ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน พวกเขาก็เดินมาถึงลานที่อยู่ด้านข้างของห้องครัว ติงเหว่ยชอบทำอาหารมาั้แ่ยังเล็กๆ ทำให้นางมีความผูกพันกับห้องครัวั้แ่เกิด เมื่อนางเห็นห้องครัวที่สะอาด กว้างขวาง และถูกจัดเก็บอย่างเป็ระเบียบ ริมฝีปากของนางก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมา
ถึงแม้ลุงอวิ๋นอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่เขาก็อดกลั้นไว้ พบกันครั้งแรกหากเอาใจใส่จนเกินไปคงไม่ดีเท่าไรนัก ดังนั้นเขาจึงชี้ไปที่ห้องครัวด้วยท่าทีเฉยๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อจากนี้ไปที่นี่คือที่ทำงานของแม่นาง แม่นางลองดูว่ามีสิ่งใดขาดเหลือหรือไม่?”
ติงเหว่ยก้าวขาเข้าไปด้านใน วางกระเป๋าเล็กๆ ที่ไม่เคยห่างจากตัวนางลง ในที่สุดนางก็มองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้านอย่างพิจารณา เห็นเพียงชั้นวางของที่สะอาดตา อุปกรณ์ในครัวก็มีให้พร้อมและถูกจัดวางไว้อย่างเป็ระเบียบ และที่มุมหนึ่งของห้องก็มีสาวใช้ตัวน้อยกำลังแอบงีบหลับอยู่อีกหนึ่งคนด้วยซ้ำ
อาจเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว สาวใช้ตัวน้อยนางนั้นจึงกุลีกุจอลุกขึ้นมา นางมือไม้อ่อน [1] อย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ติงเหว่ยยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางหันกลับไปหาท่านลุงอวิ๋นแล้วพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี หากต่อไปมีอะไรขาดตกบกพร่องข้าจะแจ้งกับท่านลุงยวิ๋นอีกครั้งหนึ่ง”
ท่านลุงอวิ๋นจ้องไปที่กระเป๋าเล็กๆ ข้างกายติงเหว่ย และเดาว่าคนทำอาหารคงมีเครื่องครัวที่ใช้ถนัดมือของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ถามอะไร แล้วชี้ไปที่สาวใช้ตัวน้อยนางนั้นพลางพูดว่า “ข้าเตรียมสาวใช้เป็ลูกมือไว้ช่วยเ้า นางพอทำอะไรได้เล็กๆ น้อยๆ เสี่ยวชิงมาหาแม่นางติงเสียสิ”
เสี่ยวชิงมีอายุเพียงสิบสองถึงสิบสามปี นางมีรูปลักษณ์ธรรมดาและมีใบหน้าที่ดูซื่อสัตย์จริงใจ นางก้าวไปข้างหน้าอย่างเขินอายเพื่อทักทายแม่นางติง
ติงเหว่ยรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญอย่างไม่คาดฝัน นางคิดไม่ถึงว่าในฐานะแม่ครัว ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีสาวใช้เป็ลูกมือเสียแล้ว ดังนั้นจึงรีบปฏิเสธและพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋น ข้าแค่มาทำอาหารที่นี่เป็ครั้งคราวก็เท่านั้น คงไม่จำเป็ต้องมีลูกมือก็ได้กระมัง?”
“ยามปกติเสี่ยวชิงก็ทำงานจิปาถะต่างๆ ในห้องครัวอยู่แล้ว พอเ้ามาข้าก็แค่ให้มาช่วยเป็ลูกมือเ้าก็เท่านั้น ทั้งสองสิ่งต่างก็ไม่ล่าช้า[2]”
ท่านลุงอวิ๋นยิ้มจนตาหยีแล้วโยนคำแก้ตัวที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าออกไป ที่จริงแล้วติงเหว่ยกำลังตั้งครรภ์ เขาคิดเป็ร้อยเป็พันวิธี [3] ทาบทามนางให้มาที่นี่เพื่อจะได้สะดวกในการดูแลสุขภาพ จะปล่อยให้นางทำงานหนักและลำบากได้อย่างไรกัน?
