แรกเริ่มการแต่งงานของเจียงอวี๋ซื่อและใต้เท้าเจียงนั้นไม่ได้เริ่มจากความชอบพอกันของทั้งสองฝ่าย เนื่องมาจากเกี่ยวพันกับเื่ของฐานะของสกุลอวี๋ที่สูงเกินไป ในมือมีอำนาจทางทหาร อีกทั้งไท่จื่อเฟย[1]ยังถือกำเนิดจากสกุลอวี๋ ในฐานะของบุตรสาวอีกคนหนึ่ง นางจึงได้แต่ออกเรือนไปกับชายหนุ่มที่ด้อยฐานะกว่า ครั้งนั้นมารดากลัวว่านางจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจึงได้ให้เงินมาเป็จำนวนมากมายเป็การส่วนตัว ครั้งนั้นสิ่งพี่สาวได้ชดเชยให้นางถือว่ามีไม่น้อย ดังนั้นต่อให้ตำแหน่งขุนนางของสามีจะไม่สูง แต่ทว่าชีวิตในสกุลเจียงก็ถือว่าดียิ่ง
นางอายุขนาดนี้แล้ว ชีวิตที่ผ่านมาแล้วก็ถือว่าผ่านไป แต่บุตรสาวของนางมีรูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้...เจียงอวี๋ซื่อมักจะคิดว่าบุตรสาวของนางควรจะมีสิ่งที่ดีที่สุด นางไม่ได้รักความร่ำรวยรังเกียจความยากจน แต่นางรู้สึกว่าบุตรสาวของนางดีเหลือเกิน ต่อให้ต้องแต่งกับไท่จื่อก็ไม่เกินไปนัก
ทันใดนั้น เจียงอวี๋ซื่อก็ใจนสะดุ้ง นางกำลังคิดสิ่งใดอยู่? นางยังไม่ลืมเื่ของคนผู้นั้นอีกหรือไร? นางก้มหน้าลงมองบุตรสาวของตนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้าตน “เ้าเคยคิดหรือไม่ว่า...เคยคิดหรือไม่ว่าจะแต่งออกไปกับคนที่ดีกว่านี้?”
“ไม่ขอลาภยศเงินทอง ขอเพียงสามีภรรยารักใคร่ลึกซึ้งเ้าค่ะ” เจียงซูเอ๋อร์ตอบ
“ช่างเถิด ข้าจะไปคุยกับท่านยายดู”
หยวนโม่มาหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้ในห้องหนังสือให้หลี่ลั่ว หมึกและกระดาษนั้นใช้ไปพอสมควรแล้ว เสี่ยวโหวเหฺยให้นางเลือกซื้อพู่กันที่มีขนละเอียดที่สุด ขณะที่นางกำลังจะหยิบพู่กันด้ามหนึ่งนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาเบื้องหน้านาง หยิบพู่กันด้ามนั้นไป หยวนโม่ยังคิดอยู่เลยว่ามือของคนผู้นี้ไฉนจึงขาวเช่นนี้ ผิวนั้นราวกับสามารถคั้นน้ำออกมาได้
ผิวดีเหลือเกิน หยวนโม่คิดเช่นนี้ จากนั้นจึงหันกลับมามองอีกฝ่าย
อีกฝ่ายดึงผ้าโปร่งลงมา มองหยวนโม่ยิ้มๆ “แม่นางหยวน”
รอยยิ้มนี้ช่างดึงดูดให้ผู้คนหลงใหลยิ่งนัก แต่น้ำเสียงที่เรียกแม่นางหยวนทำให้หยวนโม่รู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที “เ้าเป็ใคร?” แม่นางที่มีรูปโฉมงดงามเพียงนี้ หากเคยพบกันมาก่อนนางย่อมจำได้ แต่ในความทรงจำตลอดสิบสี่ปีของนางไม่มีคนผู้นี้
แต่ทว่า หยวนโม่เป็หญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวเช่นกัน และจากเื่ราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ นางพลันคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา “คุณหนูเจียงหรือ?”
เจียงซูเอ๋อร์ตกตะลึง คาดไม่ถึงเล็กน้อยที่หยวนโม่กลับรู้ว่านางเป็ใคร ทว่ากลับยิ้มให้อย่างเป็กันเอง “เป็ข้าเอง แม่นางหยวนพอจะมีเวลาดื่มน้ำชากับข้าสักครู่หรือไม่?”
