“เ้าวางใจเถิด ข้าไม่เป็ไร” ฮองเฮาเชิดคางขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาเป่า
“ผู้ที่เกิดเื่คือน้องสาวของเ้า ข้าคิดว่าถึงอย่างไรก็เป็ครอบครัวเดียวกัน จึงให้แม่นมชิวไปพาตัวเ้ามา”
ไป๋หว่านหนิงดูราวกับสูญเสียจิติญญาไปแล้วก็ไม่ปาน นางนั่งเหม่อลอยอยู่บนพื้น ศีรษะค้อมต่ำ ไม่พูดไม่จาใดๆ ทั้งสิ้น
ทว่าฮั่วิเชินกลับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นไป๋เซี่ยเหอ เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ไป๋เซี่ยเหอ เหตุใดเ้าถึงกลับมาอีก?”
สตรีที่เฉลียวฉลาดย่อมไม่โผล่หน้ามาเป็สักขีพยานในเื่ที่สามีทำงามหน้าเป็อันขาด แล้วนี่จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน?
แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้แต่งงานกัน ทว่าก็มีกระดาษหมั้นหมายแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ ดังนั้นนางจึงไม่ควรปรากฏตัวที่นี่
ไม่ทราบว่าสกุลไป๋อบรมสั่งสอนบุตรีอย่างไร ทั้งคู่เป็บุตรีของสกุลไป๋เหมือนกัน ทว่าคนหนึ่งไม่รู้ความ ส่วนอีกคนอ่อนโยนเอาใจใส่
ฮองเฮาปรายตามองฮั่วิเชินด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ข้าให้นางมาเอง เ้าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของข้าหรือ?”
ฮั่วิเชินไม่กล้าต่อต้านฮองเฮา มีผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าเสด็จพ่อโปรดปรานฮองเฮา? ทว่าบุรุษที่มีความสามารถจะถูกสตรีบงการได้อย่างไร?
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มแหย “ลูกมิกล้า เพียงแต่สงสัยที่ไป๋เซี่ยเหอมาเร็วปานนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอนั่งเยื้องลงมาจากฮองเฮา และอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับฮั่วเยี่ยนไหว เพียงแต่ฮั่วเยี่ยนไหวนั้นหลับตาลงและงีบหลับตลอดเวลา ราวกับต่อให้ฟ้าถล่มก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างไรอย่างนั้น
“หม่อมฉันอยู่ในวังพอดี เมื่อได้ยินว่าฮองเฮาทรงเรียกหา จึงรีบมาเพคะ”
“อยู่ในวังหรือ?”
แววตาของฮั่วิเชินเป็ประกายราวกับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เขากล่าวด้วยความโกรธเคืองโดยไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ “เป็เ้านี่เอง! เ้าใส่ร้ายไท่จื่อผู้นี้ใช่หรือไม่? ไป๋เซี่ยเหอ เ้ามันใจจืดใจดำจริงๆ!”
ตอนนั้นเขาเห็นเงาที่นอกหน้าต่าง
ไป๋เซี่ยเหอทราบว่าเขาคงเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าคนที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างก็คือนาง เพียงแต่นางจะไม่ปฏิเสธ และจะไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน
“ใส่ร้ายหรือ? เหตุใดหม่อมฉันถึงต้องใส่ร้ายไท่จื่อด้วยเพคะ?”
ความสงบนิ่งของนางแตกต่างจากความโกรธเคืองของไท่จื่ออย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่ความสงบนิ่งของนางนั้นดูเสแสร้งในสายตาของฮั่วิเชิน
เขาเผยสีหน้าเหยียดหยาม ก่อนจะพยายามวางอำนาจ “เ้าสะกดรอยตามหนิงเอ๋อร์เข้าวัง เมื่อเ้าเห็นนางเข้ามาในตำหนักของข้า เ้าก็อิจฉาริษยาและหึงหวง จากนั้นก็วางเพลิงเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน”
แม้ว่าเขาจะพึงพอใจกับทักษะด้านการแพทย์อันโดดเด่นของนาง ทว่าเขาไม่ชอบสตรีขี้อิจฉา
ผู้ที่เขา้ารับเป็ภรรยาต้องเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและมีความเอาใจใส่ ไม่ใช่หมอหลวง!
