานหนัก คุณหมอแนะนำว่าควรพักอีกสักหน่อย
เมื่อผ่าน่เก็บเกี่ยวหน้าฤดูใบไม้ร่วง ในกองก็แจกจ่ายเสบียงกันอีกรอบ หนนี้ได้รับมันเทศมาไม่น้อย มันเทศเป็ธัญพืชเนื้อหยาบ [1] ซึ่งปกติธัญพืชเนื้อหยาบจะเก็บไว้ให้ชาวบ้านกินกันเอง แตกต่างจากธัญพืชเนื้อละเอียด [2] ที่ต้องจ่ายให้เบื้องบน แต่มันจัดเก็บยากและแข็งง่ายเมื่ออากาศเย็น ดังนั้น จึงต้องหั่นมันเทศเป็แว่นๆ แล้วตากให้แห้ง พอเอาไปบดจะกลายเป็แป้งมัน หากไม่บดก็ต้มกินทั้งชิ้นแก้หิวได้ แค่ไม่ค่อยอร่อยเท่านั้น
หลังแบ่งเสบียง พี่สาวคนโตเจิ้งเอ๋อก็กลับมาบ้าน เฉินชุ่ยอวิ๋นห่อมันเทศแห้งเต็มกระสอบผ้าป่านที่หนักเกินร้อยจินให้เธอนำกลับบ้านสามีไปด้วย เจิ้งสยาจะกลับมาทุกๆ ปีที่แบ่งเสบียง แม้เฉินชุ่ยอวิ๋นเองจะรังเกียจครอบครัวนี้มาก แต่เจิ้งเอ๋อดันแต่งงานมาสามปีแล้วยังไม่มีลูก เพื่อให้ลูกสาวตนเองมีชีวิตค่อนข้างดีในบ้านสามี เธอเลยต้องยอมจ่ายเสบียงส่วนนี้ เมื่อเจิ้งเอ๋อกลับไปเธอก็จะบ่นให้เจิ้งหยวนฟังอีกที บอกว่าหาบ้านสามีไม่ดีให้ลูกสาวคนโต ตอนนั้นถูกหลอกแล้ว เจิ้งหยวนจะพูดอะไรได้ล่ะ สมัยนี้ยังไม่นิยมหย่าร้างกัน เธอไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้พี่สาวหย่าได้
อากาศเย็นลงในเวลาไม่นานและเข้าสู่ฤดูหนาว พวกชาวบ้านมักจะใส่ผ้าฝ้ายไว้ใต้เสื้อสองชั้น ่เวลานี้เป็่ที่ไม่มีใครอยากออกไปข้างนอกสักคน เมื่อไม่มีงานที่แปลงนา ทุกครัวเรือนก็จะหมกตัวอยู่ในห้องที่มีเตียงเตา [3] คุยเล่นไปพลางเย็บพื้นรองเท้าไปพลาง ถือว่าค่อนข้างสบายทีเดียว
เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ จวบจนมาถึงวันที่เจิ้งหยวนใกล้จะออกเรือน
แม้เจิ้งหยวนกับเฝิงเจี้ยนเหวินจะไม่ได้พบหน้ากันใน่นี้ แต่พวกเธอแลกเปลี่ยนจดหมายกันหลายต่อหลายครั้ง ครั้นคุยไปคุยมาจึงพบว่าแค่เจิ้งหยวนคนเดียวก็ได้รับจดหมายสิบกว่าฉบับแล้ว ตอนแรกทั้งสองคุยกันด้วยภาษาที่ค่อนข้างเป็ทางการ แล้วค่อยๆ เริ่มเล่าเื่ของตนเอง งานอดิเรก ความสนใจของกันและกันทีละนิดจนคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ จดหมายฉบับล่าสุดเพิ่งได้รับมาเมื่อสองวันก่อน เจิ้งหยวนหยิบจดหมายทั้งหมดออกมาจากลิ้นชัก และแยกฉบับที่อยู่ข้างบนออกมาคลี่ดู แม้กระดาษสีขาวราวหิมะที่เฝิงเจี้ยนเหวินใช้เขียนจะดูเป็ระเบียบเรียบร้อย แต่ตัวอักษรก็ยังไม่ค่อยสวย แม้เขาจะตั้งใจเขียนแล้วแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังข่มขู่อยู่
ถึง สหายเจิ้งหยวน
