ทันทีที่ปราณัแทรกซึมเข้ามาทำให้เกิดความรู้สึกที่เหมือนมีเปลวไฟพุ่งเข้ามาด้วยมันเป็ความเจ็บที่เหมือนกับว่าร่างกายกำลังจะติดไฟและปวดร้าวจนสุดขั้วหัวใจ
“อดทนไว้!”
ปู้เสวียนยินมองมาด้วยสายตาที่งดงามพร้อมกับพลังิญญาที่แผ่ออกจากมืออย่างต่อเนื่อง“ไม่ว่าผลของมันจะดีหรือเลวอย่างไรข้าก็จะอยู่เคียงข้างเ้าเสมอ”
ข้ากัดฟันแน่น และพยายามให้ตัวเองรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
ไม่รู้เหมือนว่าข้าพยายามต่อสู้กับการไม่ให้ตัวเองสลบไปนานแค่ไหนพลังลมปราณในร่างกายก็ไหลเวียนอย่างวุ่นวายและร้อนระอุ ก่อนจะทะลวงไปยังจุดต่างๆของร่างกายแต่สิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกดีใจเพราะเส้นทางที่มันกำลังไหลไปเป็เส้นทางของปราณิญญานั่นเอง
ปราณิญญาที่เคยเหือดแห้งบัดนี้กลับมาชุ่มชื่นด้วยพลังิญญาอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควรจึงพบว่าพลังิญญาจากกระจกเพลิงทิวากรของพี่เสวียนยินเริ่มอ่อนแรงลงตามพลังภายในร่างกายที่ค่อยๆลดลงไปจนเกือบจะหมด
ปราณิญญาเส้นใหม่ค่อยๆเย็นลงจนข้ารับรู้ได้ถึงความแปลกใหม่
“เป็ไงบ้าง...เ้าลองให้พลังิญญาไหลเข้าไปในปราณิญญาดูสักหน่อยสิ” นางพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
ข้าพยายามลุกขึ้นนั่งแล้วกำหมัดแน่นก่อนจะค่อยๆเคลื่อนพลัง เพียงชั่วพริบตา พลังิญญาสีครามก็ไหลจากเส้นปราณใหญ่ในท่อนแขนไปยังจุดประภพิญญาตรงฝ่ามือแล้วพุ่งออกมาเป็แสงส่องสว่าง ปราณิญญาของข้ากลับมาแล้ว!
พอเห็นแบบนี้สมองของข้าก็เบลอไปชั่วขณะจากการดีใจจนแทบจะร้องไห้
พี่เสวียนยินถึงกับนั่งซบไหล่ของข้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหมดแรงน้ำตาของนางไหลอาบแก้มทั้งสองข้างจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นตรงไหล่
ข้ากอดนางไว้แน่นพร้อมกับหัวใจที่สั่นไม่เป็จังหวะ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา “ขอบคุณท่านมากขอบคุณท่านมากจริงๆ...”
นางอ้าเรียวแขนขาวขึ้นโอบของข้าโดยไม่พูดอะไร เืสีแดงสดไหลซึมออกจากาแลงมายังไหล่ของข้าจนกลายเป็สีเืเหมือนว่าหลังจากที่นางช่วยสลายเส้นลมปราณของัสภาพาแของนางจึงสาหัสมากกว่าเดิม
“พี่เสวียนยิน าแของท่าน...”
“ไม่เป็ไรหรอก” นางส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ขอแค่ปราณิญญาของเ้ากลับคืนมาก็ดีที่สุดแล้วแม้ว่าลมปราณเส้นนั้นก็ไม่ใช่ของมนุษย์ก็ตาม แล้วตอนนี้เ้ารู้สึกอย่างไรบ้างรู้สึกขัดอะไรบ้างหรือเปล่า?”
