หญิงสาวใช้มือเล็กตบท่อนแขนแกร่งสุดแรง แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง ด้วยกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายนั้นแข็งแรง มิได้อ่อนนุ่มเหมือนนาง แล้วเรี่ยวแรงแค่นี้ จะไปทำให้เขาเจ็บได้อย่างไร...
โจวชิงหวาชำเลืองมอง ก่อนย้อนถามเสียงยียวน “เปื้อนอะไร? แล้วเ้าปัดมันออกไปแล้วหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์จึงตอบเสียงขุ่น “คงจะเป็ผงแป้งจากหอเฟิงเยวี่ย ที่แม้จะปัดออกไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือกลิ่นอยู่”
โจวชิงหวาเอ่ย “ข้าผิดไปแล้ว แต่ที่ต้องไปหอเฟิงเยวี่ย ก็เพื่อเจรจาธุรกิจเท่านั้น หาได้เข้าใกล้สตรีนางใด”
หนีเจียเอ๋อร์ทำหน้ามุ่ย “ใครจะไปเชื่อ!”
มู่หรงจิ่งหลีที่ลอบมองท่าทีของคนทั้งสองอยู่เงียบๆ เริ่มไม่พอใจขึ้นมา ตอนนี้เขารู้สึกหึงหวง จนแทบอยากจะดึงตัวหญิงสาวมาเสียเดียวนี้
หนีเจียเฮ่อก็เช่นกัน เขาลอบมองความสัมพันธ์ระหว่างน้องสาวกับโจวชิงหวามาระยะหนึ่งแล้ว จึงอดมิได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก หากพวกเขาตกลงปลงใจกันจริงๆ ตนในฐานะพี่ชาย คงจะมีความสุขมากทีเดียว
...
หนีเจียเฮ่อได้เล่าเื่ที่โจวชิงหวาสั่งห้าม มิให้พ่อค้าทั่วเมืองหลวงและในตลาดมืดขายของให้สกุลสวี จนพวกเขารับมือไม่ไหว จำต้องมาขอโทษตระกูลหนี และบอกให้นายท่านหนีปล่อยตัวนาง
ได้ยินเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็ยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม “ไม่นึกเลยว่าเ้าที่เป็เพียงพ่อค้า จะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่เพียงค้าขายเก่ง แต่ยังเหลี่ยมจัดอีกด้วย”
โจวชิงหวายักไหล่ พลางเหยียดยิ้มแทนคำขอบคุณ
หลังจากดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มไปสักพัก หนีเจียเฮ่อก็เสนอให้พวกเขาทั้งสี่แลกเปลี่ยนความรู้ด้านบทกวี ทั้งยังขอให้เสี่ยวเอ้อร์นำพู่กัน หมึก กับกระดาษมาให้
ตอนนี้ มีทั้งบุรุษผู้เป็ยอดอัจฉริยะแห่งเมืองหลวง สตรีผู้เก่งกาจอันดับหนึ่ง หนีเจียเฮ่อ และมู่หรงจิ่งหลี องค์ชายต่างแดน ผู้ปรีชาสามารถในการเขียนบทกวี เหล่าบริกรจึงพากันตื่นเต้น เมื่อได้เห็นพวกเขามารวมตัวกัน
...
