“ข้าจะกลับไปกับเ้า”
ในขณะที่เยวี่ยเจาหรานยังคงลังเลอยู่นั้น คำพูดของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ราวกับยาที่ทำให้จิตใจสงบขึ้นมา เยวี่ยเจาหรานที่มั่นคงขึ้นมามากแล้วยังมีความกระวนกระวายไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
เยวี่ยเจาหรานเงยหน้าขึ้นมา แล้วจึงสบตากับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ถึงอย่างไรตนก็เป็บุรุษนะ ตกอับจนต้องให้หญิงสาวคนหนึ่งมาช่วยให้ตนสงบใจั้แ่เมื่อไรกัน?!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยวี่ยเจาหรานก็รู้สึกว่าไม่ได้การ จึงโบกมือไปทางเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างเป็ลูกผู้ชายเสียเต็มประดา ขณะกำลังจะเอ่ยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วว่าไม่เป็ไรด้วยมาดสุดเท่ ผลสุดท้ายกลับถูกเด็กรับใช้ของจวนเยี่ยนผู้นั้นชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน…
พูดตามตรง เยวี่ยเจาหรานในขณะนั้นนึกอยากจะตีคนขึ้นมาจริงๆ หากไม่ผิดกฎหมายละก็ เขาอาจจะลงมือฆ่าเ้าเด็กนั่นให้ตายไปเลย ถึงอย่างไรต่อหน้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตนก็แต่งตัวเป็หญิงแสร้งแสดงมามากแล้ว น้อยนักที่จะมีโอกาสเผยพลังแฟนหนุ่มของตนออกมาอย่างไม่ต้องห่วงหน้า แต่โอกาสที่ไม่ได้มีมานานเช่นนี้ ก็ได้ถูกเ้าเด็กบ้าที่ไม่รู้วิ่งออกมาจากไหนนี่ทำลายไปเสียแล้ว เ้าว่าน่าโมโหหรือไม่?!
“คุณชาย ท่านอย่าไปเลยขอรับ...”
เด็กรับใช้ผู้นั้นก้มหน้าลง เอ่ยออกมาอย่างลำบากใจยิ่งนัก ขณะเดียวกันเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มีสีหน้างุนงงมองไปยังเยวี่ยเจาหราน ผลลัพธ์นั้นพบว่าเยวี่ยเจาหรานยังไม่หลุดพ้นออกมาจากความเสียใจและเสียดายเมื่อครู่ ดังนั้นจึงหันไปถามกับเด็กรับใช้ผู้นั้น “เพราะเหตุใดหรือ?”
เด็กรับใช้ผู้นั้นแสดงสีหน้าออกมาว่า ในเมื่อเ้าถามมาอย่างจริงใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเมตตาบอกเ้าก็แล้วกัน หลังจากที่กระแอมไอทำคอให้โล่งเล็กน้อยแล้ว จึงค่อยๆ เอ่ยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขึ้นมา “เพราะว่า...”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะรู้สึกว่าการเอ่ยบทพูดอย่างเอิกเกริกเช่นนั้นจะเป็การผิดต่อเ้านายของตนที่ต้องจ่ายค่าเหนื่อยให้ตนก็ได้ ดังนั้นจึงแก้ไขได้ทันเวลา เขาขยับไปข้างหูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยกระซิบกระซาบเสียงเบากับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล็กน้อย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วฟังจบ ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง “อ้อ...”
เยวี่ยเจาหรานที่ไม่ได้ยินความลับแสดงออกว่าตนไม่พอใจมาก แน่นอนว่าต้องมุ่ยปากสื่อให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วบอกตน ใครจะไปรู้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะยักไหล่อย่างไม่แยแส แล้วเอ่ยตามตรง “เขาบอกว่าคนในตระกูลของพวกเ้าเหมือนจะเตรียมการสร้างปัญหาให้ข้า ให้ข้าอย่ากลับไปก่อความวุ่นวายเพิ่มเลย”
...
เด็กรับใช้น้ำท่วมปากมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างพูดอะไรไม่ออก ในใจเอ่ยตำหนิ จุดประสงค์ที่ข้าอุตส่าห์พยายามเข้าไปพูดอยู่ข้างหูเ้าคืออะไรกันเล่า? หรือคิดว่าข้าอยากให้เ้ามาเป็เครื่องขยายเสียงของข้าหรือ?! หรือว่ามีเครื่องขยายเสียงที่มาจากตระกูลขุนน้ำขุนนางอย่างเ้าแล้วมันจะเป็เกียรติสำหรับข้าหรืออย่างไรกัน?!
