“มองอะไร บังอาจนักเ้าคนเตียว[1] เห็นข้าแล้วยังไม่รีบคุกเข่าคารวะอีก”
เ้าตัวเล็กยกมือขึ้นเท้าสะโพกพร้อมกับเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ไม่มีความเขินอายที่การก่อปัญหาถูกจับได้เลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงคมชัดที่มีความนุ่มนวลในแบบของเด็ก ค่อนข้างน่าฟัง
อิ้งหลีขมวดคิ้ว องค์ชายองค์หญิงในราชวังเขาล้วนไม่เคยเห็น ไม่รู้จักและไม่รู้ว่าคนไหนเป็คนไหน แต่ไม่ว่าจะเป็ผู้ใด ตอนนี้เขาอยากจะเอื้อมมือออกไปบีบแก้มซาลาเปาของเขาจริงๆ องค์ชายผู้ยิ่งใหญ่ ดูไปแล้วเหมือนกับเด็กน้อยรูปทองผู้น่ารักแต่กลับเป็เ้าหมีน้อยเช่นนี้ ตี้จวินรู้เื่นี้หรือไม่?
“เฮ้ ข้ากำลังพูดกับเ้า...”
“คนเตียวหรือ?”
อิ้งหลีพูดย้ำด้วยน้ำเสียงที่แ่เบา มุมปากกระตุกอย่างไม่พอใจ เขาเดินเข้าไปแล้วก้มต่ำลงมองอย่างดูถูก
“ราชวังเป็สถานที่ที่อำนาจขององค์ฮ่องเต้ทรงพลังที่สุด เมฆสีม่วงปรากฏที่ทิศตะวันออก[2]กำหนดโชคชะตา์และโลก เป็ไปได้หรือที่จะมีคนเตียวเข้ามาได้? หวังว่าฝ่าาจะทรงพูดอย่างระมัดระวังหากตี้จวินมาได้ยินเข้า จะคิดว่ามีคนเตียวกล้าท้าทายความยิ่งใหญ่ของ์จริงๆ”
องค์ชายน้อยแหงนพระพักตร์มองก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พองแก้มมองตรงมาที่เขา
“เ้า... เ้าก็คือคนเตียว!”
อิ้งหลีพ่นลมออกมาเบา ๆ แล้วงอเข้าโน้มตัวลงมา
“เตียว หมายถึงคนเ้าเล่ห์ อันธพาล คนไร้เหตุผล และคนทรยศ กล่าวถึงพวกที่ทรยศหักหลังและชั่วร้าย ขอถามฝ่าา ข้าเหมือนคนเตียวตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ?”
ใบหน้าซาลาเปาขององค์ชายน้อยมีความเขินอายแต่ยังเชิดคางขึ้น “เถียงข้างๆ คูๆ ...”
อิ้งหลีเลิกคิ้วขึ้น
“เถียงข้างๆ คูๆ หมายถึงพูดจาลื่นไหล แต่ขาดความจริงใจและเป็การโต้เถียงอย่างไร้เหตุผล ขอถามฝ่าา ข้ากำลังเถียงข้างๆ คูๆ อยู่หรือไม่?”
องค์ชายน้อยหน้าแดงก่ำ “เ้า เ้าหยาบคาย...”
อิ้งหลีหัวเราะ
“ทรงตรัสว่าข้าหยาบคาย ฝ่าาทรงรู้สึกว่าพระองค์ไม่มีความผิดฐานลอบจู่โจมหรือ? ทรงรู้สึกว่าความเย่อหยิ่งไม่รู้จักเคารพอาจารย์ไม่เป็การทำร้ายหน้าตาของราชวงศ์หรือ?”
“…”
เด็กน้อยแก้มซาลาเปาพองแก้มออกมาเขาถูกทำให้อึดอัดจนพูดไม่ออก จ้องมองไปที่บัณฑิตผู้มีท่าทางสุภาพซึ่งอยู่ตรงหน้าสูดลมหายใจอย่างแรงราวกับจะออกแรงตีอีกฝ่าย หลังจากนั้นไม่นานก็ร้องไห้ออกมา
“…”
แย่แล้ว อิ้งหลีเอาพัดตบหน้าผากของตน เผลอหยอกล้อมากไปหน่อย เ้าลูกหมีผู้นี้ไม่สามารถทนได้เสียแล้ว...
เสียงร้องขององค์ชายน้อยดึงดูดข้ารับใช้ในวังให้เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว กลุ่มขันทีน้อยและนางข้าหลวงรับวิ่งเข้ามาตามเสียง
“องค์ชายสาม... พระองค์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้ข้าน้อยตามหา...”
