ตอนที่2 แปดราชันย์
เมื่อคำสั่งของนางผู้เป็เ้าป่าถูกส่งออกไป
ป่ารัตติกาลนิรันดร์ก็เริ่มสั่นไหว
แม้มิใช่แรงสั่นไหวจากแผ่นดินไหว
แต่เป็แรงะเืจากการเคลื่อนไหวของบางสิ่ง…ที่ไม่เคลื่อนไหวมานานนับร้อยปี
ฝูงอสูรระดับล่างเริ่มลุกลี้ลุกลน
เงาไม้โยกไหว ลำแสงวิบวับบนพื้นเลือนหาย
สัตว์นับพันต่างหยุดนิ่งเมื่อััถึง “แรงกดดัน” ที่แผ่คลุมทั้งผืนป่า
ราชันย์อสูรกำลังเคลื่อนตัว
...ทั้งแปดตน ในคราวเดียว
ณ ขอบเขตตะวันตกเฉียงใต้
ทะเลเพลิงใต้พิภพลุกลามแผ่รัศมีออกมาจากชั้นดินลึก
เงาเกล็ดขนาดมหึมาเลื้อยพาดผ่านรอยแยกใต้ผืนหิน
เปลวเพลิงสีดำลุกขึ้นอย่างไร้เสียง
“ัเพลิงทมิฬ” — ผู้เงียบงันและเปี่ยมอำนาจที่สุดในหมู่ราชันย์
อายุขัยกว่า ห้าแสนปี
ลมหายใจของมันสามารถแผดเผาพื้นดินให้กลายเป็เถ้าถ่านในพริบตา
หากมันบินขึ้น—ฟ้าทั้งป่าจะมืดลงในทันที
ณ ขอบเขตตะวันออกเฉียงใต้
บึงน้ำเดือดปุด ๆ ด้วยไอพิษสีฟ้าอมแดง
ในความร้อนนั้นปรากฏร่างหนึ่งก้าวออกมาจากม่านหมอก
“กิเลนโลกันตร์” — ราชันย์ผู้สูงส่งแห่งบึงอัคคี
อายุขัย สี่แสนห้าหมื่นปี
เปลวไฟและไอน้ำวนรอบตัวเสมอ ดวงตาสงบนิ่งราวกับไม่เคยโกรธใคร แต่การเคลื่อนไหวหนึ่งครั้งของมัน...อาจแผดเผาครึ่งป่า
ณ แนวผาสูงตะวันออก
สายฟ้าผ่าลงโดยไม่มีเค้าลาง
เสียงหัวเราะดังลั่นตามมา
“วานรอัสนี” — ราชันย์อสูรสายฟ้า อายุขัย สามแสนปี
มือใหญ่คว้าหินผาทั้งแถบไว้แล้วทลายเล่นราวกับของเด็กเล่น
เป็ราชันย์เพียงตนที่หัวเราะได้แม้ในการประชุมของราชินี
กลางทุ่งลมทางเหนือ
ฝุ่นหมุนกราด แรงลมพุ่งกระแทกเป็ระลอก
เงาร่างหนึ่งตวัดหางตัดลำต้นไม้ใหญ่ลงในเสี้ยววินาที
“พยัคฆ์คราม” — ราชันย์แห่งสายลม อายุขัย สามแสนสองหมื่นปี
ยามออกศึก เคลื่อนไหวไวเกินมอง ยามนิ่ง เงียบเหมือนพยัคฆ์รอเหยื่อ
ภายใต้ม่านหมอกของป่าทิศเหนือสุด
มีเสียงกระซิบแ่เบาราวกับเสียงลมหายใจของผืนป่า