ติงเหว่ยรู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าอันแน่วแน่ของท่านลุงอวิ๋น ที่แท้การทำงานในห้องครัวนั้นทั้งสบายและเงินเดือนก็สูง นางคงพบสมบัติอันล้ำค่าเข้าเสียแล้ว[4]
หลังจากที่ลุงอวิ๋นออกจากบ้านไป ติงเหว่ยก็เลิกคิดฟุ้งซ่าน จากนั้นก็จัดวางขวดโหลเครื่องปรุงรสประเภทต่างๆ ผ่านไปไม่นานนางก็เริ่มคุ้นเคยกับห้องครัวที่กว้างขวางกว่าบ้านของนางมาก
นางเองก็ไม่ใช่คนไม่รู้บุญคุณคน และรู้สึกว่านางได้รับการดูแลจากลุงอวิ๋นเป็อย่างดี ดังนั้นนางจึงอยากจะแสดงฝีมือสักหน่อย ทำของอร่อยให้กินเป็การตอบแทน
ตอนนี้เพิ่งผ่านยามเที่ยงไป ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ หากลงมือเตรียมการคงพอดีกับ่ที่นายน้อยสกุลอวิ๋นตื่นจากการนอนกลางวัน เขาก็จะได้กินสำรับน้ำชายามบ่ายสักหน่อย
ในความคิดของนาง บางทีนายน้อยสกุลอวิ๋นอาจเป็โรคเบื่ออาหารนิดหน่อย แย่ที่สุดก็คงเป็โรคไม่อยากอาหาร หากมื้อบ่ายนี้ทำขนมทั่วไปที่รสชาติหวานเลี่ยน คาดว่าเขาน่าจะไม่แตะต้องเลยด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงตัดสินใจทำชุนปิ่ง [5] ที่ทั้งทำง่ายและรสชาติอร่อย
เห็นได้ชัดว่าครอบครัวสกุลอวิ๋นมีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ วัตถุดิบต่างๆ ในห้องครัวล้วนครบถ้วน ติงเหว่ยแทบรอต่อไปอีกไม่ไหวจึงเริ่มลงมือทำเลย
……
เสี่ยวชิงเป็สาวใช้ที่นิสัยเงียบๆ นางไม่เคยเอ่ยปากพูดกับใครก่อนั้แ่ไหนแต่ไร โชคดีที่นางคุ้นเคยกับห้องครัวเป็อย่างดี และรู้ว่าอะไรวางไว้ที่ไหน ไม่ว่าติงเหว่ยจะมีคำถามอะไร นางก็ดูแลเป็อย่างดี
ติงเหว่ยรู้สึกพอใจมากและครุ่นคิดภายในใจว่าจะสังเกตนางต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง หากสาวใช้คนนี้นิสัยไม่เลวจริงๆ ต่อไปในอนาคตก็จะช่วยสนับสนุนนางให้มากขึ้น
ขณะที่คิดอยู่ นางก็รีบร่อนแป้งมันและแป้งสาลี จากนั้นก็เติมน้ำและใส่เกลือกับไข่ที่ปรุงเตรียมไว้ลงไป กวนไปในทิศทางเดียวกัน ในที่สุดก็ได้แป้งเหนียวๆ ครึ่งชาม นางเอาไปวางพักไว้ข้างๆ ก่อน แล้วนำถั่วงอกสีขาวนวลและผักกวางตุ้งป่าสีเขียวไปลวกในน้ำด้วยกันจนนิ่ม จากนั้นหั่นเนื้อเป็เส้นๆ แล้วหมักทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง ตั้งกระทะใส่น้ำมันแล้วเติมโต้วป้านเจี้ยง [6] ลงไปผัดจนสุก และแล้วเครื่องเคียงทั้งหมดของชุนปิ่งก็เสร็จเรียบร้อย
เหว่ยเอ๋อร์เปิดกล่องเล็กๆ แล้วหยิบผิงตี่กัว [7] เล็กๆ ใบหนึ่งออกมา เนื่องจากเครื่องครัวหลายอย่างไม่มีขายในยุคสมัยนี้ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้นางรู้สึกไม่สะดวก โชคดีที่ยังมีเหรียญทองแดงอยู่ที่บ้านสองสามร้อย นางจึงวาดภาพตัวอย่างสองสามภาพ และรบกวนให้พี่ติงช่วยไปสั่งในเมืองให้นางสักใบ ประจวบเหมาะที่วันนี้มีโอกาสได้นำเครื่องครัวใหม่ๆ พวกนี้ออกมาใช้แสดงความสามารถแล้ว
นางวางผิงตี่กัวลงในอ่างใส่น้ำแล้วล้างทำความสะอาด เสี่ยวชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางอดทนอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ทนไม่ไหวจึงถามออกมาว่า “แม่นางติง นี่เป็เครื่องครัวประเภทไหนกันหรือ ลักษณะของมันช่างดูแปลกตาเสียจริง?”