เสียงอ่อนโยนของขันทีตัวน้อยราวกับจะร้องไห้ เพียงชั่วพริบตาบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ก็หายไปมันทำให้พวกเขาหวาดกลัว
อิ้งหลียืนอยู่ข้าง ๆ มองดูพวกเขาที่กำลังตื่นตระหนกเดี๋ยวปลอบประโลมอีกเดี๋ยวก็ถามสารทุกข์สุกดิบแล้วรู้สึกว่าสำหรับพวกเขานั้นช่างไร้ทางเลือกจริงๆ การที่ต้องเผชิญหน้ากับเ้าลูกหมีเช่นนี้ทุกวันก็ยากพอแล้ว
เป็การยากมากที่จะเอาใจบรรพบุรุษน้อย ขันทีน้อยผู้เป็หัวหน้าในการดูแลเ้าลูกหมีหันมาหาอิ้งหลีแล้วถลึงตามองด้วยความโกรธ
“เ้าเป็ใคร? ถึงกล้ามารังแกองค์ชายสาม”
“ข้า...”
“ดึกขนาดนี้แล้ว ยังให้องค์ชายออกมาวิ่งเล่นข้างนอกเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งตำหนักฉวินอิ๋งเป็ใช่สถานที่ที่ควรมีเสียงดังหรือไม่?”
อิ้งหลียังไม่ทันได้ตอบกลับไป เสียงอันสง่างามของเฟิงจิ้งอี้ก็ดังเข้ามา ทุกคนต่างมองหาที่มาของเสียง ก็เห็นว่าตี้จวินกำลังเดินเข้ามาตามลำพังอย่างสงบเยือกเย็น
“คารวะตี้จวิน”
ทุกคนต่างคุกเข่าก้มลงคารวะ เฟิงจิ้งอี้โบกมือ “ลุกขึ้นได้”
ทันทีที่เดินมาถึงด้านหน้าองค์ชายสามที่ยังคงร้องไห้อยู่ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เสด็จพ่อ...”
ด้วยคับข้องใจในเื่เล็กๆ จึงมองขึ้นไปด้วยท่าทางน่าสงสาร เมื่อเหลือบมองอิ้งหลีปากของเขาก็แบะออกอีกครั้ง
เฟิงจิ้งอี้ก้มตัวยกมือปาดน้ำตาออกจากหน้าของเขา แล้วถามเบาๆ “อี้เอ๋อร์ทำผิดหรือไม่?”
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างแรง “อืม”
มุมปากของเฟิงจิ้งอี้กระตุกก่อนที่เขาจะนั่งชันเข่าลงไป
“เล่นซุกซนกลั่นแกล้งราชครูคนใหม่ เล่นพิเรนทร์ล้มเหลวแล้วยังจะมาร้องไห้อีก ช่างขายหน้าเสียจริง”
องค์ชายสาม “…”
เฟิงจิ้งอี้ “อย่างไร ไม่ใช่หรือ?”
เ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก จับจ้องที่นิ้วเท้าของตนเองโดยไม่ส่งเสียงใดๆ “…”
เห็นเขาทำหน้าไม่พอใจเช่นนี้ เฟิงจิ้งอี้จึงพูดออกมาอีกครั้ง “เจิ้นเห็นหมดแล้ว”
“ลูก... ผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”
พูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ั์ตาแดงก่ำยิ่งพร่ามัวขึ้นอีก ได้แต่กะพริบตาถี่ ๆ ไม่ให้น้ำตาร่วง ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างต่างคุกเข่าลงอย่างสั่นเทา ตี้จวินมักจะเข้มงวดกับเหล่าองค์ชายองค์หญิงเสมอ เมื่อครู่ตี้จวินเห็นว่าพวกเขาปกป้ององค์ชายน้อยโดยไม่ถามว่าถูกหรือผิด เกรงว่าจะเป็การยั่วยุให้ตี้จวินไม่พอใจ
มองผู้ที่ยอมรับผิดอย่างไม่เต็มใจ เฟิงจิ้งอี้บีบใบหน้าซาลาเปานั้น “รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว ข้ามักจะสอนเ้าว่าอย่างไร?”
เ้าตัวเล็กก้มศีรษะลง หลังจากกัดริมฝีปากของตนอยู่ครู่หนึ่งก็ก้มหน้าเดินไปตรงหน้าอิ้งหลีแล้วพูดเสียงเบาว่า
“ท่านราชครู อี้เอ๋อร์รู้ผิดแล้ว อี้เอ๋อร์ไม่ควรเล่นพิเรนทร์...”
ไม่ได้รอให้อิ้งหลีตอบอะไรกลับมา เฟิงจิ้งอี้เดินเข้ามาตบไหล่เ้าตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากจางหายไป มองดูข้ารับใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างไม่พอใจ พร้อมกับกล่าวว่า
“ส่งองค์ชายสามกลับห้องบรรทม ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป ให้องค์ชายสามคัดพระราชวินัยอย่างจริงจัง การเคารพอาจารย์ของลัทธิเต๋าคัดร้อยรอบ และให้องค์ชายทุกคนคัดมาคนละห้าสิบรอบ คัดไม่เสร็จห้ามออกจากห้องบรรทมแม้เพียงครึ่งก้าว พวกเ้าที่ดูแลองค์ชายได้ไม่ดีก็จงไปที่กรมอาญารับโทษด้วยตนเองเสีย ถอยไป”
เ้าหนูน้อยจอมซุกซนคงถูกใครบางคนชักจูงหรือยั่วยุให้มาที่นี่เป็แน่ ต้องไม่ให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้อยู่สบายนัก
ข้ารับใช้ในวัง “กระหม่อมน้อมรับบัญชา...”
