คนทั้งหกเข้าไปโอบล้อมคนทั้งสี่เอาไว้ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ภายในใจของพวกเขาได้หมายมาดไว้แล้วว่าจะสังหารชายทั้งสามคนทิ้งเสีย
“อะแฮ่ม ข้าขอพูดอะไรสักหน่อยเถิด ท่านทั้งหลายกระทำเช่นนี้ดูจะไม่ยุติธรรมไปเสียหน่อย ใช้คนหมู่มากรังแกคนหมู่น้อยเช่นนี้ไม่ควรเลย”
ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างชัดเจน จากนั้นร่างของเด็กหนุ่มสองคนก็เดินออกมาจากป่าด้านข้าง และคำพูดเมื่อครู่ก็เป็เสียงของหนึ่งในพวกเขา
จากรูปลักษณ์ภายนอกของเด็กหนุ่มสองคนนี้ ดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆ สิบห้าถึงสิบหกปีเท่านั้น หนึ่งในนั้นเป็เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา กรอบหน้าคมเข้ม คิ้วคมราวกับกระบี่ นอกจากนี้เขายังมีรอยแผลเป็อยู่ตรงหว่างคิ้ว เด็กหนุ่มสวมใส่ชุดคลุมสีดำมีกระบี่เล่มใหญ่แบกพาดอยู่บนหลัง แม้รูปลักษณ์ของเขาจะดูเป็เพียงแค่คนหนุ่มที่ยังเยาว์วัย แต่ออร่าที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นกลับดูต่างจากเด็กหนุ่มในรุ่นราวเดียวกัน โดยเฉพาะรอยแผลเป็บริเวณหว่างคิ้วที่ขับให้เขาดูเป็วีรบุรุษหนุ่มผู้กล้าหาญคนหนึ่ง และหากได้มองลึกลงไปในดวงตาของเขาย่อมสังเกตเห็นประกายตาสีโรหิต
ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผมของเขายาวราวหนึ่งนิ้ว แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ มีดาบพาดอยู่บนหลัง แม้ใบหน้าจะดูเด็ดเดี่ยว แต่ยังคงมีร่องรอยของความอ่อนวัย
เด็กหนุ่มทั้งสองเดินออกมาจากป่าด้านข้าง และเดินเข้าไปหากลุ่มคนเ่าั้อย่างไม่รีบร้อน
ฝีเท้าของหวังลิ่วผิงและคนอื่นๆ ต่างหยุดชะงักลงทันที หวังลิ่วผิงเลิกคิ้วมองไปทางอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “เป็หนุ่มน้อยจากที่ใดกัน? พวกเ้าเข้ามายุ่งเื่ของข้าเพราะอยากเป็วีรบุษหรืออย่างไร?”
“ฮ่าๆ ข้าไม่ได้้าที่จะเป็วีรบุรุษ ข้าเพียงแค่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพวกท่าน”
มู่เฟิงหยุดยืนห่างจากพวกเขาสิบเมตร ก่อนจะกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเขายังคงมั่นคงและสงบนิ่ง ราวกับไม่มีเื่ใดส่งผลต่ออารมณ์ของเขาได้
“น้องชายทั้งสอง เื่นี้ไม่เกี่ยวกับพวกเ้า พวกข้าขอขอบคุณในความหวังดี แต่พวกเ้าโปรดรีบจากไปเสียเถิด อย่าได้เข้ามายุ่งเลย”
เมื่อจ้าวเชินได้ยินว่ามีคนออกหน้าพูดแทนพวกเขา ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันใด แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็เพียงเด็กหนุ่มสองคน ความหวังของเขาก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงได้พูดจาเกลี้ยกล่อมให้เด็กหนุ่มทั้งสองจากไปเสีย
“พี่ชายท่านนี้ไม่ต้องเป็กังวล พวกเราแค่ออกมาพูดทวงความยุติธรรมเพียงไม่กี่คำเท่านั้น หากไม่มีคนออกปากปรามคนน่ารังเกียจและไร้ยางอายเช่นพวกเขา เกรงว่าในอนาคตพฤติกรรมของพวกเขาคงจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จ้าวเชินขมวดคิ้วมุ่น แต่เขายังคงพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายออกไปจากที่นี่
“พ่อหนุ่มน้อย พี่สาวซาบซึ้งในน้ำใจนี้ของเ้า แต่พวกเ้ารีบไปเถอะ พวกพยัคฆ์เหลืองนั่นไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก”
สตรีอีกคนที่มีนามว่าเสี่ยวถิงก็เอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มด้วยเช่นกัน
“เฮอะ คิดจะไป เกรงว่าคงจะสายไปเสียหน่อยแล้ว พวกเ้าสองคนจงจัดการเ้าเด็กสองคนนี้เสีย ข้าจะทำให้พวกมันได้รู้ว่าจุดจบของพวกที่ชอบเสแสร้งทำตัวเป็วีรบุรุษนั้นต้องลงเอยอย่างไร”
หวังลิ่วผิงกล่าวเสียงเย็น
“ขอรับ”
ทันใดนั้นกลุ่มพยัคฆ์เหลืองสองคนก็หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย พวกเขาต่างก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้า คนทั้งสองย่างเท้าเดินเข้าหามู่เฟิงและมู่ขวงพร้อมกับดาบในมือ ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนเป็พุ่งทะยานเข้าหาเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างรวดเร็ว
มู่เฟิงและมู่ขวงต่างหันมองสบตากัน ฉับพลันนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็ดึงดาบและกระบี่ออกมาจากด้านหลัง และพุ่งทะยานเข้าหาคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าในทันที
“จงตายเสีย!”
