องค์หญิงอันหย่าไม่เต็มใจจะจากไป แต่นางกลับแสดงตนว่าอ่อนแอและบอบบาง ใบหน้าซีดขาวเป็อย่างมาก ราวกับหากมีลมกระโชกแรงพัดมาก็สามารถทำให้นางล้มลงได้
นางเรียกนางกำนัลสองคนที่อยู่ไม่ไกลให้เข้ามาช่วยพยุงนาง พานางเดินไปอย่างช้าๆ ทีละก้าวทีละก้าว...
แผ่นหลังเพรียวบางนั้น ทำให้คนที่เห็นเกิดความสงสาร มู่จื่อหลิงมองดูฝีเท้าเชื่องช้าจากด้านหลัง และนางก็เกือบจะเข้าไปช่วยพยุงแล้ว
มู่อี๋เสวี่ยน่าสงสารมากที่ต้องพึ่งพาองค์หญิงที่กำลังจะตายผู้นี้
ถึงแม้ว่ามันจะเป็การเคลื่อนไหวของหลงเซี่ยวอวี่ แต่ในฐานะผู้ก่อปัญหา เขากลับทำตัวราวกับไม่ได้ทำสิ่งใด ทั้งยังทำเป็มองไม่เห็น และทำเป็ไม่ได้ยิน [1] ราวกับว่าเสียงกรีดร้องที่อยู่ตรงนั้นมันไม่มีอยู่จริง
ตามจริงแล้ว ฉีอ๋องไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามู่อี๋เสวี่ยนั้นมีรูปร่างสูง อ้วนหรือผอมอย่างไร เพราะความสนใจของเขาทั้งหมดตกอยู่ที่มู่จื่อหลิงเสมอมา
ดวงตาของเขาชัดเจนและเฉียบคม ดูเหมือนเขาจะรู้ทุกอย่าง ดวงตาของเขาจับจ้องตรึงอยู่ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีดวงตากลมโตซึ่งกำลังยกผ้าขึ้นปิดหน้าและแสร้งทำเป็ไม่กล้ามองมาโดยตลอด
ในเวลานี้ หลงเซี่ยวอวี่เดินมาด้านหลังของมู่จื่อหลิงอย่างเงียบๆ
“ดูดีไหม?” หลงเซี่ยวอวี่มีรอยยิ้มที่ดูดีติดอยู่ที่มุมปากของเขา โน้มตัวเล็กน้อยและเอนหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของนาง เสียงทุ้มนุ่มลึกชวนให้ััถึงความเย้ายวน
มู่จื่อหลิงที่กำลังปิดหน้าของตนอยู่ ไม่ได้สังเกตว่ามีผู้ใดอยู่ข้างกายนางมาระยะหนึ่งแล้ว นางพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมาและโพล่งออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ “ดูดี”
“ผู้ใดดูดี?” หลงเซี่ยวอวี่ปิดกั้นสายตาของมู่จื่อหลิงในทันใด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเข้ามาใกล้นาง เพื่อให้สายตาของนางเต็มไปด้วยใบหน้าของเขา
“แน่นอนว่าคนทางนั้น…” ก่อนที่คำว่า ‘หน้าตาดี’ จะพูดออกมา มู่จื่อหลิงก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้นนางก็ใกับใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้านาง และก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว “เหตุใดท่านถึง...”
เหตุใดชายผู้นี้ถึงเดินเข้ามาเงียบๆ?