“จิ้งจอกเก้าหาง” — อสูรมายาผู้เ้าเล่ห์ อายุขัย สองแสนเจ็ดหมื่นปี
ไม่มีใครรู้ว่าตนที่เห็นคือร่างจริงหรือเงาลวง
ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อของนางซ้ำสอง
บนฟากฟ้าสูงเหนือพฤกษาทั้งปวง
ประกายสีทองแดงเรืองรองพาดผ่านท้องฟ้าอย่างเงียบงัน
“วิหคะ” — วิหคแห่งเปลวสุริยัน อายุขัย สี่แสนปี
ฟื้นจากเถ้าถ่านได้ไม่รู้จบ เปลวไฟของมันมิใช่ไฟแห่งโลกนี้
ที่แนวเขตชายแดนลมตะวันตก
เสียงคำรามดังก้องสั่นะเืต้นไม้โดยรอบ
ฝูงอสูรล้มตายทันทีเพียงได้ยินเสียงนั้น
“ราชสีห์วายุ” — ผู้ใช้เสียงเป็อาวุธ อายุขัย สามแสนหนึ่งหมื่นปี
การคำรามของมันเปลี่ยนเสียงให้กลายเป็แรงกระแทก ทำลายทุกสิ่งในเส้นทาง
และสุดท้าย—กลางบึงลึกซึ่งไร้ใครเข้าใกล้มาเนิ่นนาน
เกลียวคลื่นที่สงบนิ่งนับศตวรรษเริ่มหมุนวนอีกครั้ง
เสียงคล้ายเกราะกระทบกันดังก้องกังวาน
“เต่าา” — อสูรที่เก่าแก่ที่สุดในแดน อายุขัย หกแสนปี
แม้เคลื่อนไหวช้า… แต่ทุกก้าวที่ขยับ คือแรงถ่วงที่ทำให้ป่ายังคงยืนหยัดอยู่ได้
ราชันย์ทั้งแปดกำลังเคลื่อนพล
เพื่อประชุมเพียงเื่เดียว...
“จะเลี้ยงทารกมนุษย์อย่างไรไม่ให้ร้อง”
ท่ามกลางใจกลางป่ารัตติกาลนิรันดร์
ใต้ต้นไม้โบราณสูงชะลูดที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีอายุเท่าไร
ราชินีผู้เป็เ้าแห่งแดนต้องห้ามยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น—นิ่งไม่ไหวติง
ซือเหยียน หลับตาเล็กน้อย อ้อมแขนยังคงโอบร่างเล็กของเด็กทารกเอาไว้
เสียงร้องแ่ลงบ้าง แต่ยังไม่เงียบ
มันยังคงรบกวนทุกสรรพสิ่งรอบตัว… แต่ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้าโวยวายแม้แต่ปลายเสียง
เงาหนาแน่นรอบต้นไม้เคลื่อนไหวช้า ๆ
พลังจากทิศต่าง ๆ เริ่มแผ่ซ่านเข้ามาทีละน้อย
จากปลายป่า… จากขอบแดน… จากผืนฟ้าและพื้นดิน
จากนั้น—เสียงแรกก็ดังขึ้น
“ข้าน้อย วานรอัสนี มาแล้ว!”