กาลเวลาผันผ่าน
เวลาของคณะราชทูตแคว้นจิวอวี่ที่มาพักอยู่ในเมืองหลวง ก็ใกล้จะหมดลง มู่หรงจิ่งหลีจึงไปยังวังหลวง เพื่อกล่าวอำลาฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีหลาน
กู่หังจิ่นซึ่งเพิ่งว่าราชกิจเสร็จ ได้อนุญาตให้องค์ชายสามเข้าพบที่ห้องหนังสือ
“คารวะฝ่าา” มู่หรงจิ่งหลีโค้งคำนับด้วยท่วงท่าอันไร้ที่ติ สมเป็องค์ชายสามแห่งแคว้นจิวอวี่
หากเทียบกับกู่หังจิ่น ผู้มีรูปลักษณ์งามสง่าน่าเกรงขามแล้ว องค์ชายสามก็หาได้เป็รองแต่อย่างใด
กู่หังจิ่นเอ่ย “องค์ชายสาม โปรดลุกขึ้น แล้วมานั่งตรงนี้เถอะ”
“ขอบพระทัย ฝ่าา” มู่หรงจิ่งหลีทำความเคารพอีกครั้ง ก่อนลุกขึ้น เดินไปยังเก้าอี้ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้
ทั้งสองสนทนากันในเื่ทั่วๆ ไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว กู่หังจิ่นจะซักถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และความเป็อยู่ขององค์ชายสามเสียมากกว่า โดยมิได้หยิบยกเื่การเมืองขึ้นมาพูดคุยเลย
หลังสนทนากันมาเกือบหนึ่งก้านธูป จึงทราบกำหนดการที่มู่หรงจิ่งหลีจะกลับไปยังแคว้นจิวอวี่ ว่าเป็อีกสามวันนับจากนี้
กู่หังจิ่นจึงอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ จากนั้นพวกเขาก็แยกย้าย
พอคล้อยหลังอีกฝ่าย ใบหน้าเปื้อนยิ้มของฮ่องเต้ก็กลับมาเ็าดังเดิม ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็หมุนตัวกลับไปอ่านฎีกาบนโต๊ะต่อ
...
อีกด้านหนึ่ง
มู่หรงจิ่งหลีได้ส่งคนไปยังจวนสกุลหนี เพื่อรับหนีเจียเอ๋อร์มายังทะเลสาบเยวี่ยหยา
ยามนี้ ทะเลสาบอันเงียบสงัดเป็ดั่งกระจกบานใหญ่ ที่กำลังสะท้อนภาพของท้องฟ้าสีคราม และมวลเมฆขาว
ช่างเป็ภาพซึ่งงดงามนัก แต่ที่แปลกไปก็คือรอยยิ้มของชายหนุ่ม ซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของนางในตอนนี้
เขาช่างมีรอยยิ้มอันสดใส จนรู้สึกอย่างกับว่า นี่คือมู่หรงจิ่งหลีคนละคนกับที่นางเคยรู้จัก
องค์ชายสามที่กำลังยกยิ้มกว้าง กล่าวทักทาย “เ้ามาแล้ว!”
หนีเจียเอ๋อร์ปรายตามอง ก่อนย้อนเสียงเรียบ “จะไม่มาได้หรือ ในเมื่อพระองค์ส่งทหารมาควบคุมตัวครอบครัวของหม่อมฉัน เพื่อบีบบังคับให้ออกมาพบเช่นนี้”
มู่หรงจิ่งหลีมีท่าทีอ่อนลง และพยายามรอมชอม “แฮ่ม! ข้ามิได้ตั้งใจ แต่เกรงว่าเ้าจะไม่มา จึงต้องทำเช่นนั้น”
เมื่อเห็นว่าปอยผมของนางหล่นลงมา เขาก็เอื้อมมือหมายจะช่วยปัดให้
แต่หนีเจียเอ๋อร์ไม่รับความหวังดี รีบถอยห่าง พลางจ้องเขม็งด้วยสายตาระแวดระวัง “ฝ่าา คิดจะทำอะไรเพคะ?”
มู่หรงจิ่งหลีดึงมือกลับอย่างปวดร้าว พร้อมฝืนยิ้ม แล้วพูดติดตลกว่า “ไม่คิดเลย ว่าข้าจะทำให้เ้าหวาดระแวงได้ขนาดนี้”
บนผิวน้ำ สะท้อนภาพชายหนุ่มที่ยืนเพียงลำพัง ดูโดดเดี่ยวยิ่งนัก
แววตาของหญิงสาวอ่อนลงเล็กน้อย “วันนี้ที่พระองค์เรียกหม่อมฉันออกมาพบ มีเื่อันใดหรือเพคะ?”
