สามปีต่อมา เจียงเฉิงเยว่รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยเมื่อคนตัวเล็กที่อ่อนนุ่มซึ่งถูกห่อด้วยผ้าอ้อมอยู่ในอ้อมแขนกลับยื่นมือเล็กๆ ที่มีกลิ่นหอมนุ่มนวลออกมาอย่าง้าจะคว้าเขา ก่อนนิ่งค้างเป็เวลานาน เขาตัวสั่น ส่วนทารกน้อยในอ้อมแขนอ้าปากเล็กที่ชื้นหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุขจึงเผยให้เห็นเหงือกเล็กสีชมพูที่ฟันยังไม่ขึ้นกับลักยิ้มสาลี่ผลเล็กที่แก้มขวา ช่างเป็คนตัวเล็กที่น่ารักจริงเชียว คิ้วกับดวงตาค่อนข้างจะเหมือนมารดาของเขาเช่นกัน
สองมือเล็กนั้นยกพร้อมแยกเขี้ยวยิงฟัน สุดท้ายคว้าผมยาวของฉิงชางจวินที่ห้อยลงมาตรงอกเสื้อ จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เช่นเดียวกับเด็กๆ ทุกคนที่เมื่อจับอะไรได้ก็เอาเข้าปาก เสด็จพ่อของเขารีบเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ช่วยนำเส้นผมของเจียงเฉิงเยว่จากเงื้อมมือของเด็กน้อยออกมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “หนูน้อยคนนี้ช่างตะกละตะกลามเหมือนกันกับข้า...”
เจียงเฉิงเยว่กลอกตาแล้วคิดในใจว่าเ้ายังพูดอย่างสนุกสนานได้อีกหรือ
จักรพรรดิเซียงแห่งซีเฉียนก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับลูกจากในมือของฉิงชางจวินอย่างชำนาญยิ่ง พิงศีรษะเล็กไว้ที่ข้อพับแขนตนเองพลางลูบที่ด้านหลังของบุตร จากนั้นแกว่งไกวทารกในอ้อมแขน มองด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและเมตตาบนใบหน้าโดยไม่กระพริบตา
เจียงเฉิงเยว่สังเกตไปรอบด้านจึงเห็นว่าศาลบูชาที่ซ่อนอยู่ในห้องนอนนั้นตกแต่งอย่างหรูหรา จากนั้นถือโอกาสหยิบผลไม้บนโต๊ะบูชาขึ้นมากัดคำหนึ่ง น้ำผลไม้ชุ่มฉ่ำอยู่ในปาก แต่เขาซึ่งเป็าาผีเดิมทีก็ไม่สามารถลิ้มรสได้ ทว่ายังคงกัดผลไม้บูชาอีกคำด้วยความพึงพอใจแล้ววางกลับไปเช่นเดิม หลังจากนั้นจึงถามหยวนฝานเป้ยซึ่งมีฐานะเป็ฝ่าาอย่างอารมณ์ไม่ดี “ท่านพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกข้ามา...คงไม่ใช่เพื่ออวดลูกชายของท่านให้ข้าหรอกกระมัง?”
จักรพรรดิเซียงหัวเราะคิกคักสองครั้งแล้วจึงพูด “ทำให้เซียนจวินหัวเราะเยาะแล้ว ทำให้เซียนจวินหัวเราะเยาะเสียแล้ว อันที่จริง ้าขอบคุณเซียนจวินสำหรับความสำเร็จเมื่อปีนั้นมาโดยตลอด แต่ยังไม่เคยหาโอกาสได้เลย”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไม่จึงเกิดก้อนอะไรขึ้นในใจ เขาหันหน้าหลบด้วยความลำบากใจแล้วถาม “แม่ของเขาสบายดีใช่หรือไม่?”