“หือ?” หลงเซี่ยวอวี่เอนกายมาข้างหน้า ทำเสียงจมูกเบาๆ ลมหายใจอุ่นๆ รินรดลงบนใบหน้าที่กระสับกระส่ายเล็กน้อยของมู่จื่อหลิง
เขาอยู่ใกล้มาก และดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยเงาของกันและกัน
“...ท่าน ท่านจะทำอะไร” มู่จื่อหลิงตัวสั่นในทันใด ทั้งยังก้าวถอยกลับไปหลายก้าว
“ท่านคิดว่าผู้ใดดูดี?” หลงเซี่ยวอวี่ก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าที่หนักแน่น นิ้วที่เรียวงามของเขาเชิดคางเรียบเนียนของมู่จื่อหลิงขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าหากมู่จื่อหลิงทำผิดพลาด เขาจะกลืนกินนางลงไปในคำเดียว
มู่จื่อหลิงเปิดดวงตาออกกว้าง เงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ใกล้ตัว มองเพียงแวบหนึ่ง ก็สามารถเห็นดวงตาที่เปล่งประกายดั่งดวงดาวของเขาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทั้งงดงามและพร่างพราย
ในเวลานี้ ดวงตาที่จ้องมองมาของเขานั้นสงบนิ่งราวกับทะเลสาบ มันทั้งเงียบและสงบ ด้วยใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ และผิวที่ละเอียดเงางามราวกับผู้เป็ะใน์ชั้นเก้า ผู้ซึ่งควรมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น ไม่ควรเข้ามาหยอกล้อด้วย
“มู่...ท่านดูดี ท่านช่างดูดี” มู่จื่อหลิงเกือบจะบอกว่ามู่อี๋เสวี่ยดูดี แต่โชคดีที่นางมีไหวพริบ ปีศาจตนนี้ร้ายกาจเกินไป!
หลังจากพูดแล้ว มู่จื่อหลิงก็เผลอตบมือของหลงเซี่ยวอวี่โดยไม่รู้ตัว นางอยากจะหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้ามา ข้อมือเรียวเล็กก็ถูกมือใหญ่อันอบอุ่นของหลงเซี่ยวอวี่คว้าไว้ ก่อนจะดึงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “ยังอยากจะไปที่ใดอีกหรือ?”
“ข้า…” มู่จื่อหลิงกลอกตาและยืดหน้าอกเล็กๆ ของนางให้ตรงอย่างมั่นใจ นางตอบเรียบๆ อย่างเป็ธรรมชาติว่า “ข้าอยากเดินกลับไป”
วันนี้ได้ท้าทายทรราชผู้นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในยามนี้มันคงถึงขีดจำกัดแล้ว และนางรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น หลังจากดูการแสดงที่ดีจบแล้ว จึงเป็เื่ธรรมดาที่จะหลบหนีไป
แต่หากจะตีนางให้ตาย นางก็จะเดินกลับไม่ได้เช่นกัน ด้วยประสบการณ์ครั้งที่แล้ว นางจำได้ว่าต้องนำเงินติดตัวไปด้วยในยามที่นางออกไปด้านนอก หากมีเงินยังต้องกลัวว่าจะหารถม้ากลับไม่ได้อีกหรือ?
“เดินกลับ?” หลงเซี่ยวอวี่หรี่ตาลงอย่างอันตรายและพูดซ้ำ
เขาไม่เชื่อว่าหญิงี้เีผู้นี้จะออกไปเดินเล่น เขาสามารถมองทะลุผ่านสิ่งเล็กน้อยในใจของนางได้ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นก็ตาม แต่เขาจะปล่อยนางไปได้หรือ? เห็นได้ชัดว่าเป็ไปไม่ได้
มู่จื่อหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
“อยากเดินในยามนี้หรือ? มันสายเกินไป” มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่เกิดเป็รอยยิ้มที่ชั่วร้าย น้ำเสียงของเขาเชื่องช้า แต่กลับไม่สามารถพูดปฏิเสธออกไปได้
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาได้คว้าร่างของมู่จื่อหลิงให้ยิ่งออกห่างจากองค์หญิง การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยน แต่มีอานุภาพที่ไม่สามารถต้านทานได้
ก่อนที่ดอกท้อเน่าจะจางหายไป จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
นางพยายามขัดขืนเพื่อออกจากอ้อมแขนเขา แต่พบว่านางซึ่งเป็เพียงกุ้งตัวเล็กๆ ไม่มีความสามารถที่จะต้านทานปลาตัวใหญ่ตัวนี้ได้เลย
ความรู้สึกราวกับกำลังถูกจับกินจนตายนี้แย่มาก นางต้องหาวิธีที่จะทำลายความรู้สึกแย่ๆ นี้