นี่คงเป็จดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันเขียนหาเธอก่อนออกจากกองทัพ ฉันลาหยุดเรียบร้อยแล้ว อีกสองวันก็จะกลับบ้าน ไม่รู้จดหมายฉบับนี้จะถึงมือเธอก่อน หรือเป็ฉันที่โผล่มาตรงหน้าเธอก่อนกันแน่
ฉันอธิบายความรู้สึกตอนนี้ของตัวเองไม่ถูกนัก เมื่อก่อนฉันกลับบ้านไม่เคยมีความรู้สึกตื่นเต้นและประหม่านิดหน่อยแบบนี้เลย? ฉันคิดว่าไม่ใช่เพราะคิดถึงบ้านอย่างเดียว แต่เป็เพราะฉันกำลังจะได้พบหน้าเธอต่างหาก
แม้เราจะเป็คู่หมั้นกันอย่างถูกต้องชอบธรรม วันแต่งงานก็กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว และเราจะกลายเป็คู่บ่าวสาวแค่ฉันกลับถึงบ้านเท่านั้น แต่ฉันยังอดตื่นเต้นไม่ได้ เธอเจอฉันแล้วจะผิดหวังหรือเปล่า? จะคิดว่าฉันไม่เหมือนในจินตนาการของเธอไหม? หากเธอผิดหวังขึ้นมา ฉันว่าฉันคงไม่ให้โอกาสเธอเสียใจ เราจะแต่งงานเป็ครอบครัวเดียวกันตามเดิม ฉะนั้น เธออย่าได้ผิดหวังเลยนะ ถ้าไม่พอใจกันจริงๆ … เธออาจต้องปรับทัศนคติตนเองสักหน่อย เพราะอย่างไรเธอก็ต้องอยู่กับฉันชั่วชีวิต แม้สามีภรรยาส่วนใหญ่จะเคารพยกย่องซึ่งกันและกัน แต่ฉันกลับหวังว่าเราจะเป็คู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันจนคนอิจฉาริษยา ดังนั้น สหายเจิ้งหยวน เรา้าความร่วมมือจากเธอด้วย หากเป็ไปได้ ฉันอยากให้เรามีลูกกันสักสี่คน ลูกชายสอง ลูกสาวสอง ลูกชายให้เขาเป็ทหารกับฉัน ส่วนลูกสาวให้พวกเธอไปเรียนเต้นรำเล่นดนตรี ค่อยสอบเข้าเหวินกงถวน [4] ไม่รู้ว่าเธอจะคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
จริงด้วย พี่สะใภ้หลิวบอกว่าเด็กสาววัยอย่างพวกเธอชอบดูหนังกัน หลังฉันกลับบ้าน เราไปดูหนังด้วยกันดีไหม? แค่ไม่รู้ว่าไม่กลับบ้านนาน อำเภอพวกเราจะมีโรงภาพยนตร์หรือยัง
ฉันเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ให้เธอด้วย ฉันกำลังจะกลับบ้านพอดี เลยไม่ได้ส่งไปทางไปรษณีย์ ฉันจะส่งของขวัญให้ถึงมือเธอเอง หวังว่าเธอจะชอบมันนะ
ลงนามท้ายจดหมายว่า คู่หมั้นของเธอ เฝิงเจี้ยนเหวิน แถมเขายังใส่วงเล็บเพิ่มเข้ามาด้วยว่า ต่อไปลงนามตรงนี้น่าจะเปลี่ยนเป็ ‘สามีของเธอ เฝิงเจี้ยนเหวิน’ แล้ว
เจิ้งหยวนถือจดหมาย ปลายนิ้วลากไล้เบาๆ บนประโยค ‘เธออาจต้องปรับทัศนคติตนเองสักหน่อย’ แล้วอดขำทุกคราวที่เห็นมันไม่ได้ เ้าหนุ่มเฝิงเจี้ยนเหวินนิสัยค่อนข้างเผด็จการเลยทีเดียว แถมยังใจเร็วด่วนเสียด้วย จดหมายฉบับแรกยังค้านหัวชนฝาอยู่เลย พอส่งจดหมายหากันหลายครั้ง สำนวนและลมปากกลับเหมือนเด็กน้อยเพิ่งตกหลุมรักครั้งแรกไม่มีผิด เขาชอบเธอั้แ่เมื่อไรกัน?