ไม่ได้พบกันมาสามปีแล้ว
จักรพรรดิเซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ด้วยการพึ่งบารมีของเซียนจวิน แม่ของลูกปลอดภัย ยามนี้ซินเอ๋อร์เองกินอิ่มนอนหลับเป็อย่างดีเช่นกัน”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเยาะเย้ย “ฝ่าาไม่เคยปฏิบัติต่อข้าอย่างเลวร้าย ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมจู่ๆ ซีเฉียนจึงเกิดเซ่นไหว้ขึ้นมาทั้งที่ข้าเป็าาผีเช่นนี้ซึ่งไม่เคยดำรงตำแหน่งเทพใดๆ ไม่คาดคิดว่าที่แท้เป็การทำตามเบื้องบน” เขามองผลไม้บูชาที่กัดไปคำหนึ่งก่อนหน้านี้บนโต๊ะบูชา เดิมที้าบูชาตนจึงไม่จำเป็ต้องเกรงใจนัก
จักรพรรดิเซียงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “เด็กคนนี้ใกล้ครบเดือนแล้ว ไม่ทราบว่าขอพรมงคลกับเซียนจวินได้หรือไม่ ้าให้เซียนจวินคุ้มครองเด็กคนนี้ให้อยู่เย็นเป็สุข”
เจียงเฉิงเยว่คิดในใจว่าการขอ ‘สิริมงคล’ กับาาผีตนหนึ่งนั้นเป็โชคร้ายเกินกว่าที่จะคาดคิด เขาไม่พูดไม่จา ยื่นมือไปลูบศีรษะของทารกที่เต็มไปด้วยไขมันนุ่มนิ่มอย่างแ่เบาแล้วถาม “เด็กคนนี้ชื่ออะไร?”
หยวนฝานเป้ยจ้องมองบุตรชายสุดที่รักในมือ บอกด้วยรอยยิ้มรักใคร่และเมตตา “รั่วเซี่ยน”
.............................
เมืองยง หยวนรั่วเซี่ยนอายุสิบเก้าปีในปีนี้
เจียงเฉิงเยว่ค้ำมือทั้งสองข้างบนหอปราสาทพลางมองไปที่กองทัพนับหมื่นที่ตั้งค่ายอยู่ไกลๆ จากนั้นหันกลับไปมองผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอ่อนแอหรือผู้พิการไม่ถึงพันคนในเมืองยง เสียงคร่ำครวญที่ถูกระงับและกลิ่นอายของความตายที่ไม่สามารถฟื้นคืนมาได้อบอวลไปทั่ว เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขาละมือออกแล้วเดินเข้าหอปราสาทด้านใน ร่างของเขาหายไปในอากาศทันที เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งเขาได้เข้าสู่วิหารด้านในซึ่งเป็อาคารหลักที่หรูหราที่สุด
สวีอี่ซินแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรางดงาม นั่งคุกเข่าอยู่เพียงลำพังพร้อมกับอาหารจานเล็กที่ประณีตสองสามจานบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า นางยังคงถือกาหยกด้ามยาวเพื่อรินสุรารสเลิศให้ตนเองกับถ้วยหยกที่อยู่ตรงข้ามให้เต็ม
เจียงเฉิงเยว่ค่อยๆ เดินไปสองสามก้าวพลางยกชายเสื้อแล้วนั่งตรงข้าม เขายกถ้วยหยกที่นางรินจนเต็มให้เมื่อครู่ เงยหน้าดื่มจนหมด จากนั้นจ้องที่ถ้วยในมือ “ข้าจะพาเ้าออกไปจากที่นี่”
สวีอี่ซินถามด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ไปที่ใดเล่า?”
เจียงเฉิงเยว่ตกละลึงไปครู่หนึ่ง เขาถามกลับ “เ้า...อยากไปที่ใด?”
สวีอี่ซินยิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย นางยกถ้วยที่อยู่ตรงหน้าขึ้น เงยหน้าอย่างสง่างามพร้อมดื่มสุรารสเลิศในถ้วยจนหมด หลังเงียบเป็เวลานานจึงกล่าว “แม้ว่าท่านจะพาข้าไปได้ ก็เพียงหลบซ่อนนามไปตลอดชีวิตเท่านั้น...จะมีความหมายอะไรเล่า?”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้าง เป็เวลานานจึงถามด้วยความสงสัย “เช่นนี้มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?”
