“น่าโมโหจริงๆ ! ยัยสาวใช้บ้านั่น แม้แต่ข้าก็ยังกล้าหักหน้าได้!” สวี่ชิวเยวี่ยที่กลับมาถึงห้องก็ลงมือเขวี้ยงทำลายเครื่องเคลือบ ร่วงกระจายเต็มพื้นเสียงดังเพล้งพล้าง ทำเอาอาเชวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ สั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น แต่ชัดเจนว่าสวี่ชิวเยวี่ยนั้นยังรู้สึกไม่สะใจ จึงฉวยเอาแจกันเคลือบขาวกวนเหยา [1] ใบหนึ่งที่วางอยู่บนตู้อีกด้านลงมาปาเสียงแตกกระจายแทบจะดังลั่นฟ้าสนั่นดิน
“คุณหนู ท่านอย่าวู่วาม ท่านอย่าวู่วามเ้าค่ะ!” อาเชวี่ยใจนสติกระเจิง แต่เพียงไม่นานก็ได้สติกลับมา แต่กว่าจะรู้สึกตัวได้พอสมควร สิ่งของมีค่าที่สามารถแตกหักส่งเสียงดังได้ทั้งหมดในห้องก็ถูกสวี่ชิวเยวี่ยทำลายไปเกือบหมดแล้ว ไม่นาน สวี่ชิวเยวี่ยก็เบนสายตาของตนไปตกที่โถกำยานสามขาทองคำใบเล็กที่อยู่ชั้นบนสุดของตู้
ทว่า โชคดีที่อาเชวี่ยตาไวมือเร็ว จึงคว้าสวี่ชิวเยวี่ยที่วิ่งไปถึงตรงหน้าตู้ไว้ได้ ยิ่งกว่านั้นยังใช้ทั้งมือเท้าขัดขวางนางเอาไว้ พร้อมกับเสียงโหยหวนะเืเลื่อนลั่นพลิกสถานการณ์ พลิกแพ้เป็ชนะได้อย่างแท้จริง และช่วยชีวิตของโถกำยานน้อยผู้น่าสงสารไว้ท่ามกลางข้าวของทั้งหมดที่ถูกทำลาย
“คุณหนู ไม่ได้นะเ้าคะ นี่คือของที่ฮูหยินเยี่ยนมอบให้ท่านด้วยตนเอง หากสิ่งนี้เองก็ถูกท่านทุบทำลายไปด้วย ฮูหยินเยี่ยนจะต้องตำหนิท่านแน่! ถึงตอนนั้น จะไม่ทำให้หลิงหลงผู้นั้นยิ่งได้เปรียบหรอกหรือ?! ท่านต้องเยือกเย็นเข้าไว้นะคุณหนู เยือกเย็นไว้เ้าค่ะ!”
ด้วยการเกลี้ยกล่อมโดยเจตนาดีของอาเชวี่ย สวี่ชิวเยวี่ยจึงได้ฟื้นคืนสติกลับมาเล็กน้อย นางหดมือที่คิดจะกระชากโถกำยานน้อยนั้นกลับมา แล้วทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะอีกด้านหนึ่ง “ใช่แล้ว ข้าจะตื่นตระหนกไม่ได้ จะลนลานไม่ได้... จะให้คนอื่นเห็นข้าเป็ตัวตลกไม่ได้เด็ดขาด!” สวี่ชิวเยวี่ยเอ่ยเช่นนั้นแล้วกำมือเป็กำปั้น ทุบลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง
ทว่าไม่นานนางก็นึกเสียใจขึ้นมา ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้มันเป็การทุบมือเจ็บแท้ๆ แถมยังไม่ใช่ความเจ็บธรรมดา มันโคตรเจ็บเลย...
โชคดีที่สวี่ชิวเยวี่ยมักจะช่ำชองในเื่การใช้สมอง แต่ไม่ถนัดด้านการใช้กำลัง แม้ว่ามือจะเจ็บ แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการทำงานในส่วนศีรษะน้อยๆ ของนางเลย หลังจากคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชิวเยวี่ยจึงเอ่ยถามอาเชวี่ยที่อยู่อีกด้านอย่างเนิบนาบ “ปกติแล้วเปี่ยวเกอก็ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ่นี้ก็ไม่ได้มีโรคระบาดอย่างพวกไข้หวัดใหญ่อะไรเสียหน่อย เหตุใดคนที่ร่างกายแข็งแรงที่สุดในจวนดันไปติดเข้าได้ แต่คนอื่นๆ กลับไม่เป็อะไรเลยล่ะ?”
สวี่ชิวเยวี่ยขมวดคิ้วเรียวบาง ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “เ้าว่า เื่นี้น่าสงสัยยิ่งนักหรือไม่...?”