มู่จื่อหลิงคิดอย่างแน่วแน่ในใจ
แต่ยามนี้ทำได้เพียงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วร้องโหยหวนอย่างเงียบๆ เพราะยังมีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการชมการแสดงที่ดี
เนื่องจากนางไม่สามารถต้านทานได้ นางจึงทำได้เพียงทนรับมันอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
แต่...มู่จื่อหลิงร้องบอกให้หลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังอุ้มนางเดินไปที่รถม้าให้หยุด “เดี๋ยวก่อน”
หลงเซี่ยวอวี่หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนก้มมองลงมาที่นางโดยไม่พูดอะไร
“ท่านปล่อยข้าลงก่อน” มู่จื่อหลิงขยับร่างกายด้วยมีความคิดอยากจะลงไป
“อยากลงหรือ?” หลงเซี่ยวอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มในดวงตาที่บ่งบอกถึงความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
มู่จื่อหลิงพยักหน้าราวกับไก่ที่กำลังจิกข้าว
หลงเซี่ยวอวี่พ่นลมออกมาเบาๆ “คิดมากไปแล้ว”
แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่ยอมให้มู่จื่อหลิงลงไป แต่เขารู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กผู้นี้กำลังจะเล่นกับผู้คนอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงอุ้มนางไว้และยืนนิ่ง
เหตุใดถึงกล่าวว่านางคิดมากไปแล้ว ในใจของมู่จื่อหลิงรู้สึกเ็ปจนพูดไม่ออก
เมื่อเทียบกับผิวที่ตายแล้วสิ่งนี้ดูจะไร้ยางอายยิ่งกว่า นางกับจอมมารผู้นี้ห่างไกลกันถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ [2] นางไม่อาจใช้เล่ห์ด้วยได้ จะหลอกล่อก็ไม่ได้ จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขาก็เห็นได้ชัดว่าเปล่าประโยชน์ ไม่อาจต่อรองใดๆ ได้เลย
เ้าคนน่ารังเกียจ นึกอยากอุ้มก็อุ้ม
มู่จื่อหลิงหันไปมองมู่อี๋เสวี่ยอีกครั้ง
มู่อี๋เสวี่ยแสดงเสน่ห์ดึงดูดใจออกมาเช่นนี้ แม้แต่ผู้หญิงอย่างนางก็ยังอดทึ่งและยกย่องไม่ได้
ในชีวิตที่แล้ว นางได้เห็นศพของหญิงสาวที่เปลือยเปล่ามาไม่น้อย แต่ในยามนี้มันเป็ของที่ยังสดใหม่อยู่ และก้อนเนื้อทั้งสองของมู่อี๋เสวี่ยก็ยังยอดเยี่ยมมาก
ภาพที่สวยงามและเย้ายวนเช่นนี้ ทั้งยังเห็นได้ชัดว่า...มู่จื่อหลิงเป็คนใจดีและใจกว้าง แล้วนางจะปล่อยให้คนอื่นต้องมองมาจากระยะไกลได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นในยามนี้ องค์หญิงอันหย่าดูเหมือน ‘กำลังจะตายลง’ อีกแล้ว นางก้าวหนึ่งก้าวหยุดพักอีกสองก้าว เมื่อใดนางถึงจะเดินไปถึงตรงนั้น! เหตุใดนางไม่ออกตัวช่วยเหลือก่อนสักหน่อย ให้องค์หญิงอันหย่าได้พักผ่อนสักครู่
มู่จื่อหลิงหยิบเสี่ยวไตกูออกมา ใส่ยาลงไปในปากของมัน และขอให้มันนำยาแก้ปวดที่เพิ่มหญ้าหมีหุนเซียง [3] ไปใส่ให้กับมู่อี๋เสวี่ย
สามารถช่วยนายน้อยของมันในเื่ต่างๆ ได้ เสี่ยวไตกูจึงมีความสุขเป็อย่างยิ่ง
ทันทีที่มู่จื่อหลิงเสร็จสิ้นการออกคำสั่ง มันก็ถูตัวเล็กน้อย จากนั้นแสงสีม่วงจางๆ ก็พุ่งไปทางมู่อี๋เสวี่ย
ความเร็วของเสี่ยวไตกูนั้นไม่มีผู้ใดเทียบได้ และประสิทธิภาพในการทำงานจึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก เพียงชั่วพริบตามันก็กลับมา
หลงเซี่ยวอวี่มองทุกการเคลื่อนไหวของผู้หญิงตัวเล็กๆ ในอ้อมแขนของตน จึงมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
มู่จื่อหลิงจ้องไปยังทหารยามเฝ้าประตูวังที่ยืนเรียงเป็สองแถว ยกมือขึ้นแตะหน้าผากและมองดูเหล่าทหารยามที่กำลังยืดคอ รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของมู่จื่อหลิง
มู่อี๋เสวี่ย ไม่ใช่ว่าเ้าชอบยั่วยวนผู้ชายหรือ?