สวีอี่ซินไม่ตอบ ทั้งรินสุราให้เจียงเฉิงเยว่กับตนเองอีกครั้ง โดยไม่รอให้เขาได้ตอบสนอง นางถือถ้วยของตนเองแล้วดื่มจนหมดก่อนเงียบไป ถึงค่อยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “คุณชายไม่เคยเข้าใจข้าเลย”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
ทั้งสองฝ่ายเงียบงัน เจียงเฉิงเยว่มองไปที่หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามตรงหน้า ประดับไปด้วยมรกตที่หรูหราเต็มศีรษะ แม้ว่าใบหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจากการดูแลรักษา แต่กลับมากด้วยกลิ่นอายความสง่า ช่างดูเย็นเยียบทำให้ผู้คนไม่กล้ามอง นี่นับเป็สิ่งที่ผู้มีอำนาจสูงสุดมาหลายปีควรมี
คนตรงหน้าเพียงทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคย
ไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กผิวคล้ำ ผอมบาง จิตใจดีในหุบเขาผู้นั้นที่เห็นได้ชัดว่าหวาดผวาจนถึงขีดสุดแต่กลับรวบรวมความกล้าที่จะพูดคุยกับเขาอย่างเขินอาย ไม่ใช่หญิงชราที่อ่อนโยนและเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันที่อยู่เื้ัเขามาหลายปีในปรโลก และไม่ใช่เด็กสาวนุ่มนวลในจวนสกุลสวีผู้นั้นที่เผยรอยยิ้มซุกซน...
เพียงชั่วพริบตาก็ร้อยปีแล้ว เขากับนางมาถึงขั้นนี้ ถึงกับเป็คนแปลกหน้าต่อกันอยู่เล็กน้อย
ครั้งนี้ หากเสวียนชิงไม่ได้บอกเขาอีกครั้งว่าจักรพรรดิเซียงแห่งซีเฉียนอายุขัยสิ้นสุดลงแล้ว เขาคงไม่รู้ว่าหลังจากจักรพรรดิเซียงสิ้นพระชนม์ พวกเขาแม่ลูกถึงกับตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ ณ ตอนนี้
เขาจำได้ว่าหลังจากเขาช่วยนางกลับมาในปีนั้นเคยกล่าวกับนางด้วยความโกรธ ‘จากนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก’ เขาไม่คิดว่าว่าเด็กคนนี้จะเชื่อฟังเช่นนี้ ทำเป็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันจริง แม้ว่าจะอับจนหนทางกลับไม่ตามหาเขาอีกต่อไป
ยามนึกถึงตรงนี้ ฉิงชางจวินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจขึ้นมา
สวีอี่ซินจ้องที่ถ้วยของตนเองแล้วพึมพำ “คุณชายไม่เคยรู้เลยว่าตนเองโหดร้ายกับผู้อื่นมากเพียงใดภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนโยนและสุภาพ”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
สวีอี่ซินระบายยิ้ม “หากพูดแล้ว...ก็ไม่โทษท่าน โทษข้าเองที่โลภมาก ชาติก่อนข้าพบท่าน จดจำท่านและคิดถึงท่านไปตลอดชีวิต หากไม่ใช่เครื่องหมายนี้บนข้อมือ ข้าคงคิดเพียงว่าตนเองอยู่ให้ห้วงฝันดีที่มหัศจรรย์และงดงาม ท่านเป็เพียงเทพเซียนที่ปรากฏอยู่ในความฝันของข้าอย่างไม่ตั้งใจเท่านั้น เป็ภาพมายาที่ทำได้เพียงมองแต่ไม่อาจเอื้อม แต่ถึงกับให้ข้าได้พบท่านอีกครั้ง พบกันก็ไม่เป็ไร ท่านปฏิบัติกับข้าอย่างอ่อนโยนและใจดีเกินไป ดีเสียจนข้าเข้าใจผิด คิดว่าเพียงข้าต้องพยายามให้มากขึ้นอีกหน่อย ท่านอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม”
นางวางถ้วยลง รินให้ตนเองอีกแล้วดื่มจนหมด กล่าวต่อไป “แต่ข้าที่อยู่เคียงข้างท่านเช่นนั้นในอดีต...ท่านยังคงมีใบหน้าที่ชวนให้คนจินตนาการถึงไปตลอดชีวิต งดงามจนทำให้ตกตะลึงเช่นนั้น แต่ยามข้ามองไปที่ใบหน้าแก่ชราและอัปลักษณ์ในกระจก เฝ้ามองไปที่สตรีมากมายที่ห้อมล้อมรอบตัวท่านไม่ขาดสาย แม้จะรู้ว่าท่านไม่มีเจตนา แต่ก็ยากที่จะเลี่ยงความรู้สึกต่ำต้อยในใจ รู้สึกว่าไม่คู่ควรกับท่าน และบังเอิญ...มีคนบอกข้าว่า...สามารถทำให้ความปรารถนาของข้าเป็จริงได้ ช่วยข้าเปลี่ยนเป็ใบหน้าที่งดงามเหนือผู้ใดที่สุดบนโลกนี้ ข้าซึ่งเป็สตรี...จะทนกับสิ่งล่อใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงกลับมามีสติ มองนางอย่างจริงจังแล้วรีบถาม “คนผู้นั้นคือใคร?!”