ดูราวกับว่าเขากำลังคิดหาเหตุผลที่จะยกเลิกการหมั้นหมายกับไป๋เซี่ยเหอ
“ถูกต้อง! เป็ดังที่ไท่จื่อกล่าวมาทุกประการพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงอันน่าเกรงขามและเคร่งขรึมดังมาจากข้างนอก ฟังดูราวกับเสียงระฆังใบใหญ่ก็ไม่ปาน
ไป๋เสียนอันเดินเข้ามา เขาสวมชุดคลุมยาวสีเกาลัด แบกไม้หวายไว้ข้างหลัง
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าา ฮองเฮา เซ่อเจิ้งอ๋อง และไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็พูดต่อทันที “กระหม่อมรู้ว่าตนเองมีความผิดที่เลี้ยงบุตรสาวอย่างไป๋เซี่ยเหอมาไม่ดี ดังนั้นวันนี้จึงแบกไม้มารับโทษ[1]พ่ะย่ะค่ะ”
“เื่ที่เ้าจะรับโทษเอาไว้คุยกันวันหลัง เรามาพูดเื่ในวันนี้ก่อน” ฮ่องเต้ถลึงตามองไป๋เสียนอัน จากนั้นชี้ไปที่คนสองคนบนพื้น
“ไต้เท้าไป๋ เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ไป๋เสียนอันค้อมตัวคำนับ “กระหม่อมสั่งสอนไป๋เซี่ยเหอไม่ดีเอง ทำให้นางกระทำเื่ที่์ไม่อาจให้อภัยได้ ฝ่าาโปรดทรงให้กระหม่อมพานางกลับไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“พากลับไปปิดปากหรือเ้าคะ?”
ใบหน้าอันงดงามของไป๋เซี่ยเหอเต็มไปด้วยความเ็ปและความขุ่นเคืองจนถึงขีดสุด ท่าทีอันดื้อรั้นชวนให้ปวดร้าวจนถึงกระดูก
ลำเอียงออกนอกหน้า ไม่ฟังไม่ถามอะไรก็ผลักบุตรสาวคนโตออกมารับโทษแทนทันทีเพื่อปกป้องบุตรสาวคนรอง
สีหน้าของไป๋เสียนอันดูอัปลักษณ์สุดขีด บุตรีอกตัญญูสมควรตาย นางกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร?
แน่นอนว่าเขาโกรธเพราะไป๋เซี่ยเหอเดาความคิดของเขาถูก
หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือสังหารไป๋เซี่ยเหออย่างลับๆ จากนั้นตำแหน่งไท่จื่อเฟยก็จะตกเป็ของไป๋หว่านหนิง
สุดท้ายแล้วตำแหน่งไท่จื่อเฟยก็เป็ของบุตรีเขาอยู่ดี
มิสู้มอบตำแหน่งนี้ให้บุตรีที่เชื่อฟังและใช้งานได้แทนจะดีกว่า
เดิมทีเขาก็ไม่มีความผูกพันกับไป๋เซี่ยเหออยู่แล้ว กอปรกับนางไม่รู้ว่ารูปภาพนั้นอยู่ที่ใด เพราะฉะนั้นเก็บนางไว้จะมีประโยชน์อันใด?
เป็เพียงเศษสวะไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น ทิ้งได้ก็ทิ้ง!
ไป๋เสียนอันอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าา นี่เป็เื่ในครอบครัวของกระหม่อม ฝ่าาโปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมจัดการด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ความหมายของแม่ทัพไป๋คือ ไท่จื่อเป็คนในครอบครัวของเ้าหรือ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวหลับตาอยู่ เขาไม่ได้ลืมตา เพียงแต่เอ่ยแทรกในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
คำกล่าวของเขาทำให้ทุกคนตกตะลึงทันที
แต่ไหนแต่ไรฮั่วเยี่ยนไหวมักปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมใน ‘ความครึกครื้น’ เช่นนี้มาโดยตลอด
หลังจากหายประหลาดใจ ไป๋เสียนอันก็ตอบสนองด้วยการคุกเข่าลงกับพื้น “กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มองบุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างพินิจพิเคราะห์
จากนั้นก็ตอบไป๋เสียนอันเพียงคำว่า “อืม” ด้วยท่าทีเฉยเมย
ไป๋เสียนอันปาดเหงื่อบนศีรษะ เขาลุกขึ้นยืนด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม พลางเกิดความสงสัยว่าเหตุใดจู่ๆ เซ่อเจิ้งอ๋องถึงได้พูดแทนไป๋เซี่ยเหอ
เนื่องจากมีไป๋เสียนอันอีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน ฮั่วิเชินจึงยืดหลังตรงและยืนกรานว่าไป๋เซี่ยเหอใส่ร้ายเขา
“ลูกมิได้มีเจตนากล่าวหานาง ทว่ายามที่ลูกอยู่ในตำหนักกลับพบว่ามีคนแอบมองอยู่นอกหน้าต่างตลอดเวลา จึงปามีดบินออกไปทันที ผู้ใดจะรู้ว่านางจะหนีไปเสียอย่างนั้น”
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้าไม่คู่ควรที่จะเป็บุตรีของข้าจริงๆ เื่น่าขายหน้าเช่นนี้เ้ายังทำได้!”