เสียงะโกึกก้องกัมปนาทกึกก้องขึ้นกลางศูนย์กลาง
พื้นดินสั่นะเืเล็กน้อยก่อนร่างสูงตระหง่านจะกระโจนลงมาจากต้นไม้ใหญ่
เส้นขนทั่วร่างแผ่กระแสไฟฟ้าปราดเปรี้ยวแว้บ
ก่อนจะย่อตัวนั่งยอง ๆ มองเด็กในอ้อมแขนของซือเหยียนด้วยแววตาสงสัย
“ตัวแค่นี้… ทำเอาป่าปั่นป่วนทั้งแถบ?” มันพึมพำ
“เ้าก็ยังเสียงดังเหมือนเคย”
เสียงที่สองดังขึ้นจากสายลมด้านข้าง
พยัคฆ์ครามปรากฏตัวราวกับแหวกลมมาด้วยเงา
มันก้าวเดินอย่างมั่นคงทุกย่าง ร่างใหญ่คล่องแคล่วราวเสือวายุ
มันไม่พูดอะไรอีก เพียงยอบตัวคำนับเบา ๆ แล้วนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของวานร
ต่อจากนั้น—ร่างเล็กงดงามประหนึ่งเงาจันทร์ปรากฏบนยอดไม้
หางทั้งเก้าปลิวสะบัดราวม่านหมอก
“หืม~ เสียงร้องนี่ช่างคุ้นหูเหลือเกิน”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ก่อนก้าวลงมาช้า ๆ อย่างงามสง่า
แม้จะพูดล้อเลียน แต่ก้มศีรษะคำนับซือเหยียนอย่างนอบน้อมที่สุด
ตามมาด้วยเสียงสั่นะเืจากเบื้องล่าง
แสงสะท้อนสีแดงดำลอดขึ้นจากผืนดินก่อนเงายาวจะเลื้อยพาดผ่านกลางลาน
ัเพลิงทมิฬ—มิได้ส่งเสียงใด แต่ทุกอสูรเงียบลงในทันที
เพียงเงาของมันทอดผ่านพื้นไม้โบราณ ก็เพียงพอให้บรรยากาศหนาวร้อนในคราเดียว
บึงน้ำเบื้องล่างแผ่ไอร้อนสีฟ้าแดง
กิเลนโลกันตร์ก้าวออกจากม่านหมอกราวเดินบนเวทีอันสงบ
เกล็ดทั่วร่างมันเรืองแสงนุ่มนวล ท่าทางเฉยเมยราวไม่รับรู้สิ่งใด
แต่เมื่อดวงตาของมันสบกับซือเหยียน—มันโน้มศีรษะลงทันที
เสียงกระพือปีกดังขึ้นเบา ๆ
วิหคะปรากฏบนอากาศ ทิ้งรัศมีแสงไว้เป็ทาง
ร่างส่องประกายเรืองรองแต่ไม่แยงตา
มันไม่พูด ไม่ส่งเสียง เพียงโค้งปีกลงต่ำอย่างสุภาพ แล้วบินวนช้า ๆ เหนือวงประชุม
จากนั้นคือเสียงกระแทกที่ดังกึกก้อง
ราชสีห์วายุพุ่งทะยานฝ่าพงไม้ เขี้ยวแสยะ ฟันหินแหลกในก้าวเดียว
เสียงของมันถูกกลืนไปกับแรงลมที่ฟาดลงทุกย่างเท้า
มันพยักหน้าเบา ๆ เท่านั้น แต่อสูรทั้งลานกลับรู้สึกเหมือนโดนคำสั่งสังหารจ้องอยู่
สุดท้าย พื้นดินสั่นไหวจากทิศใต้
คลื่นน้ำหมุนวนกลางลานก่อนเปลือกเกราะขนาดเท่าูเาจะเคลื่อนขึ้นมา
เต่าาเงยหน้าช้า ๆ ไม่พูด ไม่ไหวติง
แต่ทุกราชันย์ในที่นั้นล้วนหลบสายตาของมันโดยอัตโนมัติ
...ราชันย์ทั้งแปด ปรากฏครบแล้ว
ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ไม่มีชื่อ
ณ ศูนย์กลางของแดนต้องห้ามซึ่งไม่มีแสงตะวัน
และท่ามกลางพลังที่สามารถทำลายโลกทั้งใบได้ในพริบตานั้น
เสียงร้องของเด็กน้อย…ยังคงดังไม่หยุด
เมื่อราชันย์อสูรทั้งแปดประจำตำแหน่ง
บรรยากาศในศูนย์กลางป่าก็เข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
ไม่มีใครพูด
ไม่มีแม้เสียงหายใจ
เพราะพวกเขารอ
...รอเพียงหนึ่งเดียว
เสียงร้องของเด็กทารกในอ้อมแขนซือเหยียนยังคงดังต่อเนื่อง
ทว่ากลับไม่มีราชันย์อสูรตนใดแสดงท่าทีรำคาญ
หากแต่บางตน...เริ่มขยับหู ขยับหาง
สีหน้าบางส่วนเริ่มแข็งค้างราวกับอดกลั้นอะไรบางอย่างไว้เต็มที่
เสียงแหลมเล็กแทรกผ่านม่านพลังอสูร
ทะลุเกราะลม
ตีก้องกับกระดอง
สะท้อนในหัวใจ
และไม่ยอมหยุด
จิ้งจอกเก้าหางกระพือพัดหางไปมาเบา ๆ พร้อมยิ้มขื่น
“เสียงร้องนี่...ดังขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ~”
“หึ...” วานรอัสนีแค่นเสียง “เ้าคิดว่านี่คือการทดสอบของราชินีหรือเปล่า?”