เขาสังเกตเห็นความแปลกประหลาดหลายจุดกับ ‘การเกิดใหม่’ ของอิ๋งเอ๋อร์ในครั้งนี้ ณ ตอนนี้ในที่สุดก็พิสูจน์ได้แล้ว ที่แท้นางทำโดยเจตนาจริง เพียงเพื่อเปลี่ยนใบหน้าของนางอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้น...คนผู้นั้นช่วยนางหลีกเลี่ยงวิหารทั้งสิบในปรโลกได้อย่างไร ถึงกับปล่อยให้นางรักษาความทรงจำในชาติก่อนหลังจากที่นางมาเกิดใหม่ได้อย่างไรกัน?
่ที่นางยังเยาว์วัยในปีแรกๆ กลับดูเหมือนว่าจะจำเขาไม่ได้จริง เวลาต่อมาทำไมถึงนึกเื่ของเขาขึ้นมาได้?
สวีอี่ซินทำเป็ไม่ได้ยินคำถามของเขาแล้วบอกเล่าต่อไป “แต่บนโลกนี้ไม่มีเื่ดีๆ โดยไร้เหตุผล ทุกสิ่งทุกอย่างต้องจ่ายค่าตอบแทน ข้าทำสัญญากับเขาและวางเดิมพันกัน เดิมพันกันว่าสุดท้ายแล้วข้า...จะสมปรารถนา ทำให้ท่านตกหลุมรักข้าได้”
“อิ๋งเอ๋อร์!” เจียงเฉิงเยว่ถาม “คนผู้นั้นคือใคร?!”
สวีอี่ซินดูเหมือนจะตัดสินใจว่าจะไม่ตอบคำถามนี้ นางยิ้มแล้วลดเปลือกตาลง พูดอย่างขมขื่น “แต่ข้าแพ้แล้ว! สุดท้ายแล้วข้าก็ยังแพ้เดิมพัน”
“อิ๋งเอ๋อร์...” เจียงเฉิงเยว่เรียกชื่อของนางด้วยเสียงต่ำ ความรู้สึกผิดพวยพุ่งขึ้นในใจ
อิ๋งเอ๋อร์มองเขา กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืน “คุณชายรู้ไหมว่า...วันนั้น ข้ารอให้ท่านหันกลับมาตลอด”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
อิ๋งเอ๋อร์รินสุราให้ตนเองอีกถ้วยแล้วดื่มอึกเดียวจนหมดแก้ว น้ำตาที่คลอในดวงตาไหลอาบแก้ม “น่าเสียดายที่ท่านถึงกับจากไปอย่างไร้เยื่อใยเช่นนั้นจริง ไม่คงอยู่อีกต่อไป ยามนั้นข้าเข้าใจแล้ว...ว่าข้าแพ้เดิมพัน ทุกสิ่งล้วนจบสิ้นแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่เงียบไปนานแล้วถามอีก “แพ้เดิมพัน...ค่าตอบแทนคืออะไร? คนผู้นั้น้าอะไรจากเ้ากันแน่?”
สวีอี่ซินยังคงหลีกเลี่ยงไม่ตอบ นางถามกลับ “ผู้ที่อยู่ในปรโลกโดยไม่้ากลับชาติมาเกิดมักจะเป็เพราะมีความโหยหาอยู่ในใจ คุณชาย...ความโหยหาของท่านคือใครกันหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรจึงก้มศีรษะลง หยิบถ้วยหยกบนโต๊ะขึ้นมาดื่มอย่างไร้สุ้มเสียง
ความโหยหาของเขา...คือใครกัน? เหตุใดถึงอยู่ในปรโลกและไม่ยอมกลับชาติมาเกิด? กลัวว่าจะลืมใครอย่างนั้นหรือ?