...เอาเถอะ ก็อาจจะ
ดังนั้นเด็กรับใช้ที่คิดถึงตรงนี้ก็ปิดปากเงียบอย่างชาญฉลาด แสดงออกว่า… ก็ได้เ้าเป็นาย คำพูดเ้าเป็ใหญ่ เ้าอยากให้โลกรู้นั่นก็ให้รู้ไปเถอะ อย่างไรข้าก็ขัดเ้าไม่ได้
“อย่างนั้นก็เอาเถอะ เช่นนั้นข้าไปเองก็พอแล้ว” ความจริงเยวี่ยเจาหรานก็ไม่ได้เชื่อว่าคนในบ้านตน้าสร้างปัญหาให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ถึงอย่างไรลูกเขยไม่เอาไหนอย่างเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว หากคนบ้านตนนึกอยากจะสร้างปัญหา ให้ก็คงจะหาเื่ก่อกวนจวนเยี่ยนไปนานแล้ว ยังต้องรอถึงตอนนี้หรือ?
สรุปได้ว่า บางทีทางฝั่งเยียนหรานคงจะส่งข่าวคราวใหม่มา สถานการณ์เช่นนี้ถึงจะทำให้คนตระกูลเยวี่ยเร่งร้อนเรียกตนกลับไป นอกจากนี้ยังต้องปิดซ่อนจากทุกคนของจวนเยี่ยนและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วด้วย
เยวี่ยเจาหรานที่เข้าใจอยู่แล้วจึงพยักหน้า และหันกลับไปเอ่ยฝากฝังกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “เอาล่ะ คราวนี้ให้ข้ากลับไปเองเถอะ ตัวเ้าอยู่ในอารามชี... ต้องเอาให้อยู่ล่ะ” ???
เอาให้อยู่หมายความว่าอย่างไร?! เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วฟังจบก็เบิกตากว้างอย่างงุนงง นิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เพียงแค่จ้องมองเยวี่ยเจาหรานเงียบๆ อย่างว่างเปล่า
แต่เห็นได้ชัดว่าเยวี่ยเจาหรานไม่ได้มีความคิดที่จะอธิบาย เขาเพียงแต่เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนข้าคุยกับเ้าแล้วนะ เ้าก็จำได้แล้วนี่นา”
เมื่อนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงนับว่าเข้าใจอะไรขึ้นมา หลังจากพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ก็มองส่งเยวี่ยเจาหรานจากไปพร้อมกับเด็กรับใช้ที่มาส่งข่าวสองสามคนนั้น
เพื่อดำเนินการตามคำฝากฝังของเยวี่ยเจาหรานให้ถึงที่สุด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะต้องระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าตนก็คือมือสังหารผู้เ็าไร้ความรู้สึกคนหนึ่ง ตั้งมั่นว่าจะต้องรับมือการฉอเลาะของสวี่ชิวเยวี่ย โดยการไม่ฟังไม่ดูและไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่นักแสดงที่จำเป็ต้องศึกษาเพิ่มเติมเสียหน่อยไม่ใช่หรือ?
“เอาล่ะเปี่ยวเม่ย ตอนนี้พวกเราก็กลับห้องพักกันเถอะ!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหันหน้ากลับมาอย่างแข็งทื่อ เอ่ยขัดจังหวะคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาของสวี่ชิวเยวี่ยโดยไม่สนใจรอบข้าง แถมพอพูดจบ นางไม่รอให้สวี่ชิวเยวี่ยตอบกลับ ก็ชิงวิ่งหนีไปเสียแล้ว
เหลือเพียงสวี่ชิวเยวี่ยกับคนอื่นๆ และซือไท่จิ้งซินที่ยืนอยู่ที่อีกข้าง เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งด้วยความงุนงง “คุณชายเยี่ยนเขา... ไม่กินข้าวแล้วหรือ?”
...