หยวนโม่ไม่รู้ว่าหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาหาตนด้วยเื่ใด คิดแล้วน่าจะเป็เื่เกี่ยวกับหลี่ฉางเฉิง หากว่านางปฏิเสธ ก็คือนางยอมแพ้ นางจะให้หลี่ฉางเฉิงและหลี่ลั่วเสียหน้าไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยอย่างใจกว้าง “เสี่ยวโหวเหฺยรอให้ข้ากลับไป ดังนั้นจึงมีเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา”
“ช่างเป็บ่าวที่ไร้มารยาท อยู่ต่อหน้าคุณหนูของข้ายังกล้าแทนตนเองว่าข้า” สาวใช้ของเจียงซูเอ๋อร์พูดขึ้น สาวใช้ผู้นั้นสวมอาภรณ์สีชมพูทั้งชุด ดูๆ ไปแล้วก็น่าจะไม่ใช่คนปากคอเราะร้ายอะไร แต่เมื่อพูดจาออกมาไฉนจึงไม่น่าฟังเช่นนี้
หยวนโม่ติดตามหลี่ลั่วมาเป็เวลาห้าเดือน คำพูดพฤติกรรมนั้นเรียนรู้จากหลี่ลั่วมาสามส่วน ข้อแรก ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสิ่งใด ไม่ว่าตนจะเป็ฝ่ายได้เปรียบหรือไม่ รอยยิ้มยังคงต้องประดับอยู่บนใบหน้า ข้อสอง เวลาพูดจาห้ามพูดเร็วเกินไป และช้าเกินไป แต่ละคำแต่ละประโยคต้องพูดให้ชัดเจน ข้อสาม เป็คนต้องไม่ต่ำต้อยจนเกินไป นางเป็ตัวแทนของจวนโหว เสี่ยวเหฺยคือว่าที่พระชายาฉีอ๋อง
ดังนั้นหยวนโม่จึงยังคงมีรอยยิ้ม “สาวใช้ผู้นี้กล่าวได้ถูกต้อง แม้ว่าจะเป็บ่าว แต่นายท่านของข้าคือเสี่ยวโหวเหฺยที่ฝ่าาพระราชบรรดาศักดิ์ด้วยองค์เอง เป็ถึงจงหย่งโหวขั้นหนึ่ง ต่อให้มีคนอยากเป็นายของข้า ก็ต้องให้โหวเหฺยของข้าอนุญาตจึงจะถูกต้อง”
“เ้า...” สาวใช้ผู้นั้นหน้าคว่ำ กลืนคำพูดที่จะพูดออกมา
คำพูดที่ว่าอีกฝ่ายนั้นรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ สาวใช้รุ่นใหญ่ของโหวเหฺยขั้นหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ใดอยากจะตบหน้าก็ทำได้ และยิ่งไปกว่านั้นข้างหลังของหลี่ลั่วยังมีฉีอ๋องอยู่
ดูถูกหยวนโม่ก็คือตบหน้าของหลี่ลั่ว ตบหน้าหลี่ลั่วก็คือไม่ให้หน้าฉีอ๋อง
“แม่นางหยวนอย่าเพิ่งโมโห สาวใช้ไร้มารยาท มารยาทนั้นย่อมต้องมี ต้องขออภัยแล้ว” เจียงซูเอ๋อร์กล่าว “แม่นางวางใจ เวลาหนึ่งถ้วยชาเพียงพอให้พวกเราได้คุยกันแล้ว”
หยวนโม่พยักหน้า มารยาทย่อมต้องมี? นี่กำลังพูดว่าตนมารยาทไม่ดีใช่หรือไม่? หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ด่าคนล้วนไม่มีคำหยาบ แต่นางรู้ได้อย่างไรว่าตนอยู่ที่นี่ หรือเป็เพียงความบังเอิญเท่านั้น?
ใต้หล้านี้จะมีเื่บังเอิญมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร และเหตุใดเป็ภายหลังจากที่ท่านพี่ฉางเฉิงได้ปฏิเสธการแต่งงานของพวกเขา?