ติงเหว่ยยกริมฝีปากขึ้นและยิ้มออกมาโดยไม่ปิดบังอะไร แล้วตอบว่า “นี่เรียกว่าผิงตี่กัว สะดวกในการทำเล่าปิ่ง [8] ในวันปกติ จริงสิ เดี๋ยวอีกพักหนึ่งเ้าช่วยข้าจุดไฟหน่อยได้หรือไม่ เ้าจะต้องคอยควบคุมไฟให้ดี อย่าทำเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปล่ะ”
เสี่ยวชิงพยักหน้าซ้ำๆ สิ่งที่นางทำบ่อยที่สุดที่นี่คือการจุดไฟ และนางยังควบคุมไฟได้เก่งกาจที่สุดอีกด้วย
ติงเหว่ยเห็นท่าทางน่ารักน่าชังของนางแล้วก็รู้สึกสนุกขึ้นมา นางจึงล้อเลียนสาวใช้ต่อไปเรื่อยๆ
หลังจากที่ทั้งสองคนคุยและหัวเราะเล่นกันสักพัก ติงเหว่ยก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว ดังนั้นนางจึงให้เสี่ยวชิงเริ่มจุดไฟได้ นางวางผิงตี่กัวไว้บนเตาเพื่อให้ความร้อนทำให้หยดน้ำละเหยออกไป จากนั้นก็หยิบแปรงเล็กๆ จุ่มน้ำมันพืชมาทาที่ก้นของกระทะ เมื่อน้ำมันพืชเริ่มร้อนถึงกึ่งหนึ่งนางก็ตักแป้งออกมาหนึ่งช้อนเล็กและเทลงไป จากนั้นจึงเขย่ากระทะด้วยความรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวแผ่นแป้งกลมๆ บางๆ หนึ่งแผ่นก็เสร็จแล้ว
เสี่ยวชิงรู้สึกประหลาดใจมาก หากไม่ติดว่านางต้องคอยควบคุมไฟ ดวงตาของนางคงจะไปติดอยู่ที่ขอบกระทะแล้ว
ติงเหว่ยหัวเราะออกมา ใช้มือหยิบแผ่นแป้งขึ้นมาแล้วห่อเนื้อผัดเต้าเจี้ยวกับผักกวางตุ้ง จากนั้นก็แบ่งเป็สองส่วน ครึ่งหนึ่งใส่ในปากนาง และอีกครึ่งหนึ่งยัดใส่มือของเสี่ยวชิง
“เสี่ยวชิง เ้าลองชิมดูสิ เหมือนจะเค็มไปหน่อย ข้าคงใส่เนื้อผัดเต้าเจี้ยวมากเกินไป เดี๋ยวเ้าช่วยเตือนข้าให้ใส่น้อยลงหน่อย” ติงเหว่ยกินไปพึมพำไป ท่าทีดูสบายมาก แต่เสี่ยวชิงใมาก จนเกือบจะโยนชุนปิ่งในมือทิ้ง “แม่...แม่นาง นี่เป็ของกินสำหรับนายท่าน ข้าไม่กล้า...”
เมื่อติงเหว่ยได้ยินดังนั้นก็แทบจะสำลักออกมา นางยกมือขึ้นมาทุบอกสองสามที จากนั้นจึงปลอบสาวใช้ด้วยเสียงเบาๆ ว่า “เ้ากินไปเถอะ แผ่นแป้งนี้ไม่กลม ยกไปนายท่านก็คงไม่ถูกใจ อีกอย่างพวกเราทำอาหาร ถ้าไม่สามารถชิมรสชาติได้ หากมีอะไรผิดพลาดตรงไหน ไม่ใช่ว่าจะเป็อันตรายต่อนายท่านหรอกหรือ?”
