เห็นคุณแม่ตัดพ้อเช่นนี้ เฉินเฟิงก็รีบพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้ม
"แม่ครับ โม๋ตูเราของก็ดีนะ อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้พบกับหลิ่วอีอี อีกอย่างนะแม่ การเรียนปริญญาเป็แค่ใบเบิกทาง สิ่งสำคัญคือหลังจากก้าวเข้าสู่สังคมจริงต่างหาก นั่นจะวัดว่าเราพึ่งพาความสามารถของตัวเองได้แค่ไหน จะว่าไป พ่อแม่เลิกลำบากทำนาได้แล้วครับ ผมเพิ่งก่อตั้งบริษัทกับหลิ่วอีอี ผมมีรายได้มากพอจะเลี้ยงพ่อแม่ให้อยู่สบายตลอดชีวิต พ่อแม่ไม่ต้องทนทำงานหนักแล้วนะครับ"
เฉินเฟิงเล่าเื่ก่อตั้งบริษัทให้พ่อแม่ฟัง แต่ไม่กล้าเล่าเื่ที่ตนมีหุ้นของบริษัทั์ใหญ่สองบริษัทในมือ
เขาเล่าแค่ส่วนที่ตนกับหลิ่วอีอีร่วมกันก่อตั้งบริษัท
"พวกลูกสองคนเพิ่งใกล้จบปีสามเองไม่ใช่เรอะ ไปไงมาไงถึงเปิดบริษัทได้ล่ะ แล้วบ้านเราจนขนาดนี้ ลูกไปเอาเงินจากไหนไปลงทุน?"
พ่อเฉินพอมีความรู้เื่การเปิดบริษัทอยู่บ้าง จึงรีบถามด้วยความเป็ห่วง
"พ่อแกพูดถูก อย่าบอกฉันนะว่าแกแต่งเข้าตระกูลหลิ่วเพื่อเอาเงินไปเปิดบริษัท?"
แม่เฉินเหลือบตามองรถหรูที่จอดอยู่นอกบ้านผ่านหน้าต่าง แล้วรับรู้ได้ว่า ฐานะของครอบครัวหลิ่วอีอีต้องไม่ธรรมดาแน่
"คุณแม่คะ วางใจได้ค่ะ ครอบครัวเล็กๆ ของหนูไม่มีปัญญาทำให้เฉินเฟิงแต่งเข้าตระกูลได้หรอก อย่าว่าแต่งเข้าเลย เผลอๆ อีกไม่กี่วันเฉินเฟิงจะพาเมียน้อยอีกคนสองคนมาพบพวกคุณก็ได้"
หลิ่วอีอีรู้ว่าเฉินเฟิงอธิบายไม่ได้ เธอจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงประชดประชันแทน
"เมียน้อย? แถมตั้งสองคน? แค่เฉินเฟิงได้หนูเป็ภรรยา พ่อก็แทบจะเผาผีบรรพบุรุษแล้วหนูเอ้ย ถ้าเฉินเฟิงมันกล้า มาบอกพ่อนะ พ่อจะตีให้ขาลายคอยดู"
พ่อเฉินตบโต๊ะแล้วหันไปว่าเฉินเฟิงด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่ลืมหันมายิ้มให้หลิ่วอีอี
"พ่อครับแม่ครับ นี่ลูกเองนะ ใจเย็น แค่พาสะใภ้เข้าบ้านหน่อยก็ลืมลูกคนนี้เลยเหรอ"
เฉินเฟิงพูดไป ในใจก็ร้องไห้และหัวเราะไปในเวลาเดียวกัน
"ลูกหมดหน้าที่ั้แ่เมื่อคืนแล้ว ตอนนี้รอแค่หนูอีอีมอบหลานน่ารักๆ ให้เราสักคน"
พ่อเฉินพูดตรงๆ ไร้ซึ่งความเกรงใจ
"พ่อคะ... เร็วไป... หนู อาย... รีบกินข้าวเถอะค่ะ"
หลิ่วอีอีก้มหน้าพูดงึมงำ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย
เฉินเฟิงไม่มีปากมีเสียงอะไรได้อีก แม้เขาจะมีสถานะสูงส่ง หรือร่ำรวยแค่ไหนในชาติที่แล้ว
แต่ต่อหน้าพ่อแม่ เก็บปากไว้กินข้าวดีกว่า
หลังจากนั้น ทั้งสี่ต่างกินข้าวกลางวันโดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
เฉินเฟิงไม่อยากยื้ออยู่ต่อนานกว่านี้ จึงขับรถหรูพาหลิ่วอีอีไปจดทะเบียนสมรส
"พ่อดูสิ ลูกชายเราโตแล้ว ภรรยาลูกเรานอกจากจะสวยฉลาดแล้ว ยังรวยอีก!"