ข้าลองขยับแขนดูก่อนจะพูดขึ้น “ก็ไม่เห็นจะมีอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” นางเผยรอยยิ้มเล็กๆก่อนจะพูดต่อ “ร่างกายของเด็กอย่างเ้านี่ดีจริงๆนึกไม่ถึงว่าจะไม่มีการต่อต้านปราณัเลยสักนิดต้องเป็ผลมาจากสภาพจิตใจที่สงบและกว้างขวางของเ้าแน่นอน”
ข้าดูิัของตัวเองที่ถูกพลังของกระจกเพลิงทิวากรแผดเผาจนเกิดรอยดำก่อนจะพูดขึ้น “่สองสามวันนี้ข้าจะลอกคราบหรือเปล่าเนี่ย?”
นางยิ้มแล้วตอบกลับ “ลอกคราบยังถือว่าน้อยไปรีบไปอาบน้ำเถอะเนื้อตัวของเข้าทั้งดำและยังส่งกลิ่นออกมาเหมือนกับจักจั่นทอดไม่มีผิด”
“...”
…
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เห็นเริ่มค่ำแล้ว “พี่เสวียนยินเดี๋ยวข้าจะกลับไปเอาปลาเค็มมาทำซุปให้ท่านกินเพื่อสมานแผลท่านก็บอกให้พี่สวี่ลู่ทำอาหารเพิ่มอีกสักสองสามอย่างแล้วคืนนี้ข้าจะนอนที่นี่แหละ”
“อืม รีบไปรีบกลับ”
“ตกลง!”
พอออกมาด้านนอก ลมในฤดูใบไม้ร่วงก็พัดผ่านอย่างเย็นสบายทำให้รับรู้ถึงพลังิญญาที่มันเพิ่มขึ้นในร่างกายอย่างล้นหลามแถมยังมีมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัวแม้ว่าเส้นลมปราณของัจะทดแทนปราณิญญาขั้น์ของข้าได้ไม่ดีนักแต่ก็ทำให้พลังเพิ่มขึ้นถึงครึ่งหนึ่งของเมื่อก่อนและเมื่อบวกกับพลังิญญาจากปราณ์ขั้นที่สี่ของเคล็ดวิชาาและวิชาลมหายใจัขั้นที่เจ็ดแล้วพลังทั้งหมดของข้าก็เหมือนกับจะกลับมาเกือบเท่ากับเมื่อครั้งที่ยังไม่ถูกทำลายปราณิญญาหรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ!
เพราะมีเื่ดีจึงทำให้คนมีชีวิตชีวาข้าวิ่งกลับมาเอาปลาเค็มที่ยังโรงเกลากระบี่และรีบกลับไปหาพี่เสวียนยินอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยข้าลงมือล้างปลาแล้วทำซุปเอง ส่วนพี่เสวียนยินกับพี่สวี่ลู่ช่วยกันผัดผักทำให้ที่พักหลังเล็กๆ ของนางมีบรรยากาศเหมือนครอบครัว สวี่ลู่เป็ผู้ช่วยของเ้าสำนักซึ่งบ้านเกิดของนางไม่ได้อยู่แถวนี้จึงต้องอยู่ตัวคนเดียวบางทีการได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกข้าอาจจะทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นได้บ้าง
หลังจากผ่านไปกว่าสองชั่วโมงอาหารรสล้ำเลิศแต่ละอย่างก็ถูกนำมาวางอยู่บนโต๊ะ แม้ว่าจะเป็ซุปปลาเค็มแต่ก็ยังอร่อยอยู่ดี เพราะปลาหลีฮื้อหลงหลิงชนิดนี้เป็ปลาหายากที่คนทั่วไปไม่มีทางได้กิน
ข้าตักเนื้อปลาเต็มชามก่อนจะยื่นให้พี่เสวียนยิน “ท่านกินเยอะๆเลยนะพี่เสวียนยิน เพราะปลาชนิดนี้มีสรรพคุณในการสมานแผลตอนที่ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาาแล้วมีาแเกิดขึ้นภายในร่างกายก็ได้นี่แหละช่วยสมานแผลให้”
“อืมๆ” นางพยักหน้ารับก่อนจะตักเนื้อปลาขึ้นลองชิมแล้วพูดต่อ “อร่อยมากดูเหมือนว่าเสี่ยวเชวียนของข้าจะทำอาหารเก่งขึ้นทุกวันแล้วนะเนี่ย”
ข้ายิ้มรับก่อนจะบอกไป “ก็ข้าทำตั้งหลายครั้งแล้วฝีมือก็ต้องพัฒนาเป็ธรรมดา”
สวี่ลู่ที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “เ้ารู้หรือเปล่าว่าการที่พี่สาวของเ้าใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อไปสังหารสัตว์ิญญาระดับเก้าหมายถึงอะไร?”