เงาร่างสีขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นมา เจียงเฉิงเยว่พลันรู้สึกขบขันเล็กน้อย
เกรงว่าพี่ซีิจะกลับชาติมาเกิดนานแล้ว และคงลืมเขาไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตนเองคือใครสำหรับเขากันเล่า? ทำไมผ่านมาร้อยปีแล้วเขาถึงยังไม่ยินยอมที่จะปล่อยวาง?
เสวียนชิงเคยวิจารณ์ว่าเขาเป็ผู้ที่ดื้อด้านเป็อันดับหนึ่งในใต้หล้า เขาไม่ยอมรับ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับด้วย
สวีอี่ซินรินให้เขาจนเต็มถ้วยอีกครั้งด้วยมือของนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเคยเป็ความโหยหาของข้า...แต่ข้ากลับไม่ได้กลับชาติมาเกิดเพราะปล่อยวางความโหยหาแล้ว ในทางตรงกันข้าม เป็เพราะข้าถูกผลักดันด้วยความโหยหานี้ ดังนั้นจุดจบเช่นนี้จึงถูกกำหนดมาั้แ่เริ่มต้นแล้วใช่หรือไม่? คุณชายปฏิบัติต่อผู้คนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น แต่หัวใจกลับมั่นคงราวกับหิน ข้าเคยคิดว่าแม้ว่าจะเป็หิน อย่างไรขอเดิมพันด้วยทุกสิ่งและพยายามสุดความสามารถ สุดท้ายแล้วอาจมีสักวันที่น้ำหยดลงหินทุกวันแล้วหินจะกร่อน...แต่กลับไม่เคยคิดว่าหินคือของตายและใจคนยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้น หยดน้ำจะสามารถกัดกร่อนหินได้ แต่เป็เพียงการรังแกของตายที่เคลื่อนไหวไม่ได้ก็เท่านั้น”
เจียงเฉิงเยว่ไร้คำพูดโต้ตอบ ผ่านไปนานจึงพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าขอโทษ”
สุดท้ายแล้ว สิ่งเดียวที่เขาสามารถตอบนางได้มีเพียงสามคำนี้
“แต่หากลองคิดอย่างถี่ถ้วน คุณชายมีความผิดใดกันเล่า? เพียงเพราะท่านไม่อาจตกหลุมรักข้าอย่างที่ข้าปรารถนาก็ผิดแล้วหรือ? หากคิดเช่นนั้นจริง เช่นนั้นก็นับได้ว่าข้าเห็นแก่ตัวและฟั่นเฟือนจนถึงขีดสุดแล้ว ข้ารู้ว่าคุณชายอาจคิดว่าข้าล้อเล่น แต่หากคุณชายตกหลุมรักคนอย่างข้าเข้าสักวันจึงจะเข้าใจ ว่าแม้จะมีเพียงความหวังริบหรี่อย่างไรก็จะดึงดูดผู้คนอย่างไม่ลังเลราวกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ อีกทั้งข้าไม่เคยโทษคุณชาย...เป็ความจริงที่ข้ากลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์เพราะท่าน แต่กลับเป็เพราะเหตุนี้ข้าจึงได้พบกับพี่สามอย่างจับพลัดจับผลู
ข้ามีความทรงจำของการเป็มนุษย์ในสองชาตินี้ มีเพียงยี่สิบกว่าปีนี้ที่อยู่กับพี่สามแล้วข้าจึงได้เข้าใจ ว่าการถูกใครปรนเปรอวางไว้เหนือสุดของหัวใจเป็ความรู้สึกอย่างไร”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
หยวนฝานเป้ยโปรดปรานนางจริง และเป็เพราะความลำเอียงของเขาที่ทำให้เกิดจุดจบลงในวันนี้ อีกฝ่ายอาจเป็คนรักที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็บิดาที่มีความรักและเมตตา เป็สหายที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้...แต่กลับไม่ใช่จักรพรรดิที่สมบูรณ์แบบ