ใช่ เธอมั่นใจมากว่าเ้าเด็กเฝิงเจี้ยนเหวินต้องตกหลุมรักเธอแล้วแน่นอน! ดูคำพูดที่เขียนในจดหมายสิ มีทั้งตื่นเต้น ทั้งประหม่า และวาดฝันเื่ราวในอนาคต บ่งชัดว่าความรักหยั่งรากลงไปแล้ว เมื่อลองนึกถึงจดหมายหลายฉบับที่เขียนหาเขาก่อนหน้านี้ ก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ แถมยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน เรียกว่าคุ้นเคยยังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาสะกดจิตตัวเองให้หวั่นไหวกับเธอได้อย่างไรกันนะ?
แต่เธอไม่ได้รู้เลยว่าเฝิงเจี้ยนเหวินผู้อยู่ในกองทัพที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์รอบข้าง ย่อมไม่มีใครคอยเตือนเขาให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ เมื่ออากาศหนาว าเ็ต้องรู้จักรักษาตัวดีๆ หรือให้ไปหมอหากไม่สบายกายอย่างเอาใจใส่ แล้วเจิ้งหยวนยังประจบเก่ง เขียนคำหวานอย่าง ‘สหายเจี้ยนเหวินเป็บุรุษจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่’ ‘สหายเจี้ยนเหวินยอดเยี่ยมเหลือเกิน’ หรือ ‘เป็ทหารนั้นงานหนัก สหายเจี้ยนเหวินต้องตกระกำลำบากและทุกข์ทรมานไม่น้อยแน่ สหายเจี้ยนเหวินช่างมีจิตสำนึกยิ่งใหญ่และอุดมการณ์สูงส่งนัก’ มากมายก่ายกองลงในจดหมายจนดูมีภาพลักษณ์หญิงสาวตัวเล็กตัวน้อยที่ใส่ใจ อ่อนโยน รวมทั้งยกย่องเขาสุดๆ ทำเฝิงเจี้ยนเหวินรู้สึกสบายกายสบายใจ ทุกครั้งที่หยิบจดหมายของเธอขึ้นมาอ่านท่ามกลางราตรีกาลอันเงียบสงัด หัวใจเขาเลยเหมือนอาบชโลมด้วยน้ำหวานจนหวานซาบซ่าน
ทว่านิสัยที่แสดงในจดหมายจะเหมือนตัวตนจริงๆ เป๊ะได้อย่างไร? โดยเฉพาะคนอย่างเจิ้งหยวนที่มีมาตรฐานของตัวเองเมื่อจะพูดอะไรกับใคร เฝิงเจี้ยนเหวินคือคู่หมั้นของเธอ เธอก็ต้องพูดจาฉอเลาะเอาใจเขาสักหน่อยสิ? เหมือนหนุ่มน้อยคบหากับแฟนสาวในยุคศตวรรษที่ 21 ที่ก่อนแต่งงาน ทั้งโรแมนติก ทั้งตามใจ แล้วค่อยเผยธาตุแท้ออกมาทีหลังนั่นแหละ พอแต่งกันแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวเขาคืนสินค้าอีก? เพราะการแต่งงานสมัยนี้เป็แบบ ‘ขายออกแล้วไม่รับคืน’ นี่นา
เชิงอรรถ
[1] ธัญพืชเนื้อหยาบ หมายถึง อาหารประเภทข้าวโพด มันเทศ ข้าวโอ๊ต ถั่ว ข้าวเดือย ข้าวฟ่างเกาเหลียง เป็ต้น
[2] ธัญพืชเนื้อละเอียด หมายถึง ธัญญาหารจำพวกข้าวและแป้ง
[3] เตียงเตา หมายถึง เตียงยกพื้นสูงที่สามารถนั่งและนอน ก่อจากดินหรืออิฐของชาวจีนภาคเหนือที่ข้างใต้มีช่องสำหรับสุมไฟให้ความอบอุ่น
[4] เหวินกงถวน หมายถึง หน่วยงานทหารที่มีการเลื่อนขั้นเหมือนกับหน่วยอื่นๆ มีหน้าที่แสดงร้องรำทำเพลงเพื่อดำเนินงานประชาสัมพันธ์หรือให้กำลังใจและปลอบประโลมทหาร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้