“ข้าว่าไม่ใช่” พยัคฆ์ครามพูดเรียบ ๆ “เขาดูเหมือนเด็กจริง ๆ”
“หรือว่าราชินีจะสร้างมันขึ้นมาเพื่อล่อเทพเซียน?” ราชสีห์วายุถามเสียงต่ำ
“ข้าไม่แน่ใจ…” วิหคะเอ่ยเป็ครั้งแรก เสียงแ่ดุจเปลวไฟลอยในลม “...แต่ข้าััได้ถึงปราณที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเด็ก”
ซือเหยียนยังคงเงียบ
แต่ดวงตาสีอำพันของนางเปิดขึ้นช้า ๆ
มองไปยังเหล่าราชันย์ทั้งหมด
เพียงแค่ดวงตาคู่นั้นปรากฏขึ้น
เสียงพูดคุยทั้งหมดก็ขาดหายไปทันที
“เขาร้อง...” ซือเหยียนกล่าวเสียงเบา
“ข้า้าคำตอบ”
เพียงเท่านั้น—เท่านั้นจริง ๆ
และไม่มีใครกล้าถามว่า “เขา” คือใคร
เพราะทุกตน...รู้อยู่แก่ใจ
เต่าาเอ่ยช้า ๆ ราวกับเสียงไหลของน้ำ
“องค์ราชินี...ขออภัยที่ข้าช่างโง่เขลา แต่หากท่านไว้ใจข้าก็ยินดีลองเลี้ยงเด็กคนนี้”
“ข้าด้วย” กิเลนโลกันตร์พยักหน้าเบา ๆ “แม้เปลวเพลิงจะไม่เหมาะกับชีวิตเล็ก ๆ...แต่ข้ายินดีส่งสมุนไพรให้หากจำเป็”
“แล้วเราจะให้กินเขาอะไร?” วานรอัสนีเลิกคิ้ว “ปากเล็กแค่นั้นแค่ดูก็รู้ว่าเขี้ยวอะไรไม่ได้”
“เมื่อเช้านางคงลองหลายอย่างแล้ว” พยัคฆ์ครามเอ่ยเสียงเรียบ “เ้ามองไปที่กองอาหารรอบๆก็น่าจะรู้ไม่ใช่รึ”
“โอ้~” จิ้งจอกหัวเราะเบา ๆ “ข้าเริ่มชอบเ้าหนูนี่แล้วสิ น่าสนุกดีออก~”
เสียงหัวเราะเบา ๆ แทรกเข้ามาเล็กน้อย
แต่ก็จางหายไปเมื่อซือเหยียนลูบศีรษะของเด็กช้า ๆ
ัันั้นไม่ได้อ่อนโยน...แต่นิ่งราวกับกำลังรับฟัง
แล้วัเพลิงทมิฬก็เอ่ยขึ้นเป็ครั้งแรก
เสียงต่ำกังวานราวหินถล่ม
“หากองค์ราชินีตั้งใจจะเลี้ยงดูเด็กนี้จริง...