แต่ในความเป็จริงเมื่อท้องของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วร้องจ๊อกๆ ไม่หยุดในยามบ่ายนั้น นางก็นึกเสียใจขึ้นมา อย่างไรเสียตอนนั้นตนก็วู่วามเกินไปจริงๆ แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ทันได้กิน แล้วอาหารเจของอารามชีแห่งเขาชิงเฉวียนที่ว่ากันว่าอร่อยมากนักเล่า? เหตุใดตนเฝ้ารอมานานขนาดนี้กลับไม่ทันได้ลิ้มลองสักคำก็หนีมาเสียแล้ว!
ทว่าโชคยังดี ยามท้องฟ้าเริ่มหม่นแสง สวี่ชิวเยวี่ยก็ได้นำอาหารมาให้…
“เปี่ยวเกออยู่ไหมเ้าคะ?” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของสวี่ชิวเยวี่ย ทำเอาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่หิวจนฟุบอยู่บนโต๊ะใจนสะดุ้งลุกนั่งขึ้นมา “หา? ข้า… ข้าอยู่สิ...”
ถึงอย่างไรตนก็ส่งเสียงเอ่ยออกไปแล้ว หากจะให้บอกว่าไม่อยู่เอาตอนนี้ ก็คงดูประหลาดเกินไปไม่ใช่หรือ?!
ไม่มีทางเลือก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้แต่ฝืนใจเปิดประตูห้องให้สวี่ชิวเยวี่ย แต่คาดไม่ถึงว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะนำสิ่งที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว้ามากที่สุดในยามนี้… อาหารหนึ่งโต๊ะ!
ตาชั่งระหว่างความทรมานของท้องหิวและความคิดที่จะปฏิเสธสวี่ชิวเยวี่ยนั้นโยกคลอนไปมาอยู่ในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่หยุด คำพูดของเยวี่ยเจาหรานดังก้องสะท้อนอยู่ข้างหูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วครั้งแล้วครั้งเล่า เขาบอกว่า…
เขาบอกว่าอะไรนะ?!
“เอ่อ เห็นเปี่ยวเกอยังไม่ทันได้กินข้าวเที่ยงเลย คิดดูแล้วยามนี้คงจะหิวมาก ชิวเยวี่ยจึงตั้งใจให้คนทำอาหารมาโต๊ะหนึ่ง อย่างแรกก็เพื่อขอบคุณการดูแลเอาใจใส่ของเปี่ยวเกอหลายวันมานี้... อย่างที่สอง เพราะกลัวว่าเปี่ยวเกอจะหิวจนเสียสุขภาพ หากเป็เช่นนั้นชิวเยวี่ยกลับไปก็คงไม่อาจสู้หน้าพี่สะใภ้และท่านป้าได้...”
คำพูดของสวี่ชิวเยวี่ยนั้นไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยิ่งหมดหนทางจะปฏิเสธได้ แต่ว่า… แต่ว่าในใจของนางก็ยังมีใบหน้าของเยวี่ยเจาหรานวนไปเวียนมา ย้ำเตือนคำพูดนั้นกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างเข้มงวดว่าให้นางหลีกหนีห่างจากสวี่ชิวเยวี่ยสักหน่อย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และใช้สติสัมปชัญญะที่ยังหลงเหลืออยู่เตือนสติตัวเอง แล้วอดกลั้นต่อความหิวโหยเอ่ยปฏิเสธออกไป “ไม่ต้องหรอก เปี่ยวเม่ย ข้าเห็นว่าอาหารโต๊ะนี้มีทั้งปลาทั้งเนื้อ ที่นี่คืออารามชี คงจะไม่เหมาะสมนัก”
เดิมทีนึกว่าการตอบกลับอย่างเป็ทางการและวิธีการปฏิเสธเช่นนี้จะต้องสามารถทำให้สวี่ชิวเยวี่ยหมดคำพูดได้เป็แน่ ทว่า... ทว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นยังประเมินความสามารถในการใช้คารมของสวี่ชิวเยวี่ยต่ำไป!
“ชิวเยวี่ยรู้ว่าที่นี่คืออารามชี เดิมไม่ควรกินปลากินเนื้อพวกนี้ แต่หากใช้อาหารเจมารับแขก จะไม่เป็การไม่รู้จักธรรมเนียมมารยาทกลายเป็ขี้ปากคนอื่นหรอกหรือเ้าคะ? ดังนั้น นี่จึงเป็ของที่ชิวเยวี่ยตัดสินใจทำเป็พิเศษหลังจากถามซือไท่จิ้งซินแล้ว เปี่ยวเกอไม่ต้องกังวลใจไปหรอกเ้าค่ะ”