วันนี้เ้ายั่วยวนฉีอ๋องล้มเหลว พี่สาวที่แสนดีอย่างข้าอยากช่วยเหลือเ้า และข้าอยากทำมันมากจริงๆ
“เฮ้อ...ฉีอ๋องสั่งให้พวกเ้าไปดูว่าคุณหนูรองมู่ได้รับาเ็มากมายเพียงใด” มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นป้องปาก แล้วะโบอกทหารยามทั้งสองแถว
ฆ่านกสามตัวด้วยหินก้อนเดียว [4] สิ่งที่นางชอบทำคือการช่วยเหลือผู้อื่น มุมปากของมู่จื่อหลิงยกยิ้มเย้ยหยัน
เสียงของนางสามารถกล่าวได้ว่าไม่ดังหรือเบาจนเกินไป แต่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นสามารถได้ยินมันชัดเจน
มีเพียงมู่อี๋เสวี่ยที่ถูกโยนลงกับพื้นเท่านั้นที่อยู่นอกสถานการณ์โดยสิ้นเชิงและไม่ได้ยินเสียงใดๆ
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่กระตุกเล็กน้อย เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
สาวน้อยผู้นี้กล้าใช้ตัวตนของเขาสั่งการต่อหน้าเขา ช่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่สำนึกเลยสักนิด
แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็ความรู้สึกที่ดี
เมื่อได้ยินเสียง เหล่าทหารยามทั้งสองแถวล้วนหันมามองทางด้านนี้ และเห็นฉีอ๋องที่กำลังโอบกอดฉีหวางเฟยไว้แน่น
ภาพที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้เกือบทำให้ตาของพวกเขามืดบอด กรามของพวกเขาแทบหลุดลงมา
เพียงเห็นหลงเซี่ยวอวี่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และพยักหน้าอย่างแ่เบา เบาจนแทบจะมองไม่เห็น
หลังจากได้รับคำยืนยันของหลงเซี่ยวอวี่ เหล่าทหารก็รับคำสั่ง พวกเขารู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
ทหารยามทั้งสองแถวลุกขึ้นยืนในทันใด
พวกเขาไม่สนใจหัวเข่าที่ชาของตน รีบวิ่งไปทางมู่อี๋เสวี่ยราวกับสายลมกระโชก
เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นวิ่งอย่างกระฉับกระเฉงโดยไม่ลังเลใจ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกว่าคำว่า ‘ฉีอ๋อง’ มีประโยชน์มากจริงๆ!
นางเน้นย้ำด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังว่า “พวกเ้าตรวจสอบให้ดี อย่าปล่อยให้แม้แต่มือหรือเท้าของคุณหนูรองมู่สกปรก อย่างไรก็ควรรักหยกถนอมบุปผา [5] อย่าให้นางต้องหนาวเหน็บ ควรมอบความอบอุ่นให้แก่นางอย่างทันท่วงที”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสามารถมองและััได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าทหารก็หมดความอดทนและวิ่งเร็วขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ องค์หญิงอันหย่าซึ่งหันหลังให้พวกเขาก็ลอบยิ้มอย่างเ็าอยู่ในใจ มู่จื่อหลิงเ้าช่างไร้ความปรานี!