ข้าเสนอให้ถือว่า—นี่คือภารกิจของทั้งป่า”
เงียบไปชั่วครู่ ก่อนเสียงที่เหลือจะดังตามมา
“เห็นด้วย”
“ข้าไม่ขัด”
“อืม”
“ถือว่าเป็หน้าที่ร่วมกันก็แล้วกัน...”
“ตกลง”
เสียงสุดท้ายดังมาจากจิ้งจอกที่หมุนหางไปมา
“แต่อย่าหวังให้ข้าเปลี่ยนผ้าให้เขาล่ะ!”
“ข้าไม่เข้าใจ”
เสียงของราชสีห์วายุดังขึ้น ขณะจ้องมองร่างเด็กในอ้อมแขนของซือเหยียน
“เหตุใด...จึงเป็ร่างมนุษย์?”
เสียงนั้นราบเรียบ ไม่มีเย้ยหยัน ไม่มีเกรี้ยวกราด
แต่ความเงียบที่ตามมาหลังคำถาม กลับกดทับทั้งลานประชุมราวหมอกหนักหนา
ไม่มีใครคาดว่าราชสีห์วายุจะเอ่ยเื่นี้ขึ้นก่อน
ไม่ใช่เพราะผิดมารยาท
แต่เพราะไม่มีใครกล้าแตะคำถามนี้...แม้ในใจ
“ฮึ” วานรอัสนีแค่นหัวเราะ “ก็ไม่แปลก—ข้าก็สงสัยเหมือนกัน
อยู่ ๆ มีเด็กทารกร่างมนุษย์ออกมาจากอ้อมแขนของราชินี
ข้าควรจะดีใจ...หรือระแวง?”
“เ้าไม่ต้องระแวงหรอกวานร” พยัคฆ์ครามพูดเสียงเรียบ “สมองเ้าคงไม่เข้าใจั้แ่ต้นอยู่แล้ว”
“หาา?” วานรอัสนีลุกพรวด “เ้าว่าไงนะเ้าแมวฟ้าคลั่ง!”
“ข้าไม่ได้ว่าเ้า”
ก่อนเสียงจะดังขึ้นอีก ราชันย์อสูรอีกตนก็แทรกขึ้นเบา ๆ
“มนุษย์มีจุดอ่อนมากเกินไป...” วิหคะเอ่ย “อายุสั้น จิตใจโลเล เต็มไปด้วยความกลัว
แต่ข้ากลับรู้สึกว่าในตัวเด็กนี้—ไม่มีสิ่งใดของมนุษย์เลย”
“เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์”
เสียงต่ำของเต่าาดังขึ้นเป็คำเดียว
ไม่มีใครกล้าขัด
“แต่มันก็ใช่รูปร่างมนุษย์อยู่ดี” วานรอัสนียังไม่หยุด “ข้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจสักอย่าง!”
“เ้าเข้าใจสิ่งใดบ้างล่ะ?”
จิ้งจอกเก้าหางยิ้มหวาน “เ้าถามเหมือนมีความคิดเป็ของตัวเองมาั้แ่แรกเลยนะ~”
“เ้าพูดอีกคำเดียว ข้าจะ—”
“จะอะไร? ข้าอยากเห็นอยู่เหมือนกัน~”
“เ้าจะเอาสายฟ้าฟาดขนข้าจนลุกฟูใช่ไหม?”
“เงียบ”
เสียงหนึ่งกดทับทุกสิ่งในชั่วอึดใจ
ซือเหยียนไม่ได้ขยับ
นางเพียงมองเงาเถาวัลย์ที่ทอดอยู่บนพื้น
“เขาเป็มนุษย์”
เสียงนั้นเบา...แต่ชัดเจน
“เพราะตราบใดที่เขายังดูเหมือนมนุษย์—์จะไม่รู้ว่าเขาเป็ของข้า”
เงียบ
ไม่มีเสียงตอบ
ไม่มีคำถามย้อน
แม้แต่วานรอัสนี ยังเม้มปากแน่น
เพราะคำ ๆ นั้น...แปลได้เพียงความเดียว
ราชันย์บางตนเบือนหน้า
บางตนหลุบตาลงต่ำ
จิ้งจอกถอนหายใจเบา ๆ แล้วพึมพำเสียงเกือบไม่ได้ยิน
“น่ากลัวที่สุดก็ยังคงเป็นาง...”