“ข้ารู้...”
สวี่ลู่พูดขึ้นมาด้วยแววตาที่แดงก่ำ “ตอนที่นางกลับมาเนื้อตัวเต็มไปด้วยเืขนาดที่ว่าชุดเทพศาสตรายังแดงเถือกไปหมด องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ต่างก็ใมากเพราะหลายปีมานี้ไม่เคยเห็นพี่เ้าได้รับาเ็เลยสักครั้งแต่ครั้งนี้กลับรุนแรงจนแขนของนางเป็แผลจากการถูกักัดเกือบทะลุ”
“อะแฮ่ม...สวี่ลู่อาหารเยอะขนาดนี้ยังอุดปากเ้าไม่ได้อีกหรือไง!” ปู้เสวียนยินมองไปที่นางตาขวาง
สวี่ลู่แอบยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าก็กำลังช่วยตามหาความยุติธรรมให้เ้าอยู่นี่ไงเสี่ยวเชวียนจะได้ไม่ต้องไปขลุกอยู่กับพวกซูเหยียนและสาวน้อยพวกนั้นจนลืมพี่สาวอย่างเ้าไปเสียก่อน”
ข้าได้ยินแล้วจึงพูดอย่างเขินอาย “ไม่ว่าจะอยู่กับใครพี่เสวียนยินของข้าก็ยังคงสำคัญเหมือนกันนั่นแหละเพียงแต่ตอนนี้ข้ายังอ่อนแอเกินไปจึงช่วยอะไรพี่เสวียนยินไม่ได้หรือถ้าช่วยได้คงเป็การหาเื่ให้นางมากกว่า”
“เ้าก็พูดไปเื่พวกนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด” ปู้เสวียนยินเม้มปากนิดๆก่อนจะพูดต่อ “เอาล่ะๆ รีบกินข้าวกินปลากันได้แล้วกินเสร็จเสี่ยวเชวียนจะได้ฝึกเคล็ดวิชาาต่อ คราวนี้น่าจะได้ผลแล้วล่ะ”
...
หลังจากกินข้าวอิ่มก็มานั่งอยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนอยู่คนเดียว
หลังจากเคลื่อนพลังไปได้เพียงแค่ครั้งเดียว ก็รู้สึกว่าตาทิพย์ของข้าจะ้าทำให้เห็นพลังิญญาที่กำลังไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งเหมือนสายน้ำที่เชี่ยวกรากแล้วพุ่งทลายกำแพงที่สกัดกั้นเอาไว้เมื่อครั้งก่อนชั่วพริบตาเดียวกระบี่นับไม่ถ้วนก็ผุดออกมาจากไอหมอกของลมปราณ และพุ่งออกไปทั่วสารทิศจนกำแพงถูกเจาะทะลุเป็รูพรุน
ขั้นสมบูรณ์ของเคล็ดวิชาาขั้นที่สี่แปดกระบี่สะท้านภพ!