อาเชวี่ยที่กำลังเก็บกวาดเศษซากต่างๆ นานาบนพื้นอย่างระมัดระวังอยู่อีกด้านนั้นจะมีใจไปฟังเ้านายที่กำลังโมโหโกรธาผู้นี้ของตนว่ากำลังพูดอะไรอยู่ที่ได้ไหนกัน นางเพียงแค่ตอบกลับไปด้วยความเคยชิน “แน่นอนเ้าค่ะ คุณหนูพูดถูกแล้ว”
ส่วนสวี่ชิวเยวี่ยที่เข้าใจผิดไปว่าได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่นอยู่อีกด้านหนึ่งนั่นก็รู้สึกชอบใจขึ้นมา จึงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดอีกครั้ง “ใช่ๆ เื่นี้จะต้องมีลับลมคมในแน่! ร่างกายของเปี่ยวเกอแข็งแรงขนาดนั้นมาตลอด จู่ๆ จะล้มป่วยอาการหนักขนาดนี้ได้อย่างไร... อีกอย่างปกติแล้วหลิงหลงสาวใช้ผู้นั้นไม่กล้าปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างข้าเช่นนี้... ในเื่นี้จะต้องมีลับลมคมในอยู่แน่นอน!”
“หา? คุณหนูคิดว่า เื่นี้ยังมีสถานการณ์ภายในอะไรอยู่เช่นนั้นหรือเ้าคะ...” อาเชวี่ยที่เก็บกวาดพื้นจนสามารถย่างเท้าได้โดยไม่ถูกบาดมาอย่างยากลำบาก นางเช็ดเหงื่อ พลางมายืนอยู่เบื้องหน้าสวี่ชิวเยวี่ย ยกมือขึ้นรินชาถ้วยหนึ่งส่งไปข้างหน้าสวี่เยวี่ยอย่างรู้งาน นางงุนงงเล็กน้อยว่าสวี่ชิวเยวี่ยกำลังพูดเื่อะไรกันแน่
สวี่ชิวเยวี่ยเองก็ไม่ได้ปฏิเสธชาที่ยื่นมาถึงมือ นางรับถ้วยชาพร้อมกับเอ่ยตอบ “หากถูกข้ารู้ได้ นั่นยังจะเป็สถานการณ์ภายในอยู่อีกหรือ?” เมื่อพูดจบ สวี่ชิวเยวี่ยก็ก้มหน้าลงเป่าฟองที่ลอยอยู่ในถ้วย แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “แต่เราเองก็ไม่อาจนั่งงอมืองอเท้าอยู่ได้ หากอยากรู้สถานการณ์ภายในและความจริงของเื่นี้ พวกเราก็ต้องชิงลงมือก่อนได้เปรียบ...”
“แต่ว่ายามนี้แม้แต่ห้องของคุณชายท่านก็ยังเข้าไปไม่ได้เลย แล้วจะสืบอย่างไรล่ะเ้าคะ?” อาเชวี่ยเบิกตากว้าง คิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว พลันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พวกเราต้องไปขอความช่วยเหลือจากฮูหยินเยี่ยนไหมเ้าคะ?”
“ไม่ได้!” ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สวี่ชิวเยวี่ยที่มักจะพึ่งฮูหยินเยี่ยนใช้อำนาจบาตรใหญ่ในจวนคราวนี้กลับปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้ฮูหยินเยี่ยนช่วยเหลือของอาเชวี่ยอย่างเด็ดขาด แต่กลับเอ่ยอย่างเนิบนาบว่า “หลิงหลงเป็สาวใช้ข้างกายท่านป้าที่มีหน้ามีตาที่สุด ครั้งนี้ในเมื่อนางออกหน้าขัดขวางข้าแล้ว เช่นนั้นก็เห็นชัดแล้วว่าทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่ท่านป้าเห็นชอบ ไม่เช่นนั้นเ้าคิดว่านางจะกล้าหรือ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สวี่ชิวเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตาขึ้นมองอาเชวี่ยที่อยู่ด้านข้างเล็กน้อย เมื่อเห็นอาเชวี่ยยังคงตะลึงงัน จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พูดง่ายๆ สถานการณ์ภายในของเื่จะต้องเป็เื่ที่ท่านป้าออกคำสั่งให้ปิดบังไว้อย่างแน่นอน หากข้าไปสืบเสาะเื่นี้กับท่านป้าใน่เวลาสำคัญในยามนี้ จะไม่ทำให้ท่านป้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรหรอกหรือ?”
“อ๋อ~ คุณหนูช่างหลักแหลมนัก!” อาเชวี่ยพลันเข้าใจสถานการณ์ในทันที พลันเอ่ยคำเยินยอเล็กน้อย และเอ่ยถามอย่างเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ “เช่นนั้น ยามนี้คุณหนูวางแผนจะทำเช่นไรดีล่ะเ้าคะ?”