เสี่ยวชิงกะพริบตาราวกับว่านางก็คิดว่าสมเหตุสมผล ดังนั้นนางจึงก้มศีรษะลงและค่อยๆ กัดอย่างระมัดระวัง เพียงชั่วพริบตาใบหน้าเล็กๆ ของนางก็ยิ้มออกมาทันที
“โอ้โห แม่นาง ข้าไม่เคยกินชุนปิ่งที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย รสชาติอร่อยมาก ช่างอร่อยมากเสียจริง!”
เสี่ยวชิงกินชุนปิ่งเข้าไปคำใหญ่ แล้วยังเลียมุมปากอย่างเสียดายนิดหน่อย ท่าทางดูน่าสงสารและน่าขบขันในคราเดียวกัน
ติงเหว่ยไม่มีเวลาคุยกับนางอีกต่อไป และกำลังครุ่นคิดว่าจะทำโจ๊กเพิ่มสักหน่อยดีหรือไม่ หากยกไปแค่ชุนปิ่งอาจดูจำเจไปเสียหน่อย
หลังจากเสี่ยวชิงที่ได้กินของอร่อยๆ เข้าไปดูเหมือนจะฉลาดขึ้นไม่เบา นางรีบวิ่งไปที่หม้อใบใหญ่ที่อยู่ข้างในสุดเปิดฝาออก และยกโจ๊กโสมถ้วยเล็กๆ ออกมาหนึ่งถ้วย นางยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง มีโจ๊กโสมอยู่ที่นี่ สามารถกินคู่กับชุ่นปิ่งของแม่นางได้หรือไม่?”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
เหว่ยเอ๋อร์รีบทำแผ่นแป้งอีกสองสามชิ้นอย่างรวดเร็ว ม้วนผักและเนื้อผัดเต้าเจี้ยว แล้วจัดวางลงบนจานสีขาว และสุดท้ายก็วางลงบนถาดไม้พร้อมกับชามโจ๊ก หลังจากตรวจดูอย่างรอบคอบแล้วว่าไม่มีอะไรบกพร่อง จากนั้นก็ให้เสี่ยวชิงยกไปส่งที่เรือนหลัก
……
กงจื้อิเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน เขากำลังจะลุกขึ้นด้วยความเคยชินแต่ก็พบกับความจริงที่ว่าร่างกายส่วนใหญ่ของเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จู่ๆ ในดวงตาของเขาก็มีแววตาแห่งความโกรธแค้นขึ้นมาแวบหนึ่ง
หลังจากคำนวณดูอย่างละเอียด เขาล้มป่วยมานานสองเดือนกว่าแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่ชินกับความจริงนี้สักที บางครั้งเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าถ้าเขาเสียชีวิตต่อหน้ากองทัพทั้งสองและถูกหนังม้าห่อร่าง [9] นั้นดีกว่าการที่คอยประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ อยู่แบบนี้หรือไม่? แต่เกรงว่ามันจะเป็ไปตามที่พวกหน้าเนื้อใจเสือเ่าั้้า…
เมื่อนึกถึงความเกลียดชังตลอดเวลาที่ผ่านมา ดวงตาของกงจื้อิก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ สมองที่เคยมีสติและมีความใจเย็นของเขาก็เต้นแรงตุบๆ จนเขาแทบจะเสียสติ แต่ในชั่วขณะนั้น เขาก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ที่ปลายจมูก เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หัวสมองของเขาพลันปลอดโปร่งขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์