คือขั้นที่ข้าไม่เคยฝึกฝนจนถึงมากก่อนแขนทั้งสองมีพลังมหาศาลไหลเวียนอยู่จนรู้สึกได้พลังของแปดกระบี่ร้างทำให้ภายในหน้าอกเกิดความรู้สึกที่อัดอั้นไปด้วยพลังและเสียงของทองกับหินกระทบกันอยู่ในนั้นเบาๆ วิชานี้จะฝึกฝนด้วยพลังของอาวุธั้แ่ไหนแต่ไรมาเื่ากับการฆ่าฟันด้วย ดาบและกระบี่คือสิ่งที่ทุกประเทศจะต้องเผชิญซึ่งวิชาแปดกระบี่ร้างจะมีการขัดเกลาเพื่อดึงพลังของกระบี่ที่ใช้ทำากระทั่งตัววิชาแข็งแกร่งถึงขีดสุด
ภาพจากตาทิพย์ทำให้ข้าเห็นการเกิดาในสมัยก่อนมีการคัดสรรผู้ที่จะมาเป็ทหารกันอย่างไรรวมถึงทำอย่างไรถึงทำให้การเพาะปลูกและขยายพันธุ์ดีขึ้นทำให้มีแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้
ข้าฝึกฝนหมัดสายฟ้าต่อ ทำให้รู้สึกถึงพลังที่แพรวพราวเหมือนใหม่และแข็งแรงกว่าเมื่อวานมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองพร้อมจะบรรลุไปยังระดับกลางของขั้นเทวิญญาแล้ว!
ข้าหยุดฝึกฝนเคล็ดวิชาาแต่หันมาฝึกวิชาลมหายใจัแทน ไม่นานร่างกายก็เหนื่อยล้าจนต้องพุ่งตัวไปบนเตียงแล้วหลับไป
...
วันต่อมาข้าล้างหน้าแปรงฟันแล้วรีบไปเข้าเรียนวิชาทฤษฎีในภาคเช้าที่มีการสอนเื่พื้นฐานและการใช้กระบวนท่าทลายิญญาซึ่งเป็หนึ่งในวรยุทธ์ิญญาของทางสำนัก
หลังจากที่เรียนจบในคาบแรกซูเหยียนก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับหน้าตาที่บ่งบอกถึงความสุขก่อนจะนั่งลงข้างๆแล้วพูดขึ้น “นี่เ้าคนกินจุเมื่อวานข้าเลื่อนไปถึงระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญาแล้วล่ะ!”
ข้าชะงักเล็กน้อยก่อนจะบอกไป “ดีเลย!ข้าเองก็ดีใจไม่แพ้เ้าหรอกนะ เพราะเมื่อวานข้าก็เพิ่งจะเข้าระดับกลางของขั้นเทวิญญาแล้วเหมือนกัน”
นางกระตุกยิ้มก่อนจะพูดต่อ “ทำไมเ้าถึงตามมาเร็วจังนะ”
“แบบนี้พวกเ้าจะได้เร่งตัวเองด้วยอย่างไรล่ะ!”
นางหรี่ตามองเหมือนค้นพบบางอย่างก่อนจะพูดขึ้น “ก็จริง...แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่างแต่ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
“คือการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลัง” ข้าบอกก่อนจะยิ้มอย่างภูมิใจแล้วพูดต่อ “นับจากวันนี้ไปถ้าพวกเราอยากจะประลองฝีมือกันเ้าก็สามารถใช้พลังทั้งหมดได้แล้วล่ะ!”
“จริงเหรอ?”
ข้าพูดต่อเสียงเบา “อืม...เมื่อวานพี่เสวียนยินเปลี่ยนเส้นลมปราณัให้ข้าเพื่อทดแทนเส้นปราณิญญาที่เสียไป จึงทำให้พลังของข้าฟื้นคืนกลับมาและเข้าขั้นสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนเลยล่ะ!”
“ปราณั?!” นางอ้าปากค้างก่อนจะพูดต่ออย่างไม่น่าเชื่อ “ไม่ใช่มั้ง...จะมีก็แต่สัตว์ิญญาระดับแปดขึ้นไปถึงจะมีปราณิญญาในตัวได้อีกอย่างปราณที่ว่าก็ไม่สามารถเก็บรักษาได้และจะต้องใช้มันภายในสามวันไม่อย่างนั้นจะเหือดแห้งไป หรือว่า...นางจะลงมือฆ่าสัตว์ิญญาตัวนั้นเองกับมือ?”
“อืม มันเป็สัตว์ิญญาระดับเก้าตัวหนึ่ง...”
“ระดับเก้า...” นางอึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “มีพี่สาวที่ทั้งเก่งและรักตัวเองแบบนี้ช่างดีชะมัด...”