ชายผู้หนึ่งจงใจแทงดาบไปทางมู่เฟิง ดาบเล่มนั้นทั้งดุดันและไร้ความปรานี คมดาบเล็งไปยังลำคอของเด็กหนุ่ม หมายเอาชีวิตโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็เพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
แต่มู่เฟิงก็สามารถเคลื่อนกายหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว และในขณะที่เขาก้าวถอยหลังไปนั้น มือข้างหนึ่งของเขาก็กระชับกระบี่เอาไว้มั่น ก่อนจะตวัดกระบี่ออกมาในทันที
พลังปราณจากเส้นโลหิติญญาทั้งสิบสองจุดในร่างกายของเด็กหนุ่มได้หลั่งไหลเข้าสู่กระบี่เล่มนั้น เป็ผลให้ตัวกระบี่เปล่งแสงสีขาวออกมาขณะที่เขากำลังโจมตี
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มสามารถหลบหลีกวิถีดาบของตัวเองได้ ชายผู้นั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบร้อนยกดาบขึ้นเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่าย
แต่ฉับพลันนั้นสีหน้าของเขากลับต้องเปลี่ยนไป
แกร๊ง…!
ดาบโลหะในมือของเขาเริ่มส่งเสียงปริแตก ก่อนจะปรากฏรอยร้าวขึ้นและแตกหักลงในที่สุด แน่นอนว่าการะเิพลังของมู่เฟิงนั้นรุนแรงเกินว่าที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้าจะสามารถรับมือได้
ฉัวะ!
กระบี่เล่มนั้นพุ่งตัดศีรษะของเขาโดยตรง ทั้งคนและดาบถูกตัดขาดออกเป็สองส่วน เืสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาทันที บริเวณโดยรอบต่างเปรอะไปด้วยโลหิตอย่างรวดเร็ว
“อะ อะไรกัน!”
กลุ่มคนทั้งสี่ของหวังลิ่วผิงและจ้าวเชินต่างจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง กระทั่งดวงตาคู่สวยของเสี่ยวถิงยังเบิกกว้างด้วยความใ ปากแดงสวยของเธอเผยอออกมาเล็กน้อย
อีกด้านหนึ่ง มู่ขวงได้พุ่งปะทะกับดาบของคู่ต่อสู้โดยตรง ด้วยพละกำลังมหาศาลของเขา ทำให้อีกฝ่ายต้องก้าวถอยไปด้านหลัง แขนและขาของชายผู้นั้นถึงกับชาหนึบ แต่มู่ขวงยังไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้พุ่งทะยานเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะฟาดดาบลงไปอย่างต่อเนื่อง
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
ดาบที่ฟาดฟันลงมาอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ง่ามนิ้วที่จับดาบของชายผู้นั้นพลันสั่นเทาและชาหนึบ เมื่อง่ามนิ้วเปิดออก ดาบในมือก็กระเด็นตกลงบนพื้นในทันที เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ พละกำลังของอีกฝ่ายนั้นแกร่งกล้าราวกับสัตว์อสูร
ฉัวะ!
มู่ขวงฉวยโอกาสนี้ฟันดาบออกไปอีกครั้ง ในเสี้ยววินาทีนั้นเด็กหนุ่มไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายเป็มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็เพียงสัตว์อสูรที่เขาล่าสังหารในป่าเท่านั้น
“ไม่…!”
