ข้าวมื้อนี้ทั้งสองคนทานด้วยกันอย่างสมานฉันท์ บทสนทนาก่อนรับประทานอาหารนั้นทำให้อ๋าวหรานรู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายรู้ตื้นลึกหนาบางซึ่งกันและกัน เหมือนได้เปิดอกคุยกันทำให้สบายใจขึ้นหลายส่วน
ทานเสร็จจิ่งฝานก็พาอ๋าวหรานไปยังห้องหนังสือ
…
จิ่งฝาน “คัมภีร์ ‘ตำรายา’ เล่มนี้ บันทึกเื่สมุนไพรเอาไว้มากมาย เกี่ยวกับลักษณะของสมุนไพรแต่ละชนิด สรรพคุณ ประโยชน์และโทษ”
อ๋าวหรานรับคัมภีร์ที่จิ่งฝานส่งมาให้มาถือไว้ค่อนข้างหนา ถึงจะไม่หนาเท่าพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดแต่ก็ต่างกันไม่มากนัก ตัวหนังสือตรงหนาและโดดเด่ด เรียงกันสบายตางดงามมาก อ๋าวหรานอดยื่นมือไปลูบคลำมันไม่ได้ หลังจากพลิกเปิดก็พบว่าตัวหนังสือด้านในเล็กกว่าอยู่สักหน่อย วาดรูปสมุนไพรไว้ด้านข้างตัวอักษรอย่างละเอียด เป็งานวาดที่พิถีพิถันอย่างแท้จริง รูปร่างชัดเจน ลายละเอียดโดดเด่น ที่สำคัญคือยังเป็ภาพสีอีกด้วย อ๋าวหรานโปรดปรานจนวางไม่ลง
“จดจำสมุนไพรได้ขึ้นใจถือเป็สิ่งพื้นฐานที่สุด ไม่ต้องให้เ้าใช้พร์มากสักเท่าไร แต่ต้องใช้ความขยันและความพยายามของเ้า ในเื่นี้ข้าช่วยเ้าไม่ได้มากเท่าไร เ้าต้องพึ่งตัวเอง”
อ๋าวหรานเปิดตำราสมุนไพรแต่ละหน้าๆ พยักหน้าไปอย่างมึนงง
จิ่งฝานไม่สนใจอ๋าวหราน เขาพูดต่อไปว่า “ต่อไปทุกเช้าข้าจะสอนเ้าเื่ การดู การฟังและการดม การถาม และการจับชีพจร การฝังเข็มการจ่ายยา เป็ต้น ตอนบ่ายเ้าก็มาที่โรงยานี่เองแล้วเปรียบเทียบสมุนไพรกับในคัมภีร์ ตั้งใจจดจำให้ได้ขึ้นใจ”
หลังจากอ๋าวหรานเปิดตำราไปจนครบหนึ่งรอบแล้ว ในที่สุดก็ดึงสติกลับมาได้ ฟังคำพูดของจิ่งฝานอย่างตั้งใจและพยักหน้า
“วันนี้ข้าจะสอนเื่การวินิจฉัยโรคจากการจับชีพจรขั้นพื้นฐานที่สุดแก่เ้าก่อน ต่อไปยังต้องเรียนการวินิจฉัยโรคจากการมอง การฟังและดม การถาม เหล่านี้เป็ต้น”
อ๋าวหรานพยักหน้า
“เ้านั่งลงก่อน”
อ๋าวหรานนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างชั้นหนังสือไม้ตามที่นิ้วของจิ่งฝานชี้ไป จิ่งฝานนำที่รองนิ่มมาแล้วนั่งลงตรงหน้าอ๋าวหราน
จิ่งฝาน “ยื่นมืออกมา”
อ๋าวหรานยื่นมือซ้ายออกมาวางลงบนที่รองนุ่มๆ นั้น
นิ้วของจิ่งฝานแตะลงบนจุดชีพจรของอ๋าวหราน “เวลาจับชีพจรต้องจัดนิ้วทั้งสามให้ตรงอยู่ในระนาบเดียวกัน หาตำแหน่งชุ่นกวานฉื่อ [1] ให้ดี ตำแหน่งชุนกวานฉื่อคือการแบ่ง่ชีพจรตรงข้อมือออกเป็สามส่วน ตำแหน่งกวานนั้นอยู่ตรงกระดูกใต้ข้อมือ ตำแหน่งชุ่นฉื่ออยู่ก่อนและหลังตามลำดับ ตำแหน่งชุ่นกวานฉื่อที่มือซ้าย แต่ละตำแหน่งเป็ตัวแทนของหัวใจ ตับ และไต ส่วนตำแหน่งชุ่นกวานฉือของมือขวา แต่ละตำแหน่งเป็ตัวแทนของปอด ม้าม และไต หากชีพจรปกติจะเต้นสี่ครั้งต่อการหายใจเข้าออกหนึ่งครั้ง เต้นแรงปานกลาง จับแล้วไม่รู้สึกอะไรเป็พิเศษ ลักษณะชีพจรที่ปกติส่วนใหญ่จะคล้ายกัน แต่ลักษณะชีพจรที่ไม่ปกตินั้นมีมากมายหลายแบบ เรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงได้ร้อยแปดพันเก้า นอกจากความขยันเรียนของเ้าแล้ว ขณะเดียวกันประสบการณ์และพร์เองก็สำคัญมากเช่นกัน”
อ๋างหรานฟังไปพยักหน้าไป อดยืนมืออกไปลูบข้อมือของจิ่งฝานที่วางอยู่บนชีพจรของตนเองไม่ได้ คนทั้งสองค่อนข้างขาว เมื่อนำมือมาวางไว้ด้วยกันก็เป็ภาพที่ทำให้คนมองมองแล้วรู้สึกจิตใจเบิกบาน เทียบกับอ๋าวหรานที่ยังเด็ก ข้อมือของจิ่งฝานใหญ่กว่าถึงรอบหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาว ราวกับหยกขาวก็ไม่ปาน
อ๋าวหรานสงบใจััชีพจรของจิ่งฝาน แล้วยื่นมือััชีพจรของตนเอง พูดว่า “รู้สึกว่าไม่ต่างกันสักเท่าไร”
จิ่งฝานพยักหน้าน้อยๆ “การจับชีพจรไม่ใช่แค่จับก็เสร็จหรอกนะ สิ่งที่ต้องเรียนยังมีอีกมาก ต้องรับรู้ให้ละเอียด จะพบความแตกต่างได้นั้นต้องแบ่งลักษณะการจมลอยของชีพจรให้ชัดเจนให้ได้”
อ๋างหรานถามด้วยความสงสัย “จมลอย?”