“เสด็จพ่อ... ฮือ...”
“หืม?” เฟิงจิ้งอี้ก้มศีรษะลงมา “อี้เอ๋อร์ยังมีสิ่งใดไม่พอใจอีกหรือ?”
เด็กชายกลั้นน้ำตาเอาไว้กัดริมฝีปากและส่ายหัวอย่างแรง “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงสั่งสอนพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้ส่ายหัวชี้ไปที่อิ้งหลีแล้วกล่าวว่า “อี้เอ๋อร์ครั้งนี้ผู้ที่เ้าควรขอบคุณคือท่านราชครู”
องค์ชายสามเงยหน้าขึ้นมองอิ้งหลีอีกครั้ง กล่าวออกมาเบาๆ ว่า “อี้เอ๋อร์ขอบคุณสำหรับคำสอนของท่านราชครู”
อิ้งหลีคุกเข่าลงเพื่อเช็ดน้ำตาให้เขา “องค์ชายอี้ทั้งฉลาดและน่ารัก รู้ความผิดและแก้ไขได้ก็ดีแล้ว ในวันหน้าคงต้องขอคำชี้แนะจากพระองค์อีกมาก”
เ้าตัวเล็กเหลือบมองเฟิงจิ้งอี้แวบหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว ภายใต้การแสดงออกที่ไม่อาจคาดเดาได้ของเฟิงจิ้งอี้ เขาจึงตอบอิ้งหลีไปอีกว่า
“อี้เอ๋อร์ก็ยังต้องขอคำแนะนำจากท่านราชครูอีกมากเช่นกัน”
เฟิงจิ้งอี้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับโบกมืออย่างพอใจ “กลับไปเถอะ”
“ลูกขอลา”
เ้าตัวน้อยหันหลังกลับเดินตามข้ารับใช้ในวังไปในแต่ละก้าวล้วนไม่ได้ยินว่าเสด็จพ่อจะถอดถอนคำสั่ง หลังจากผ่านมุมสวนไปแล้วน้ำตาจึงไหลลงมาอีกครั้ง เหล่าข้ารับใช้ในวังทั้งเกลี้ยกล่อมทั้งฉุดรั้งเพื่อพาคนกลับห้องบรรทม
หลังจากที่เสียงร้องหายไป อิ้งหลีแอบหายใจเข้าลึก ๆ และก้มศีรษะให้กับเฟิงจิ้งอี้ “ขอบพระทัยฝ่าา”
เฟิงจิ้งอี้หัวเราะออกมา
“เ้าไม่ได้ทำอะไรผิด จะตำหนิเ้าได้อย่างไร เมื่อตอนที่เจิ้นยังเล็กโดนท่านราชครูลงโทษด้วยไม้มาไม่น้อย เคยโดนแม้กระทั่งไม้กระดาน อี้เอ๋อร์มีชีวิตชีวาและชอบกลั่นแกล้ง ในตอนนี้ท่านราชครููเฒ่าชราเกินกว่าที่จะลงโทษพวกเขาได้ ควรหาใครสักคนเข้ามาลดความฮึกเหิมของเขาได้แล้ว เจิ้นเชื่อว่าเ้าสามารถทำได้ดี”
อิ้งหลี “กระหม่อมจะทำให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” เฟิงจิ้งอี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงถามว่า “สร่างเมาแล้วหรือยัง? เ้า้าให้หัวหน้าองครักษ์เซียวส่งเ้ากลับจวนหรือไม่?”
อิ้งหลีรีบส่ายหัว “ไม่จำเป็ต้องรบกวนหัวหน้าองครักษ์เซียวหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้เมา”
“หืม” เฟิงจิ้งอี้มองใบหน้าที่ยังคงแดงก่ำอย่างสงสัย พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“เช่นนั้นก็ไปดื่มกับข้าอีกสักสองสามจอก เมื่อเมาแล้วเจิ้นจะให้คนส่งเ้ากลับจวน”
อิ้งหลี ...อันที่จริงเขาหวังว่าตี้จวินจะอนุญาตให้เขาออกจากวังได้ในเวลานี้
เชิงอรรถ
[1] คนเตียว หมายถึงคนทรยศและคนชั่วที่ทำให้ทางราชการต้องลำบาก
[1] เมฆสีม่วงปรากฏที่ทิศตะวันออก เป็สำนวนจีนในบันทึกประวัติศาสตร์ เื่ราวของเหลาจื่อที่กำลังเดินทางมายังด่านของหยินสี่ ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกปรากฏเห็นก้อนเมฆใหญ่สีม่วงลอยเด่นอยู่ จึงเป็ความหมายว่าสิ่งอันเป็มงคลมาทางทิศตะวันออก