แล้วในวินาทีนั้นเอง
เสียงร้องที่ดังตลอดมา…ก็เงียบลง
เด็กน้อยแผ่ลมหายใจสม่ำเสมออีกครั้งในอ้อมแขนซือเหยียน
ไม่มีใครรู้ว่าเขาฟังเข้าใจหรือไม่
แต่เสียงนั้น—ดับเงียบอย่างสงบ
เงียบงัน…อีกครั้ง
หลังเสียงร้องของเด็กทารกค่อย ๆ แ่หาย
ทุกอย่างกลับสู่ความนิ่งเงียบอันแปลกประหลาด
คล้ายเสียงนั้นคือกลไกเดียวที่ขับเคลื่อนการประชุมนี้
และเมื่อมันเงียบ
ราชันย์อสูรทั้งป่าก็เริ่มเหลียวมองกันและกัน
จิ้งจอกเก้าหางกระซิบเบา ๆ
“ในที่สุด…ข้าก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองอีกครั้ง”
วานรอัสนีถอนหายใจยาวแรงจนสายฟ้าปะทุ
“เงียบซะที ข้าเกือบจะะเิหัวตัวเองอยู่แล้ว!”
“เ้าควรทำั้แ่ก่อนเข้าประชุม”
พยัคฆ์ครามหันไปพูดเสียงเรียบ
“เ้า...!”
“พอ” เต่าาว่าเสียงหนัก ก่อนหันกลับไปยังผู้เป็ราชินี
“องค์ราชินี—เด็กน้อยผู้นี้...มีนามหรือไม่?”
ประโยคนั้นเรียบง่าย
ไม่มีจังหวะขึงขัง
แต่เมื่อพูดออกมา—
...ซือเหยียนเงียบ
จริง ๆ แล้วนางไม่ได้โกรธ
ไม่ได้ลังเล
เพียงแค่...
ลืมคิดเื่นี้ไปโดยสิ้นเชิง
ไม่มีใครกล้าขัด ไม่มีใครกล้าทวนคำ
แต่ความเงียบของราชินีกลับเปิดทางให้เงาแห่งความวุ่นวายเล็ดลอดเข้ามาทีละน้อย
“ชื่อสินะ...” วานรอัสนีลุกขึ้นยืน
“ต้องขลัง ต้องทรงพลัง ต้องสะท้านแผ่นฟ้า!”
“อย่าเวอร์เกินไปล่ะ...” วิหคะเอ่ยเบา ๆ
“งั้นชื่อ ‘สายฟ้าทลายโลก’ ล่ะ! หรือไม่ก็ ‘เทพอัสนีพิชิตแดน’!”