เมื่อมองส่งรถหรูที่ขับหายลับไป น้ำตาของแม่เฉินก็รินไหลด้วยความปีติยินดี
"ไอ้ลูกชายเราธรรมดาซะที่ไหน พ่อรู้สึกว่าเื่เมียน้อยสองคนที่ลูกสะใภ้เราพูดนั่น น่าจะเป็เื่จริง..."
พ่อของเฉินเฟิงพูดด้วยความพึงพอใจ
"ไอ้พวกผู้ชายเ้าชู้ อย่าบอกนะว่าคิดถึงรักแรกคุณอยู่น่ะ!!"
แม่เฉินถามด้วยน้ำเสียงโมโหขณะดึงหูพ่อเฉิน
ทางด้านเฉินเฟิงซึ่งกำลังขับรถหรูพาหลิ่วอีอีไปสำนักงานทะเบียนสมรสในเขตเมือง ทั้งสองก็ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านหลายคนทีเดียว
ด้วยความที่รถหรูราคาแพงขนาดนี้ไม่เคยแล่นผ่านชนบทแถบนี้มาก่อน และเฉินเฟิงก็เปิดกระจกครึ่งบาน ทำให้เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายที่รู้จักเขาคนหนึ่งจำเขาได้
เพื่อนม.ปลายคนนี้ นับว่าค่อนข้างสวยมากทีเดียว
แต่ด้วยความที่เรียนไม่เก่ง สุดท้ายก็ไม่สามารถเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ และจบลงด้วยการแต่งงานกับลูกชายของผู้ใหญ่บ้านั้แ่เนิ่นๆ
เดี๋ยวนี้ก็ต้องลงมาทำไร่ไถนาในทุ่งนาด้วย
"ที่รัก นั่นเฉินเฟิงใช่ไหม?"
เพื่อนหญิงรีบถามลูกชายผู้ใหญ่บ้านที่ทำงานอยู่ข้างๆ
เดิมทีในฐานะผู้ใหญ่บ้าน เขาก็เป็แค่ข้าราชการตัวเล็กๆ คนหนึ่งในหมู่บ้าน ซึ่งไม่มีความจำเป็ต้องทำนาเลยสักนิด
แต่ต้นปีนี้ผู้ใหญ่บ้านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ด้วยเหตุนี้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของผู้ใหญ่บ้านจึงต้องหันมาทำนาเลี้ยงชีพ
ลูกชายผู้ใหญ่บ้านเงยหน้ามองรถหรูที่แล่นอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ไกลๆ จนเห็นว่าคนขับคือเฉินเฟิงจริงๆ
"ใช่เฉินเฟิงจริงๆ ด้วย...ไม่ใช่ว่าเขาไปเรียนต่อที่มหาลัยในเมืองเหรอ ทำไมมาขับรถอยู่แถวนี้กันนะ"
ลูกชายผู้ใหญ่บ้านพูดพึมพำกับตนเองด้วยความสงสัย
จากนั้นเขาจึงโบกมือะโเรียกเฉินเฟิง
"เฉินเฟิง แกรวยแล้วไม่เห็นหัวเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาั้แ่เด็กเลยรึไง กลับมาทั้งที ไม่ทักทายกันบ้างเลยเหรอ"
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฟิงจึงจอดรถบนถนนสายหลักเส้นเดียวในชนบทแห่งนี้
"ที่รัก ฉันเห็นเพื่อนสองคนจากหมู่บ้าน เดี๋ยวขอตัวแป๊บเดียว เดี๋ยวจะรีบกลับมา แต่เธอรออยู่นี่ ไม่ต้องลงไป มานั่งฝั่งคนขับแทนฉันด้วย เตรียมตัวออกรถทุกเมื่อเลยนะ!"