เมื่อมู่จื่อหลิงกล่าวเช่นนี้ องค์หญิงอันหย่าไม่ได้คิดที่จะไปหามู่อี๋เสวี่ยอีกต่อไป
เพราะหลังจากเหตุการณ์นี้ คนที่มู่อี๋เสวี่ยจะเกลียดชังที่สุดก็คือมู่จื่อหลิง โดยที่นางไม่ต้องพูดสิ่งใด มู่อี๋เสวี่ยก็จะใช้ความคิดริเริ่มที่จะเข้าร่วมการไล่ล่ากับนาง
ในที่สุดองค์หญิงอันหย่าก็เหลือบมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ มุมปากของนางก็เผยความเศร้าหมอง ก่อนจะหันกลับมา แต่นางไม่คิดว่าจะเห็นหลงเซี่ยวอวี่อุ้มมู่จื่อหลิง...
ใน่พริบตาเดียว ทหารยามก็มาถึงที่หมายทีละคน
ผู้คนหลายสิบคนโอบรอบตัวของมู่อี๋เสวี่ยไว้อย่างแ่า แม้กระทั่งอากาศก็ไม่อาจผ่านเข้าไปได้
ในยามนี้ ร่างกายของมู่อี๋เสวี่ยอาจกล่าวได้ว่าไม่น่าดู และนางก็ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก
เกือบครึ่งของร่างกายถูกเปิดเผย เสื้อผ้าเดิมของนางขาดวิ่นเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลายเป็เศษอยู่บนพื้น ผิวที่ขาวราวหิมะด้านหลังของนางได้กลายเป็เนื้อที่ฉีกขาดจนเต็มไปด้วยเื ซึ่งมันช่างน่าใ
เืยังคงไหลรินออกมาไม่หยุด และความเจ็บจากอาการปวดแสบเกือบทำให้นางเป็ลมหมดสติไป และยามนี้นางก็อ่อนแอเป็อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ความเ็ปนั้นเป็อดีตไปเสียแล้ว เพราะเสี่ยวไตกูกำลังใส่ยาให้กับนางโดยไม่มีใครสังเกตเห็น นางจึงไม่รู้สึกเ็ปอีกต่อไปแล้ว
ยามนี้สติของมู่อี๋เสวี่ย ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความเ็ปบนร่างกายของนางเลย
เพราะ...ในยามนี้ นางรู้สึกได้ชัดเจนว่า นางกำลังถูกปกคลุมไปด้วยเงาหนาทึบ
มีดวงตาคล้ายหมาป่าหลายสิบคู่ที่จ้องมองตรงมาที่ร่างของนาง
ดวงตาหลายสิบคู่นั้นเร่าร้อนแผดเผาราวกับว่าร่างกายของนางเปลือยเปล่า ไม่มีสิ่งกีดขวางต่อหน้าผู้คน
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ทำเป็มองไม่เห็น และทำเป็ไม่ได้ยิน (视而不见,听而不闻) เป็สองสำนวนที่มักนำมาใช้รวมกัน แต่สามารถใช้แยกได้ มีความหมายเหมือนกันว่า ทำเป็ไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ แต่ก็แสร้งทำเป็มองไม่เห็น หรือไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญ
[2] หนึ่งแสนแปดพันลี้ (十万八千里) เป็สำนวน มีความหมายว่า มีระยะทางหรือความแตกต่างอย่างมาก
[3] หญ้าหมีหุนเซียง (迷魂香) เป็สมุนไพรจีนโบราณ ซึ่งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เป็พืชที่นำมาทำสารเสพติดหรือที่รู้จักในปัจจุบันว่ายาอี โดยมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทและหลอนประสาทส่วนมากจะทำให้เกิดความสุข
[4] ฆ่านกสามตัวด้วยหินก้อนเดียว (一举三得) เป็สำนวน มีความหมายว่า ทำเพียงสิ่งเดียว แต่ได้รับประโยชน์มากมายในเวลาเดียวกัน
[5] รักหยกถนอมบุปผา (怜香惜玉) เป็สำนวน มีความหมายว่า บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้