รูม่านตาของชายผู้นั้นหดเล็กลง จากนั้นเขาก็รับรู้ได้เพียงััอันเย็นะเืบริเวณลำคอ และโลกที่เริ่มหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว ฉับพลันนั้นสายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างไร้ศีรษะร่างหนึ่งที่กำลังนอนกองอยู่บนพื้น พร้อมกับเืที่พุ่งกระฉูดออกมา
‘ร่างของคนผู้นั้นช่างดูคุ้นตายิ่งนัก’
นี่เป็ความคิดสุดท้ายที่แวบเข้ามาในหัวของเขา ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
ศีรษะของชายผู้นั้นกลิ้งตกลงบนพื้น โดยที่เืของเขายังสาดกระเซ็นไปบนร่างของมู่ขวง
เกรงว่าหากเป็มู่ขวงคนก่อนคงไม่สามารถะเิพลังเช่นนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน แต่หลังจากที่เขาเริ่มฝึกกายาตามวิธีของเคล็ดวิชาชูร่า ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเป็อย่างมาก
ใบหน้าของมู่ขวงซีดลงเล็กน้อย เนื่องจากครั้งนี้เป็การสังหารครั้งที่สองของเขา เด็กหนุ่มจึงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก
มู่เฟิงสะบัดเืที่เปื้อนบนตัวกระบี่ออก จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้าอย่างเฉยเมย ดวงตาของเขาดูสงบนิ่งจนน่ากลัว ราวกับการสังหารคนนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อเขาเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้บนตัวของเขายังมีรังสีสังหารอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา
เมื่อได้เห็นดังนั้นหัวใจของทุกคนก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ความรู้สึกเฉยเมยต่อความตายเช่นนี้ กระทั่งพวกเขาก็ยังไม่เคยไปถึงจุดนั้นมาก่อน นอกจากนี้การจะมีกลิ่นอายสังหารเช่นนี้ได้ ย่อมต้องเคยผ่านการสังหารมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว
เด็กคนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ใครหลายคนต่างก็มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวอย่างไม่อาจห้ามได้
คนหนึ่งสามารถสังหารศัตรูได้ในกระบี่เดียว ส่วนอีกคนก็ฟาดฟันดาบออกมาอย่างบ้าคลั่ง และสังหารศัตรูได้ในท้ายที่สุด เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบราวกับถูกสะกด
ในความเป็จริงชายสองคนนั้นก็สมควรตายอยู่แล้ว เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็เพียงแค่เด็กหนุ่ม ดังนั้นในตอนแรกเริ่มพวกเขาจึงลงมือด้วยความประมาท หากพวกเขาตั้งใจมากกว่านี้คงไม่ถูกสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้
“ว้าว เด็กหนุ่มสองคนนั้นช่างน่าทึ่งนัก...”
ชายหนุ่มนามว่าต้าหู อุทานออกมาด้วยความใ
จ้าวเชินตระหนักได้ทันทีว่าเขาไม่สามารถมองข้ามเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นได้ โดยเฉพาะมู่เฟิง ความเฉยเมยต่อการสังหารเช่นนี้ กระทั่งตัวเขาก็ยังเทียบไม่ได้
ส่วนทางด้านหวังลิ่วผิงนั้นทั้งใทั้งโมโห ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียดในทันที เขาจ้องมองไปยังร่างไร้ิญญาอันน่าหดหู่ของลูกสมุนทั้งสอง ก่อนจะหันกลับมาทางเด็กหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง “เ้าเด็กบัดซบ วันนี้เ้าอย่าได้คิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากเทือกเขาอันหนานนี้ได้อีกเลย”
ในขณะที่กล่าวคำเหล่านี้ เขาก็ชักกระบี่พุ่งตรงเข้าหาเด็กหนุ่มทั้งสอง เตรียมที่จะลงมือในทันที
วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นหก ดังนั้นต่อให้เขาต้องลงมือสังหารเด็กหนุ่มที่มีวรยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้าสักสี่ห้าคนก็ไม่มีปัญหา
“หวังลิ่วผิง เ้าคิดจะจัดการกับเด็กหนุ่มสองคนนั้นอย่างนั้นรึ อย่าได้ลืมว่ายังมีพวกข้าอยู่!”
ฉับพลันนั้นจ้าวเชินได้กล่าวออกมาอย่างเ็า ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวในทันที
“ถูกต้อง เ้าอย่าได้ลืมว่ายังมีพวกข้า”
ทันใดนั้นคนของกลุ่มหมาป่าอีกสองคนก็กล่าวขึ้นอย่างเ็า มู่เฟิงและมู่ขวงได้เข้ามาช่วยเหลือพวกเขา ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เด็กหนุ่มทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับหวังลิ่วผิงเพียงลำพังอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของหวังลิ่วผิงพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม เขาจ้องมองคนสองกลุ่มจากทั้งสองฝั่ง จริงด้วยฝั่งนี้ยังมีจ้าวเชินที่วรยุทธ์ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเท่าไรนัก นอกจากนี้ข้างกายอีกฝ่ายยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายอีกสองคน
“ให้ตายเถอะ วันนี้ต้องเสียคนตายเปล่าถึงสองคนเชียวรึ!”
หวังลิ่วผิงพลันกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ภายในใจเริ่มมีความคิดที่จะถอยกลับ
“ทุกคนไม่จำเป็ต้องลงมือแล้ว!”