หลังจากเฉินเฟิงเห็นหน้าเพื่อนร่วมชั้นทั้งสองแล้ว เขาหันไปพูดกับหลิ่วอีอีด้วยสีหน้าซีเรียส
"ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้น? ขนาดในชนบทแบบนี้นายยังจะมีเพื่อนสองหน้าอีกเหรอ?"
หลิ่วอีอีพูดไม่ออก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินเฟิงไม่เหมือนกำลังล้อเล่น เธอจึงพูดด้วยความรู้สึกเซ็งๆ
"โอ๊ย... ก็คนมันหล่อทำไงได้ ผู้หญิงคนนั้นน่ะ สมัยมัธยมไม่ชอบเรียนหนังสือ มัวแต่ตามจีบฉัน ส่วนผู้ชายคนนั้นเป็ลูกผู้ใหญ่บ้าน เป็เพื่อนบ้านฉันเอง แต่ก็มีเื่กระทบกระทั่งกันบ่อยอยู่ ต้นปีที่ผ่านมา ผู้ใหญ่บ้านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ครอบครัวเขายังมาโทษพ่อแม่ฉันอยู่เลย ความสัมพันธ์ในหมู่บ้านไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เธอคิดหรอก เพราะครอบครัวฉันไม่ใช่คนท้องถิ่น พวกฉันย้ายมาจากทางตงเป่ย คนต่างถิ่นมักถูกเลือกปฏิบัติแบบนี้แหละ รู้ไหมว่ามันรู้สึกยังไง?"
เฉินเฟิงอธิบายช้าๆ แล้วค่อยๆ เปิดประตูรถลงไป
"อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนชีวิตคุณพ่อคุณแม่ในหมู่บ้านจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะ ฉันว่าเราควรรีบซื้อบ้านสักหลัง แล้วพาคุณพ่อคุณแม่ย้ายเข้าเมืองกันดีกว่า"
หลิ่วอีอีรู้สึกสงสารพ่อแม่เฉินเฟิงจับใจ
"ใช่ จดทะเบียนแล้วเราไปหาซื้อบ้านดีๆ สักหลังกัน"
เฉินเฟิงส่งยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย
จังหวะนี้เอง ลูกชายผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนหญิงก็วิ่งจากทุ่งนามาถึงถนนสายหลักในที่สุด
"หลี่เสียง ไม่เจอกันตั้งนาน... ฉันกำลังรีบพาหัวหน้างานกลับน่ะ เราเพิ่งสำรวจที่ดินเสร็จ เลยไม่ทันเห็นพวกนายในนา"
เฉินเฟิงอธิบายให้ลูกผู้ใหญ่บ้านฟังว่า หลิ่วอีอีเป็หัวหน้าในที่ทำงานด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
"หัวหน้าเหรอ? โห...สวยโคตร!"
หลี่เสียงเห็นหลิ่วอีอีที่อยู่ด้านหลังเฉินเฟิงผ่านกระจก รู้สึกตะลึงกับความงามของเธอ
"ใช่ หัวหน้าฉันทำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยว เธอคิดว่าหมู่บ้านเราเหมาะจะทำบ้านพักตากอากาศสำหรับการท่องเที่ยว เธอเห็นว่าฉันเป็คนท้องถิ่น เธอเลยให้ฉันขับรถพาเธอมาตระเวนที่หมู่บ้านั้แ่เช้า..."
เฉินเฟิงโกหกหน้าตาย คำโกหกนี้เล่นเอาลูกผู้ใหญ่บ้านอึ้งงันไป
"งั้นก็ดีเลย เราจะไม่รบกวนเวลาอันมีค่าของเ้านายนายแล้วกัน ไปก่อนนะ"
จริงๆ แล้วหลี่เสียงตั้งใจจะหาเื่เฉินเฟิงด้วยเื่ของพ่อเขา เพราะเื่นี้พอจะเกี่ยวกับเฉินเฟิงอยู่บ้าง
แต่พอหลี่เสียงได้ยินว่าหัวหน้าของเฉินเฟิงกำลังจะพัฒนาบ้านพักตากอากาศในหมู่บ้าน สีหน้าพลันผุดรอยยิ้มขึ้น