สถานที่ที่เจียงซูเอ๋อร์นัดกับหยวนโม่มาดื่มน้ำชาคือหอชมจันทร์ เมื่อมาถึงหน้าประตูหอชมจันทร์ เจียงซูเอ๋อร์ก็กล่าวว่า “หอชมจันทร์มีของว่างหลายอย่าง มีชื่อเสียงมาก แม่นางหยวนชอบอาหารว่างจานใดหรือ?”
หยวนโม่พูดเรียบๆ “ในยามปกติข้านั้นดูแลปรนนิบัติโหวเหฺยอยู่แต่ในห้องหนังสือ น้อยยิ่งนักที่จะออกมาข้างนอก ข้าไม่เคยมาหอชมจันทร์มาก่อน วันนี้ได้อาศัยบารมีของคุณหนูเจียงแล้ว”
“ฮึ” สาวใช้ของเจียงซูเอ๋อร์แค่นเสียงเ็า แล้วพูดจากระซิบว่าตนเองทำราวกับมีความสามารถ เสียงของนางฟังแล้วเบา แต่ยังอยู่ในระดับที่หยวนโม่ได้ยิน
แต่หยวนโม่แกล้งโง่ทำเป็ไม่ได้ยินก็พอแล้ว
“แม่นางหยวนยามปกติชอบอ่านหนังสืออะไรหรือ?” หยุดไปครู่หนึ่ง เจียงซูเอ๋อร์ก็พูดถึงตนเอง “ยามปกติข้าชอบอ่านหนังสือเช่นกัน ในเรือนมีหนังสือมากมาย หากแม่นางหยวนสนใจ ข้าจะให้คนส่งหนังสือหลายเล่มไปที่จวน”
“ขอบคุณคุณหนูเจียง” จะแข่งเื่หนังสือหรือ? หนังสือเรือนผู้ใดจะมีมากเท่าหนังสือโหวเหฺยของนาง แม้ร้อยละเก้าสิบจะเป็หนังสือแพทย์ แต่หนังสือประวัติศาสตร์ บทกวี ผจญภัย เหล่านี้ล้วนมีไม่น้อย ทั้งเรือนเต็มไปด้วยหนังสือ โหวเหฺยดูเหมือนจะอ่านหมดแล้ว เจียงซูเอ๋อร์อยากจะใช้หนังสือมาทำให้นางเสียหน้า ช่างดูถูกนางเกินไปแล้ว ในฐานะที่เป็สาวใช้คนหนึ่งที่ถูกคัดเลือกให้เป็สาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายเสี่ยวโหวเหฺย หากไม่มีความสามารถติดตัวอยู่บ้าง จะไม่ถูกเปลี่ยนลงมาได้อย่างไร? “ห้องหนังสือของโหวเหฺยในยามปกติให้พวกเราอ่านอย่างอิสระ คุณหนูเจียงคงไม่เคยเห็นมาก่อน ห้องหนังสือของโหวเหฺยมีตู้หนังสือทั้งหมดหกตู้ แต่ละตู้มีหนังสือหกแถว แต่ละแถววางหนังสือสิบกว่าเล่ม รวมแล้วประมาณสี่ร้อยเล่ม ดังนั้นในยามปกติข้าจึงอ่านไม่ทันอยู่แล้ว”
ทั้งสองคนเข้าไปในห้องส่วนตัวของหอชมจันทร์ เสี่ยวเอ้อร์ยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ
เจียงซูเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของหยวนโม่ทำให้รู้สึกประหลาดใจยิ่ง “เสี่ยวโหวเหฺยเพิ่งจะห้าขวบเองมิใช่หรือ หนังสือสี่ร้อยเล่ม? นี่...เขาอ่านหมดหรือไม่? เกรงว่าจะไม่รู้จักตัวหนังสือเสียละกระมัง?” ต่อให้เป็ห้องหนังสือของบิดานางก็มีหนังสือไม่ถึงสี่ร้อยเล่มหรอกนะ?