ฮั่วิเชินกับไป๋เสียนอันนั้นคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ โยนความผิดทั้งหมดไปไว้ที่ไป๋เซี่ยเหอ
ฮ่องเต้มุ่นคิ้วราวกับปวดศีรษะเล็กน้อย เขาถามไป๋เซี่ยเหอ “ไป๋เซี่ยเหอ เ้าจะว่าอย่างไร?”
ไป๋เซี่ยเหอวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็คุกเข่าลงและยืดหลังตรงเบื้องหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้
“ในเมื่อพวกเขาบอกว่าเป็เช่นนั้น ก็ย่อมเป็เช่นนั้นเพคะ ฝ่าาโปรดทรงปะาชีวิตหม่อมฉันเถิดเพคะ”
“เสด็จพ่อ ท่านดูสิ นางยอมรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วิเชินรีบโยนความผิดทันที
“หุบปาก!” ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ช่างน่าขายหน้าจริงๆ “เ้าดูสิว่าเ้ามีท่าทีของไท่จื่อตรงไหนกัน?”
ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างถ่องแท้ มัวแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ
ฮองเฮาเดินลงไปจับมือของไป๋เซี่ยเหอให้ลุกขึ้นมาอย่างทนดูไม่ไหว ก่อนจะเอ่ยด้วยความอ่อนโยน “เด็กโง่ อย่าประชดประชันสิ ควรพูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ข้าอยู่ที่นี่แล้ว อย่ากลัวไปเลย”
ความรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อยเกิดขึ้นกับไป๋เซี่ยเหออย่างอธิบายไม่ได้ ส่วนความซาบซึ้งใจก็ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอกของนาง
ความอ่อนโยนของฮองเฮาราวกับมารดาที่กำลังทะนุถนอมลูก สำหรับไป๋เซี่ยเหอแล้ว นี่เป็ความรู้สึกอันน่ามหัศจรรย์ที่นางไม่เคยได้ััมาก่อน
“เพคะ”
ไป๋เซี่ยเหอหลุบตาลง นางสูดจมูกด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและเสียใจอย่างหนัก
“สิ่งที่ไท่จื่อตรัสนั้นฟังไม่ขึ้นเลยเพคะ”
นางทำสีหน้าจริงจังก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง “ประการแรก ที่ไท่จื่อตรัสว่าหม่อมฉันสะกดรอยตามน้องรองนั้นไม่เป็ความจริงเลยเพคะ น้องรองสวมชุดนางกำนัล เห็นได้ชัดว่าแอบลอบเข้ามาโดยไม่ได้ถูกเรียกตัว แต่หม่อมฉันเข้าวังมาถวายการตรวจชีพจรแก่ฮองเฮาอย่างมีเกียรติเพคะ”
ไป๋หว่านหนิงคิดว่าเมื่อไป๋เสียนอันมาแล้วสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี จึงตัดสินใจรออยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
ทว่าในเวลานี้ ยิ่งนางแสดงท่าทีขี้ขลาด ก็ยิ่งกระตุ้นโทสะของฮ่องเต้และฮองเฮามากขึ้นเท่านั้น
ฮองเฮาผงกศีรษะ “ถูกต้อง ข้าเป็พยานได้”
“ประการที่สอง ที่ไท่จื่อตรัสว่าคนผู้นั้นหลบมีดบินของไท่จื่อ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่ อย่างน้อยต้องเป็บุคคลที่มีวรยุทธ์เลิศล้ำ หม่อมฉันดูเหมือนมีวรยุทธ์อย่างนั้นหรือเพคะ?”
------------------------
[1] แบกไม้มารับโทษ เป็สำนวน หมายถึง ออกตัวยอมรับความผิดก่อนถูกลงโทษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้