จิ่งฝาน “อืม อธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือนอกใน [2] ลักษณะชีพจรลอยอยู่นอกกล้ามเนื้อ หากกดลงแล้วค่อยๆ จมลง แสดงว่าเป็ภาวะภายนอก ตัวโรคอยู่นอกกล้ามเนื้อ ส่วนลักษณะชีพจรจมลึก หากกดลงแล้วค่อยๆ ลอยขึ้น แสดงว่าเป็ภาวะภายใน ตัวโรคอยู่ภายใน บริเวณที่เกิดโรคคืออวัยวะภายใน”
“อ่อ” อ๋าวหรานำยักหน้ารับ
จิ่งฝานพูดต่อว่า “ตอนที่แบ่งลักษณะจม ลอย นอกหรือในนั้น ยังต้องพิจารณาด้วยว่ามีชีพจรลักษณะอื่นอีกหรือไม่ เช่น ชีพจรลื่น ชีพจรเหมือนไข่มุก คือจับแล้วลื่นเหมือนัักับไข่มุก ชีพจรเต้นเร็ว ชีพจรเต้นห้าถึงหกครั้งต่อรอบการหายใจ ชีพจรหย่อน ชีพจรเต้นไม่ถึงสี่ครั้งต่อการหายใจเข้าออกหนึ่งครั้ง ชีพจรเล็ก ลักษณะของชีพจรเล็กบางเหมือนเส้นด้าย เมื่อััสามารถรู้สึกถึงการเต้นได้ชัดเจน ชีพจรใหญ่ ลักษณะชีพจรกว้างมีพลัง เป็ต้น ลักษณะชีพจรที่แตกต่างกันแสดงถึงความแตกต่างของการเปลี่ยนแปลงของโรค ซับซ้อนและลึกซึ้งอย่างยิ่ง ทั้งหมดที่ข้าพูดไปนั้นยังไม่อาจนำมาใช้สรุปได้”
อ๋าวหรานอดสะท้อนใจไม่ได้ แค่จับชีพจรเพียงอย่างเดียวยังซับซ้อนอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมี การมอง การฟัง การดม การถาม สมุนไพร และการฝังเข็มต่างๆ อีกมากมาย เรียนวิชาแพทย์นี่ไม่ใช่เื่ง่ายจริงๆ ปราศจากความทุ่มเทและความพยายามคงไม่อาจเป็หมอที่ช่วยคนจากความตายได้ อ๋าวหรานอดนับถือจิ่งฝานรวมถึงลูกหลานตระกูลจิ่งเหล่านี้ไม่ได้ แต่ว่าไม่ว่าจะซับซ้อนอย่างไร อ๋าวหรานกลับไม่มีความคิดจะท้อถอยเลย เทียบกับครั้งแรกที่ได้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของวรยุทธ์ที่มีอยู่ วิชาแพทย์นั้นทำให้เขาเกิดความสนใจได้มากกว่า หากเรียนได้ผลดี สามารถรักษาโรคให้ผู้คนได้ สามารถช่วยคนจากความตายได้ ก็จะทำให้เขาเกิดความภาคภูมิใจขึ้นอย่างแน่นอน
เชิงอรรถ
[1] ตำแหน่งชุ่นกวานฉื่อ(寸关尺)วิธีตรวจชีพจรข้อมือวิธีหนึ่งที่ตำแหน่งชุ่น กวาน ฉื่อ โดยถือตำแหน่งปุ่มนูนของกระดูก ด้านในเป็กวาน ส่วนต่อจากกวานไปทางข้อมือเป็ชุ่น ส่วนต่อจากกวานไปทางข้อศอกเป็ฉื่อ สองข้างรวมเป็ 6 ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งแบ่งเป็ 3 ระดับ คือ ตื้น กลาง และลึก
[2] นอกใน(表里)สองในแปดภาวะหลัก ใช้ในการแยกแยะตำแหน่งโรคและแนวโน้มการดำเนินโรค นอกคือภายนอก ในคือภายใน