เขามองตามกลิ่นหอมไปและเห็นว่ามีอาหารสองอย่างวางอยู่บนโต๊ะชาเล็กๆ ข้างเตียง อย่างหนึ่งเป็ชามใส่โจ๊กโสมที่เขากินตามปกติในแต่ละวัน และอีกจานหนึ่งเป็ขนมที่มีรูปร่างเป็แท่งม้วนยาวๆ สีขาว ถูกจัดวางซ้อนกันเป็ูเาเล็กๆ อยู่ในจาน
“คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือ!” เมื่อเซียงเซียงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเดินเข้าไปจากด้านนอกประตู และรีบเข้าไปปรนนิบัติรับใช้ นางหยิบหมอนมาวางไว้ข้างหลังกงจื้อิแล้วถามเขาว่า “บนโต๊ะมีเตี่ยนซิน [10] ที่แม่ครัวคนใหม่ทำไว้ ดูนุ่มๆ เละๆ ไม่ค่อยน่ากินเท่าไร บ่าวจะเอาไปทิ้งเดี๋ยวนี้แล้วให้ห้องครัวทำอาหารชุดใหม่มาอีกครั้ง”
ท่านลุงอวิ๋นแอบย่องเข้ามาเบาๆ และเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาก็ขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่หลานสาวของตน ในที่สุดเขาก็ยิ้มและนำโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ วางไว้ข้างหน้านายท่านแล้วพูดเบาๆ ว่า “คุณชาย แม่ครัวที่ทำเตี่ยนซินนี้ฝีมือเก่งกาจ บ่าวดูแล้วคิดว่าเตี่ยนซินเหล่านี้ดูสะอาดและน่าอร่อย เมื่อตอนกลางวันคุณชายก็กินอาหารไปแค่นิดเดียว มิสู้ลองชิมรสชาติของเตี่ยนซินแบบใหม่สักหน่อย?”
กงจื้อินึกถึงซาลาเปาดอกไม้ที่เขากินในวันก่อน จากนั้นก็มองดูเจวียนปิ่ง [11] หน้าตาธรรมดาๆ ที่อยู่ตรงหน้า เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็จิบชาเข้าไปคำหนึ่งแล้วคีบใส่ปาก
ปรากฏว่าเมื่อเขากัดเข้าไปแล้วพบว่าไส้ของเปาะเปี๊ยะมีรสชาติที่จืดมาก แต่ก็มีรสเค็มผสมอยู่ด้วย หลังกลืนลงไป ราวกับความหงุดหงิดที่สะสมมาจากการนอนกลางวันก็มลายหายไปด้วย และรับประทานคู่กับโจ๊กโสมอุ่นๆ สักคำหนึ่ง ช่างเป็รสชาติที่ถูกปากอย่างหาได้ยากยิ่ง
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่ มือก็คืบไม่หยุด เขากินเจวียนปิ่งไปห้าถึงหกชิ้นเต็มๆ ก่อนจะวางตะเกียบลง ท่านลุงอวิ๋นมองชามโจ๊กที่ว่างเปล่าและอาหารในจานที่ลดไปมากกว่าครึ่ง ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น “ช่างเยี่ยมจริงๆ นายน้อยกินได้เยอะเลย”
กงจื้อิจิบชาแล้วบ้วนปาก และในที่สุดก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เป็แม่ครัวที่ทำซาลาเปาในวันนั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ” ลุงอวิ๋นตอบอย่างมีความสุข “บ่าวตั้งใจไปที่ร้านเพื่อเชิญนางมาเป็พิเศษ นับจากนี้ไปนางจะมาทำอาหารที่บ้านของเราทุกๆ สองสามวัน หากคุณชายอยากกินอะไรก็บอกบ่าวมาได้เลย”
ั้แ่กงจื้อิยังเป็เด็กก็ไม่ค่อยมีความอยากอาหารมากนัก ตอนนี้ยิ่งเขาอิ่มแล้วยิ่งไม่รู้จะกินอะไรดี ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ให้นางจัดเตรียมเถอะ วันนี้เจวียนปิ่งรสชาติไม่เลว ตกรางวัลให้นาง!”