องค์ชายสามทอดมองไปด้านหน้า ก่อนเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “เสี่ยวเอ๋อร์ ข้าตกหลุมรักเ้า ั้แ่แรกพบในงานเลี้ยงต้อนรับ ข้ารู้ว่าความประทับใจของเ้าที่มีต่อข้านั้นได้หมดลง นับจากที่เราไปเที่ยวทะเลสาบกันในครานั้น ซึ่งเื่นี้ หากเป็ผู้อื่น ข้าคงไม่ใส่ใจว่าเขาจะคิดเห็นเช่นไร แต่มิใช่สำหรับเ้า”
“ตอนนั้นที่ข้าไม่ช่วยกู่อวี่เสวียน ก็เพราะอยากให้นางเกลียดข้า มิเช่นนั้นนางจะต้องทูลขอต่อฮ่องเต้ ให้ข้าอภิเษกสมรสกับนางแน่ หากเป็เช่นนั้น ข้าย่อมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแต่งงานกับนาง”
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้ว ขณะมองไปยังอีกฝ่าย
ชายหนุ่มยิ้มเศร้า จากนั้นจึงพูดต่อ “ส่วนเื่การรับสนมนั่น ก็เป็เพราะความมั่นคงทางการเมือง ข้าจำต้องทำตามรับสั่งของเสด็จพ่อโดยไม่มีทางเลือก จึงต้องรับบุตรสาวของขุนนางระดับสูงเข้ามาเป็สนมอย่างเลี่ยงมิได้ ไหนจะเื่พระชายาอีก... ทว่าตอนนี้ ข้าไม่อยากถูกบังคับให้แต่งงานอีกแล้ว”
หนีเจียเอ๋อร์รีบเอ่ยแทรกขึ้นมา “อย่าว่าแต่พระองค์เลย ไม่ว่าขุนนางหรือแม้กระทั่งสามัญชน ใครเล่าจะมีสิทธิ์ปฏิเสธ ทุกคนล้วนถูกบีบบังคับให้แต่งงานทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าาเป็องค์ชาย เมื่อได้เสวยสุขกับเกียรติยศและความมั่งคั่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดเอื้อมถึงแล้ว บัดนี้ก็ถึงคราวต้องตอบแทน เพื่อผลประโยชน์ของแว่นแคว้น นี่คือหน้าที่ของพระองค์”
มู่หรงจิ่งหลีจึงถามว่า “ในเมื่อเ้าพูดเช่นนั้น ทำไมถึงยอมตายมากกว่าแต่งงานกับสวีเพ่ยหรานเล่า?”
หญิงสาวนิ่งงัน
ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้ “หรือเป็เพราะท้ายที่สุดแล้ว เ้ามิได้รักเขา? ข้าก็เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะเลือกสตรีเพียงนางเดียวที่ตนรักมาเป็ชายา เสี่ยวเอ๋อร์ เ้ายินดีจะไปยังแคว้นจิวอวี่ เพื่อเป็พระชายาของข้าหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เพคะ ใช่ว่าฝ่าาไม่ดีพอ แต่ก็อย่างที่พระองค์ได้ตรัสเอาไว้ หม่อมฉันก็อยากเลือกชายผู้เป็ที่รัก ซึ่งจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าด้วยตัวเองเช่นกัน”
เอ่ยจบ นางก็โน้มตัวลงคารวะ ก่อนเดินจากไป
พอรถม้าของหญิงสาวเริ่มออกตัว มู่หรงจิ่งหลีก็ร้องถาม “เสี่ยวเอ๋อร์ มะรืนนี้ เ้าจะมาหาข้าได้หรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เปิดม่านมองไปยังอีกฝ่าย โดยมิได้ตอบอันใด