“ดูเหมือนเสี่ยวโหวเหฺยอ่านหมดแล้วนะ” หยวนโม่ไม่ได้เล่าอย่างละเอียด
เจียงซูเอ๋อร์ย่อมไม่เชื่อคำพูดของนาง เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง หนังสือสี่ร้อยเล่มอ่านหมดแล้ว? นี่ไม่ใช่หลอกคนหรือไร? พูดจาโกหกก็ไม่ใช่แบบนี้ แต่เจียงซูเอ๋อร์ไม่ได้ถามต่อในเื่นี้ แต่กำลังจะกล่าวถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ “แม่นางหยวน เ้าและข้าต่างไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน วันนี้เป็ครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน ข้าคิดว่าเ้าเข้าใจถึงการมาของข้า ข้าชมชอบท่านพี่ฉางเฉิง ข้าอยากแต่งให้เขา”
หัวใจหยวนโม่พลันบีบรัด เมื่อสักครู่ที่นางคาดเดานั้นไม่ได้ตื่นเต้นอันใด แต่เมื่อเจียงซูเอ๋อร์พูดอธิบายอย่างกระจ่างแจ้งถึงการมาของตน นางกลับเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา
มือของหยวนโม่ที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่น นาง้าให้ตัวเองสงบนิ่ง ท่านพี่ฉางเฉิงเป็ชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง ย่อมมีแม่นางหมายปอง หยวนโม่คิดว่าตนเองสมควรที่จะภาคภูมิใจ “คำพูดเหล่านี้ คุณหนูเจียงไม่ควรมาพูดกับข้า”
เจียงซูเอ๋อร์คอยสังเกตหยวนโม่ตลอดเวลา นางเห็นสีหน้าของหยวนโม่ซีดขาวกว่าเมื่อสักครู่หลายส่วน “ข้าไม่จำเป็ต้องมาพูดกับเ้าหรอก ข้าสามารถไปขอให้ท่านตาของข้าออกหน้า หรือขอให้ฉีอ๋องออกหน้าให้ก็ย่อมได้ แต่ข้าอยากให้เกียรติเ้า แม่นางหยวนเป็หญิงสาวที่ดี แต่เ้าไม่เหมาะสมกับท่านพี่ฉางเฉิง ั้แ่โบราณมาฐานะและตำแหน่งที่แตกต่าง ยากนักที่จะมีความสุขร่วมกันได้ ท่านพี่ฉางเฉิงมีภาระของตนเอง การเป็องครักษ์ข้างกายเสี่ยวโหวเหฺยย่อมมิใช่สิ่งที่เขา้า หากพวกเราแต่งงานกัน ครอบครัวมารดาของข้าจะช่วยเหลือเขาได้มาก แล้วเ้าเล่า? อยู่กับเ้า เขาต้องเป็สามีของสาวใช้ องครักษ์ของจงหย่งโหวตลอดไป”
มือของหยวนโม่ที่กำเป็หมัดแน่นนั้นสั่นสะท้าน แต่น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง “หากท่านพี่ฉางเฉิงเลือกคุณหนูเจียง ข้าย่อมไม่อาจเอื้อม หากท่านพี่ฉางเฉิงไม่ทอดทิ้งข้า ข้าย่อมไม่มีวันทิ้งเขาหรือจากไปไหนตลอดไปเช่นกัน คุณหนูเจียงอาจจะคิดว่าสาวใช้เป็ความอับอายอย่างหนึ่ง แต่หากไม่มีสาวใช้ที่อยู่ข้างกายท่าน ไฉนเลยจะปรากฏให้เห็นคุณหนูที่สูงส่งเช่นท่านได้?”