“หากข้าเป็เขามีชื่อแบบนี้ คงเอาขี้เถ้ายัดปากตัวเองตายก่อนโต”
พยัคฆ์ครามถามเสียงเรียบ
“ข้าคิดว่า ‘ขนปุยตัวเล็ก’ ก็น่ารักดีนะ~”
จิ้งจอกหมุนหางเล่น ยิ้มพราย “แต่ถ้าให้ดี...ควรชื่อว่า ‘เ้าแสบ’ จะเหมาะกว่า~”
ราชสีห์วายุกลอกตา
“ข้าชอบชื่อเรียบง่าย... ‘ขาว’ หรือ ‘เสียง’ ก็เพียงพอแล้ว”
“ไม่เอา ‘กะหล่ำปลี’ เหรอ?” จิ้งจอกหันไปแซว
“เหมือนอสูรเฒ่าเผลอตั้งชื่อให้ลูกเมื่อตอนนั้นไง~”
เต่าาขยับตัวเล็กน้อย
เสียงของมันดังก้องพอให้ทั้งวงได้ยิน
“ชื่อควรมีความหมาย มิใช่ของเล่น”
ทันใดนั้น...เงาทุกสายก็กลับไปเงียบอีกครั้ง
เพราะในวินาทีนั้น
ซือเหยียนมองเด็กในอ้อมแขน
นาน...และลึกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
...ก่อนนางจะพูด
“ไป๋เฉิน”
เสียงนั้นเบา…
แต่ทุกสรรพสิ่งในป่ารัตติกาลนิรันดร์ได้ยิน
ราชันย์อสูรทั้งป่าชะงัก
พยัคฆ์คราม ย่อตัวลง ก้มศีรษะจรดพื้น
“ข้าขอสาบานในนามแห่งสายลม
เขาจะไม่เผชิญภัยใด หากยังมีลมหายใจของข้าดำรงอยู่”
วานรอัสนี หัวเราะหึ กำหมัดทุบพื้นดินจนสายฟ้าแปลบปลาบ
“ข้าจะเป็ฟ้าคำรามแรกในทุกศึกที่เขาเผชิญ
แม้ต้องถูก์ล่าข้าก็ไม่ถอย!”
จิ้งจอกเก้าหาง ลอยตัวลงอย่างงามสง่า
หางทั้งเก้าปลิวไหวราวม่านม่วง
“ข้าขอสัญญา…จะพรางเงาให้เขา ซ่อนเส้นทางของเขา
...แม้แต่์ยังมองไม่เห็น”
ราชสีห์วายุ ยืนนิ่ง เสียงลมที่เปล่งจากปากมันดังก้อง
“เขตแดนของเด็กคนนี้—คือแดนต้องห้าม
ผู้ใดกล้าก้าวข้าม…เสียงคำรามของข้าจะเป็สิ่งสุดท้ายที่มันได้ยิน”
วิหคะ โบยบินเหนือหัว สลัดปีกเรืองแสงลงมาหนึ่งกลีบ
“ทุกรุ่งอรุณแห่งป่า ข้าจะทิ้งประกายแสงไว้ข้างเขา
…เพื่อมอบความอบอุ่นแด่เขา”
กิเลนโลกันตร์ ก้าวออกจากเงาน้ำ
เปลวเพลิงสีฟ้าแดงหมุนรอบตัวราวพิธีกรรม
“ข้าจะส่งหยาดน้ำแห่งชีวิตในบึงของข้า
ให้เขาใช้ดับพิษแห่งโชคชะตา...หากวันนั้นมาถึง”
ัเพลิงทมิฬ ขยับดวงตาสีเพลิงเพียงเล็กน้อย
แต่เงาเพลิงใต้พื้นป่าทั้งแนวก็ลุกวาบขึ้น
“ข้าไม่พูดคำสาบานใด
แต่หากเขาร้องขอข้าครั้งเดียว…แม้แต่์ข้าก็จะเผามันให้เขา”
เต่าา หลุบตาแล้วเอ่ยช้า ๆ
ราวกับเสียงจากก้นบึ้งของยุคสมัย
“เด็กผู้นี้...นามว่าไป๋เฉิน
ข้าขอสลักชื่อเขาไว้ใต้กระดองข้า
ตราบใดที่โลกยังมีเงาข้าอยู่
จะไม่มีใครลบชื่อนี้ออกจากผืนป่าได้”
ซือเหยียนยังไม่พูด
แต่ดวงตานางที่เคยเ็า…อ่อนลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็น
นางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
เสียงกระซิบแ่เบาราวคำอธิษฐานดังขึ้นท่ามกลางเงาหมอก
“…จงเติบโต”
“แล้วกลืนกิน์ให้หมด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้