เมื่อได้ยินคำถามของอาเชวี่ย ใบหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยก็ฉายรอยยิ้มที่ยากจะบ่งชี้อารมณ์ขึ้นมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางความคลุมเครือนั้นแฝงไปด้วยความเ้าเล่ห์ น้ำเสียงก็เรียบนิ่ง เห็นเพียงสวี่ชิวเยวี่ยยกมือเรียวขึ้นมาเล็กน้อย ปลายนิ้วเรียวบางหยิบผลไม้เชื่อมลูกหนึ่งในจานใบเล็กข้างกายใส่เข้าปาก รสชาติเปรี้ยวอมหวานแผ่ซ่านอยู่เต็มโพรงปาก
“สถานการณ์ในตอนนี้ จำเป็ต้องให้ข้าออกหน้าด้วยตัวเองหรือไร ยามนี้ มิใช่ว่ามีแพะรับบาปที่ไม่รู้เื่ราวความจริงอยู่ผู้หนึ่งหรอกหรือ?” สวี่ชิวเยวี่ยเลิกสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ประกายในแววตานั้นเสมือนดั่งดาราที่ประดับประดาอยู่บนม่านฟ้า
เมื่อเห็นท่าทางที่ยังคงงุนงงของอาเชวี่ย สวี่ชิวเยวี่ยจึงยกมือกวักเ้าตัวให้เข้ามาใกล้ๆ เล็กน้อย แล้วกระซิบกระซาบเสียงเบาที่ข้างหู นายบ่าวทั้งสองพลันแย้มรอยยิ้มด้วยความมั่นใจกับแผนการ
อีกด้านหนึ่งเยวี่ยเจาหรานที่เพิ่งกินมื้อกลางวันเสร็จก็นั่งอยู่ในห้องของตนอย่างสบายใจ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง แต่เพราะหนังสือม้วนไปครึ่งหนึ่งทำให้ดูไม่ชัดว่าเป็หัวข้ออะไร จึงได้แต่จ้องมองใบหน้าเคลิบเคลิ้มของเยวี่ยเจาหรานอยู่ไกลๆ ตามที่ชุ่ยเชี่ยวคาดเดา นั่นจะต้องไม่ใช่หนังสือที่ดีอะไรนักแน่นอน ถึงอย่างไรั้แ่ที่คุณชายของนาง ‘ผูกปมรัก’ กับคุณชายตระกูลเยี่ยนเป็ต้นมา เยวี่ยเจาหรานก็ไม่ค่อยได้อ่านหนังสืออย่างจริงๆ จังๆ เลยสักที หรือไม่ที่อ่านก็เป็หนังสือที่คุณชายเยี่ยนต้องท่อง
สำหรับตอนนี้ ในที่สุดเยวี่ยเจาหรานก็มีเวลาว่างที่ตนสามารถจัดสรรมาได้อย่างยากลำบาก แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อ่านหนังสือจริงจังอยู่แล้ว สรุปได้ว่าที่เยวี่ยเจาหรานอ่านนั้นก็คือหนังสืออ่านเล่นเบาสมองบั่นทอนปัญญาอะไรพวกนั้นเป็แน่
จะว่าไปแล้วก็แปลกประหลาดยิ่งนัก ชุ่ยเชี่ยวผู้นี้เป็สาวใช้ของเยวี่ยเจาหรานแท้ๆ แต่่นี้กลับมีท่าทีเลวร้ายต่อเยวี่ยเจาหรานเพราะเขาไม่รู้เื่ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนอนซมอยู่บนเตียง ถึงขนาดที่แอบก่นด่าเยวี่ยเจาหรานอยู่ในใจว่าเป็ชายโฉดผู้ไร้มโนธรรม ขุ่นเคืองราวกับว่า ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงผู้นั้นเป็สามีของนางอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างไรชุ่ยเชี่ยวก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสานกับเยวี่ยเจาหรานเกินไปนัก เพราะเยวี่ยเจาหรานยังควบคุมชีวิตของนาง เป็คนให้ค่าจ้างนี่นา ใครจะไปหาเื่กับเงินทองกัน? ชุ่ยเชี่ยวยังมีความฝันในชีวิตที่จะเก็บหอมรอมริบแล้วรีบกลับบ้านไปแต่งงานมีลูกกับชายหนุ่มผู้เป็เหมยเขียวม้าไผ่ของตนอยู่นะ!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชุ่ยเชี่ยวที่แม้ในใจจะรู้สึกไม่ดีแต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้นั้นก้มหน้าลง แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นมากลับเห็นเด็กรับใช้ที่ไม่คุ้นตาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“เ้าเป็ใคร!” ชุ่ยเชี่ยวขวางไว้หน้าประตู และเอ่ยถามออกไป
เชิงอรรถ
[1] กวนเหยา(官窑) คือ เตาราชสำนัก หมายถึงเตาทางการที่ใช้ผลิตภาชนะสำหรับราชสำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้