“ขอรับ บ่าวจะจำไว้”
……
เมื่อท่านลุงอวิ๋นเห็นนายท่านหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็รีบลากหลานสาวและเก็บจานชามออกไปทันที
สองปู่หลานยืนอยู่ใต้ชายคา หยิบชุนปิ่งที่เหลือบนจานยัดเข้าปากแทบจะพร้อมกัน ท่านลุงอวิ๋นยิ้ม กินอย่างมีความสุข ปากก็ชมเชยไม่หยุด “เจวียนปิ่งนี้รสชาติอร่อยมากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่คุณชายชอบกิน ข้าต้องไปหาของดีๆ ให้กับแม่นางติงในภายหลังสักหน่อย ในคลังก็ยังมีกล่องใส่ปิ่นปักผมสีเงินและสีทองให้นางเลือกสักอันก็ไม่เลว และให้ผ้าฝ้ายสักสองผืน แล้วยังมี…”
“ท่านปู่ แค่ตกรางวัลให้นางสักสองสามเหวินก็พอแล้วคุณชายไม่ได้พูดว่าให้รางวัลใหญ่สักหน่อย!” เซียงเซียงมองดูเจวียนปิ่งที่ผ่าครึ่งอยู่ในมือของนาง นางไม่อยากยอมรับเลยว่าสตรีผู้นั้นฝีมือเก่งกาจจริงๆ หากจะพูดว่ารสชาติไม่อร่อยก็คงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
ท่านลุงอวิ๋นรู้สึกหนักใจกับหลานสาวที่นิสัยเสียผู้นี้มาก อดไม่ได้ที่จะดุนางเสียงต่ำว่า “เ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ เื่พวกนี้ไม่เกี่ยวกับเ้า คุณชายไม่ได้กินอิ่มท้องแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว เพียงแค่เหตุผลนี้ ตกรางวัลให้แม่นางติงเป็ทองสักูเาก็ยังไม่ถือว่ามากไปด้วยซ้ำ แล้วยังมีอีก วันๆ แทนที่จะเอาเวลาไปหาเื่คนอื่น ไม่สู้ไปตั้งใจฝึกปรือฝีมืองานเย็บปักหรือทำอาหารให้ชำนาญสักอย่างก็ได้ ตำแหน่งข้างกายคุณชายไม่มีทางจะไม่มีที่ให้เ้า แต่เ้าดูตัวเองสิ แค่กวาดพื้นยังไม่สะอาดเลย แล้วจะไปทำสิ่งใดได้?”
-----------------------------------------
[1] มือไม้อ่อน 手足无措 หมายถึง ตื่นตระหนกใจนทำอะไรไม่ถูก
[2] ทั้งสองสิ่งต่างก็ไม่ล่าช้า 两不耽误 หมายถึง การทำบางสิ่งบางอย่างในขณะที่ทำสิ่งอื่นไปพร้อมๆ กัน
[3] เป็ร้อยเป็พันวิธี 千方百计 หมายถึง พยายามทุกวิถีทาง
[4] พบสมบัติอันล้ำค่า 捡到宝了 หมายถึง การได้สิ่งที่มีค่าหรือมีประโยชน์อย่างยิ่งมาโดยบังเอิญ
[5] ชุนปิ่ง 春饼 หมายถึง เปาะเปี๊ยะฤดูใบไม้ผลิ เป็อาหารที่สื่อถึงการต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ลักษณะจะเป็การห่อเปาะเปี๊ยะสดด้วยไส้ทั้งผักและเนื้อ จัดวางลงในจานที่มีผักสดเคียงประดับแล้วรับประทานพร้อมกัน
[6] โต้วป้านเจี้ยง 豆瓣酱 หมายถึง ซอสเผ็ดต้นตำรับเสฉวนที่หมักจากถั่วปากอ้า, พริกไทยสด, เกลือ, แป้ง ฯลฯ
[7] ผิงตี่กัว 平底锅 หมายถึง กระทะทรงแบน
[8] เล่าปิ่ง 烙饼 หมายถึง ขนมแป้งทอดชนิดหนึ่งของจีน โดยมากทำจากแป้งสาลี ผสมน้ำหรือของเหลวอื่น นวดและหมักทิ้งไว้ให้ได้ที่ จากนั้นแผ่เป็แผ่นบางๆ นำไปย่างหรือทอดในกระทะทรงแบน
[9] หนังม้าห่อร่าง 马革裹尸 หมายถึง ทหารที่ตายในสนามรบ ใช้อุปมาถึงการอุทิศตนต่อหน้าที่ เต็มใจสละชีพในสนามรบและห่อศพด้วยหนังม้า
[10] เตี่ยนซิน 点心 หมายถึง ขนม ของว่าง
[11] เจวียนปิ่ง 卷饼 หมายถึง เปาะเปี๊ยะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้