“เ้า...ปากคอเ้าช่างร้ายกาจนัก” เจียงซูเอ๋อร์กล่าว
“คุณหนูเจียงเคยถามท่านพี่ฉางเฉิงหรือไม่ ว่าการเป็องครักษ์ข้างกายเสี่ยวโหวเหฺยทำให้เขาน้อยเนื้อต่ำใจหรือไร?” หยวนโม่ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ขอเพียงเอ่ยถึงนายท่านของตน ราวกับได้รับพลังชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ตนเข้มแข็งขึ้นมาได้ “พวกเราเป็บ่าวรับใช้ข้างกายนายท่าน ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากนายท่าน เป็นายท่านที่ทำให้พวกเรารู้ว่าอะไรคือความเคารพนับถือ และเป็นายท่านอีกเช่นกันที่ทำให้พวกเรารู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นไม่จำเป็ต้องทำตัวต่ำต้อย เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นจึงจะเป็นายท่านของพวกเรา”
พูดถึงตรงนี้ หยวนโม่ค่อยๆ มีความมั่นใจขึ้นมา น้ำเสียงของนางมั่นใจขึ้น “คุณหนูเจียงอาจะคิดว่านายท่านของพวกเราเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง แต่เขาเป็บุตรชายของจงหย่งโหว จงหย่งโหวสละชีพเพื่อแผ่นดิน ได้ปรนนิบัติบุตรชายของเขา เป็เกียรติของพวกเรายิ่งนัก” ต่อมาหยวนโม่ก็ลุกขึ้น “ทุกคนล้วนมีชาติกำเนิดของตนเอง ข้ามีชาติกำเนิดไม่ดี เป็บ่าวรับใช้ข้าไม่เคยกล่าวโทษผู้ใด สามารถมีนายท่านเช่นนี้ได้ สามารถได้รับความรักลึกซึ้งจากท่านพี่ฉางเฉิง ข้าดีใจอย่างยิ่ง ในเมื่อ...เขาปฏิเสธท่านเพราะข้า” จากนั้นหยวนโม่ก็หันกายเดินจากไป
เมื่อออกมาจากหอชมจันทร์ ขาทั้งคู่ของหยวนโม่พลันเริ่มสั่นขึ้นมา นางตื่นเต้นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันหยวนโม่ก็รู้สึกเสียใจ คำพูดท่าทางของนางเมื่อสักครู่ไม่มีมารยาทหรือไม่ จะทำให้ท่านพี่ฉางเฉิงและเสี่ยวโหวเหฺยต้องเดือดร้อนหรือไม่? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หยวนโม่ก็เริ่มหนักใจขึ้นมาเสียแล้ว
ณ จวนจงหย่งโหว
หลี่ลั่วเห็นหยวนโม่กลับมาแล้วจึงรีบกวักมือเรียก “เร็ว มาเตรียมตัวเร็วเข้า ข้า้าแต่งเพลง” ผิงอันและลวี่ผิงปรนนิบัติอยู่ข้างกาย เหนียนหงทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างๆ ซินเป๋ากำลังบีบนวดให้หลี่ลั่ว มองไม่เห็นเงาของหลี่ฉางเฉิง ทุกวันหลี่ฉางเฉิงจะนำองครักษ์ตระเวนตรวจรอบจวนโหวครั้งหนึ่ง ดูว่าที่ใดมีปัญหา หรือว่ากำแพงด้านใดต้องซ่อมแซม จากนั้นทุกวันต้องนำองครักษ์ฝึกยุทธ์เป็เวลาหนึ่งชั่วยาม องครักษ์สองชุดสลับกัน
“หา...เ้าค่ะ” ปฏิกิริยาของหยวนโม่ไม่ว่องไวเหมือนยามปกติ คนก็ดูแล้วมีความตระหนกกังวล สีหน้าไม่ค่อยดีเช่นกัน
หลี่ลั่วหรี่ตาลง “เกิดอันใดขึ้น? วันนี้ออกไปข้างนอกเกิดเื่อันใดขึ้นหรือไม่?”
หยวนโม่ได้ยินหลี่ลั่วถาม ขาทั้งสองอ่อนแรงทันใดทรุดลงไปคุกเข่า “เสี่ยวโหวเหฺย บ่าวอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้ท่านแล้วเ้าค่ะ”
หลี่ลั่วตกตะลึง จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “ขอเพียงเ้าไม่ได้ทำผิด ข้าไม่กลัวความยุ่งยาก” นี่คือความกล้าหาญที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะมี หลี่ลั่วคิดว่าตนเป็ผู้ชายที่กล้าหาญเช่นกัน เขาไม่มีวันปล่อยให้คนรอบกายที่ถูกรังแกมาแล้วยังต้องแอบต้องซ่อนต่อตนเองเด็ดขาด “มาที่ห้องหนังสือ พวกเ้าออกไปเถิด”
“เ้าค่ะ”
[1] ไท่จื่อเฟย (太子妃) หมายถึง พระชายาเอกขององค์รัชทายาท