เจียงเฉิงเยว่ทอดถอนใจในทันใด ไม่รู้จริงๆ ว่าควรแสดงความคิดเห็นเช่นไร
“น่าเสียดายนัก เวลายี่สิบปีนั้นสั้นเกินไป สั้นเกินไปแล้ว…” สวีอี่ซินถอนหายใจทั้งน้ำตา แต่บนใบหน้ายังคงยิ้ม รอยยิ้มนั้นซับซ้อนนัก ทั้งยินดีและไม่เต็มใจ “หลังจากพี่สามจากไปข้าถึงเข้าใจว่าสุดท้าย โชคชะตาที่ได้มาอย่างบังเอิญนี้ต้องสิ้นสุดลงเช่นกัน เวลาของข้ามาถึงแล้ว...ทุกวันนี้ยามหันมองกลับไปมีเพียงเซี่ยนเอ๋อร์ที่ปล่อยวางไม่ลงเท่านั้น”
หลังได้ยินความเด็ดขาดที่ชัดเจนในคำพูดของนาง เจียงเฉิงเยว่รู้สึกแปลกทันที ทันใดนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่านอกจากนางมีใบหน้าซีดเซียวแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ฉับพลันเขายื่นมือออกไปจับข้อมือของนางอย่างไม่รีรอ ทันใดนั้นจึงค้นพบว่าิญญาที่มีชีวิตในร่างของนางกำลังสลายไปทีละนิด
“เ้าทำอะไร?!” เจียงเฉิงเยว่รีบเอนตัวไปข้างหน้าด้วยความร้อนใจและโกรธเคือง จากนั้นจับข้อมือของนางไว้แน่น บังเอิญว่าสิ่งที่เขาคว้าคือมือนางที่มีเครื่องหมายคล้ายปานมาั้แ่เกิด บนร่างกายของนางถึงกับปล่อยไอปีศาจที่ไม่ได้เป็ของมนุษย์ธรรมดาออกมา เวลานี้ฉิงชางจวินมีอายุกว่าร้อยปีจึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
เขาพูดด้วยความใ “หินกลืนิญญา? เ้ามีของเช่นนั้นได้อย่างไร?!” หินกลืนิญญาเป็วัตถุของโลกปีศาจ แต่หากคิดอีกที ชาตินี้สวีอี่ซินมียศถาบรรดาศักดิ์เกียรติยศความโปรดปรานมานานหลายปี และยังรอบรู้ในความรู้ของสำนักเต๋าเหล่านี้ คิดจะทำคงไม่ใช่เื่ยาก จากนั้นจึงถามอีกครั้ง “เ้ากลืนมันไปเมื่อใด?” เจียงเฉิงเยว่รู้สึกกระวนกระวาย ทั้งเ็ปและโมโห จากนั้นลากนางมาอยู่ข้างกายของตนเองอย่างแรง ร่างของสวีอี่ซินเคลื่อนไหว ระหว่างคนทั้งสองห่างเพียงโต๊ะอาหาร เสียงจานชามที่ตกกระทบพื้นดังขึ้น เสื้อคลุมที่หรูหราอย่างประณีตงดงามของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาหารบางอย่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จนเละเทะ
สวีอี่ซินล้มอยู่ในอ้อมแขนของเขา เจียงเฉิงเยว่รีบนำเคล็ดวิชากักิญญากดที่หว่างคิ้วของนาง โดยตั้งใจที่จะผนึกิญญาของนางไว้
นางเพียงแค่นอนอย่างนิ่งเงียบ หนุนแขนของเขาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปาก ถอนหายใจแ่เบา “ข้ารู้...ว่าท่านจะช่วยข้าแน่นอน พี่ใหญ่...พอแล้ว”
“...”
นางขอร้องด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ครั้งนี้...ให้ตัวข้าควบคุมชีวิตของตนเองเถิด”
หัวใจของเจียงเฉิงเยว่เ็ปราวกับถูกมีดกรีด รู้สึกเกลียดชังจนถึงขีดสุด เขายังโทษตนเองไม่หยุด ถามนางด้วยเสียงทุ้ม “ทำไมจึงต้องทำเช่นนี้? ทำไม...” อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของเขากลับสะอื้นและสั่นสะท้าน
------------------------