ข้าได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้น “เ้าเองก็มีพ่ออย่างซูซีเฉิงที่คอยดูแลเหมือนไข่มุกในมือไม่ใช่หรือไง”
“เหมือนจะใช่ แต่ก็ไม่ใช่...”
นางพูดขึ้นลอยๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ช่างมันเถอะเลิกคุยเื่นี้ดีกว่า”
“อืม”
...
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วข้าก็กลับมาที่โรงเกลากระบี่ในขณะที่คาบเรียนของภาคบ่ายซึ่งเป็การเรียนนอกสถานที่กำลังจะเริ่มขึ้นซ้งเชียนกับจ้าวห้าวก็เดินเข้ามาพร้อมกับตำรากองโตที่เกี่ยวกับพวกปืนผาหน้าไม้เสียส่วนใหญ่เขาวางหนังสือลงก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปคล้ายกลัวว่าข้าจะเห็นอะไรเข้าแต่สุดท้ายข้าก็เห็นอยู่ดี ใบหน้าตาของเขาฟกช้ำดำเขียวทั้งแขนและต้นคอเต็มไปด้วยาแที่เกิดจากการถูกชกและใช้เท้าถีบทิ้งร่องรอยเอาไว้
“หยุดเดี๋ยวนี้ เสี่ยวเชียน!”
ข้าว่าแล้วถามขึ้นอย่างเดือดดาล “เ้าไปโดนอะไรมา!?”
“ไม่มีอะไร...”
เขาหยุดเดินแล้วพูดเหมือนไปทำอะไรผิดมา “ข้าก็แค่...ข้าก็แค่ประลองฝีมือกับคนอื่นแล้วก็แพ้เท่านั้นก็เลย...”
“จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” ข้าไม่มีทางเชื่อหรอกนะว่าคนที่ไม่เคยคิดชิงดีชิงเด่นกับใครอย่างเขาจะไปท้าประลองกับคนอื่น
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดอะไร
เห็นแบบนั้นข้าจึงหันไปถามจ้าวห้าวแทน “จ้าวห้าวถึงอย่างไรเ้าก็เป็เพื่อนกับเสี่ยวเชียน บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น!?”
เขากัดฟันแน่น “ซ้งเชียนไม่ให้ข้าบอก...”
“เขาไม่ให้เ้าบอกเ้าก็จะไม่บอกอย่างนั้นเหรอ? พูดมา!”
“เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนซ้งเชียนกินข้าวเสร็จแล้วกำลังจะกลับก็ถูกพวกจวงเหิงซิ่งเฉิ่นลั้งและหวินยู่ขวางเอาไว้บอกว่าสร้อยหินกระจกเมษานั่นไม่เหมาะกับคนอย่างซ้งเชียน เลยบอกให้ซ้งเชียนเอาไปให้เขาแต่ซ้งเชียนบอกว่าเป็ของสำคัญที่เ้ามอบให้ก็เลยไม่ยอมสุดท้ายจึงถูกสามคนนั้นซ้อมมาอย่างที่เห็น พอข้าไปถึงสามคนนั้นก็กลับไปหมดแล้วและถ้าจะไปหาเื่ตอนนี้...”
เขาขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ข้ายังมีโทษติดตัวอยู่จริงๆ จะช่วยออกหน้าแทนซ้งเชียนข้าก็ไม่กลัวแต่กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นก็จะถูกไล่ออกทันที...”
“เป็พวกจวงเหิงซิ่งใช่ไหม?”
“ใช่”
“เอาล่ะ ใกล้ถึงเวลาแล้วไปเรียนเถอะ”
จ้าวห้าวมองข้าอย่างสงสัย “เ้า...จะไม่ใจร้อนอีกใช่ไหม?”
“เ้าดูสิ ข้าออกจะใจเย็นขนาดนี้จะไปทำอะไรพวกนั้นได้อย่างไร?”
ข้าจับกระบี่ที่ให้ฝึกขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ข้าจะไปเข้าเรียนแล้วล่ะพวกเ้าก็ไปได้แล้ว”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้