ปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว ทำให้ในตัวเมืองหยางโจวมีชีวิตชีวาและดูคึกคักขึ้น ในนิกายมีศิษย์จำนวนมากพากันกลับบ้านเพื่อไปอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ปีใหม่ในแต่ละปีจะมีการจัดงานชุมนุมระดับตระกูลไปจนถึงระดับอาณาจักร ซึ่งงานชุมนุมเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ในโลกของผู้บ่มเพาะ
ตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองหยางโจวจะจัดงานชุมนุมภายในตระกูลทุกปี เพื่อดูว่าการบ่มเพาะของคนรุ่นหลังเป็อย่างไรบ้าง และบางครั้งตระกูลใหญ่ๆ บางส่วนในเมืองหยางโจวจะร่วมมือกันจัดงานชุมนุมขึ้นมาเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของคนรุ่นเยาว์
ภัตตาคารทิงเฟิง เป็สถานที่รวมตัวของเหล่าคนรุ่นเยาว์ผู้ยอดเยี่ยมในเมืองหยางโจว พวกเขาจะคุยไปพลางดื่มสุราไปพลาง
“ได้ยินมาว่าจิติญญาแห่งนักรบของหลินเชียนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้วนี่ ตอนนี้ได้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญาเต็มตัวแล้ว และได้กลายเป็ศิษย์สายในของนิกายเฮ่าเยว่ พี่หลินยู่ เื่นี้ไม่รู้ว่ามันจริงหรือเท็จ” ชายหนุ่มที่โบกพัดไปมา ได้หันมาถามหลินยู่แห่งตระกูลหลิน ทำให้สายตาของทุกคนพร้อมใจกันมองไปที่หลินยู่ ดูเหมือนว่าทุกคนก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเื่นี้
“มันเป็เื่จริง หลังจากที่หลินเชียนแห่งตระกูลหลิน ได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญา ความแข็งแกร่งของนางก็เพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่างานชุมนุมปีนี้ตระกูลหลินของข้าอาจจะโดดเด่นขึ้นมาก็ได้”
หลินยู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาเป็บุตรชายของผู้าุโแห่งตระกูลหลิน ดังนั้นจึงเป็เื่ธรรมดาที่จะต้องยกยอตระกูลของตัวเอง
“ฮ่าๆ เพียงแค่บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาก็ทำมาโอ้อวด กู่เหยียนของตระกูลข้า ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญามาได้ตั้งครึ่งปีแล้ว ตระกูลหลินของเ้าคงไม่มีใครเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้” เด็กหนุ่มในชุดสีเหลืองที่นั่งตรงข้ามกับหลินยู่กล่าวเยาะเย้ยออกมา ในเมืองหยางโจวตระกูลกู่กับตระกูลหลินเป็ปรปักษ์กัน ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มคนนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดหักหน้าตระกูลหลิน
“บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญานับเป็อะไรได้? เหวินเจียงจากตระกูลเหวิน บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 แล้ว เกรงว่านอกจากองค์หญิงน่าหลันเฟิงแห่งคฤหาสน์ท่านเ้าเมือง คงไม่มีใครสามารถต้านทานได้”
คนตระกูลเหวินพูดอวดตระกูลของตนขึ้นมาบ้าง
เมื่อชายหนุ่มที่ถือพัดขนนกได้ยินอีกฝ่ายก็ไม่ลืมยกหางคฤหาสน์ของตน ก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมา “พี่เหวินเจียงบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 แล้วหรือ ช่างมีพร์ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“นี่พวกเ้าเชิญข้ามานั่งฟังเื่ไร้สาระเหล่านี้เหรอ” เสียงหวานใสเ็าเอ่ยแทรกบทสนทนาของพวกเขา นั่นเป็เสียงของหญิงงามนางหนึ่ง
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ครั้งนี้ที่ข้าเชิญทุกคนมาเพื่อจะแจ้งข่าวว่า หลังจากปีใหม่ปีนี้หนึ่งวัน คฤหาสน์ท่านเ้าเมืองจะจัดงานชุมนุมขึ้น นอกจากลูกหลานของท่านเ้าเมืองและตระกูลใหญ่ทั้งสามแล้ว คนอื่นๆ ก็สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมนี้ได้ ชิวหลัน เ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
น่าหลันไห่ยิ้มอย่างอบอุ่น ทุกคนล้วนเข้าใจดี เพราะเมื่อก่อนทุกครั้งที่เมืองหยางโจวจัดงานชุมนุมขึ้นมา พวกเขาจะให้เด็กรุ่นหลังของสี่ตระกูลใหญ่เข้าร่วมเท่านั้น คาดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้คนอื่นๆ ก็สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมได้ ดูเหมือนว่าท่านเ้าเมือง้าดึงดูดความสนใจของรุ่นเยาว์ที่มีพร์ในเมืองหยางโจว
เล่ากันว่าชิวหลันเป็เด็กกำพร้า แต่ชื่อเสียงของนางในเมืองหยางโจวกลับเป็ที่เลื่องลือมาก นอกจากจะมีหน้าตาสะสวยและท่าทางที่เยือกเย็นแล้ว พร์ของนางก็ยังโดดเด่นอีกด้วย
ชิวหลันพยักหน้าเล็กน้อย ตัวนางเองก็อยากจะเห็นว่า คนรุ่นเยาว์ที่เก่งกาจของสี่ตระกูลใหญ่จะมีพลังแค่ไหนกัน
“ฮ่าๆ งานชุมนุมในครั้งนี้จะต้องยอดเยี่ยมมากอย่างแน่นอน ข้าได้ยินมาว่าไอ้ขยะตระกูลหลินดูเหมือนจะก้าวหน้าไปมาก ถึงขนาดทุบตีหลินหยุนจนาเ็เลยนี่?! ข้าคิดว่าไอ้ขยะตระกูลหลินจะต้องเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้แน่ๆ” เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีเหลืองแห่งตระกูลกู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม และจงใจเอ่ยวาจาเสียดสีออกมา
“กู่ซง เ้าหมายความว่ายังไง ตระกูลหลินของข้ามีลูกหลานที่ดีเยี่ยมตั้งหลายคน ไม่จำเป็ต้องให้ขยะอย่างมันเข้าร่วมงานชุมนุมหรอก” หลินยู่เข้าใจดีว่ากำลังพูดอยู่กับใคร และการที่อีกฝ่ายจงใจพูดว่า ‘หลินเฟิงสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมได้’ แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ยว่า คนรุ่นเยาว์ตระกูลหลินไร้ซึ่งคนมีฝีมือ จนต้องให้ไอ้ขยะหลินเฟิงเข้าร่วม
“ฮ่าๆ การที่เ้าเรียกนายน้อยของตัวเองแบบนั้น ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนะ” กู่ซงกล่าวอย่างขำขัน
“ขยะก็คือขยะ ไม่มีค่าคู่ควรที่จะเรียกว่านายน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ช้าก็เร็วตำแหน่งผู้นำตระกูลหลินจะต้อง…” หลินยู่กล่าวอย่างเ็าและจู่ๆ หลินยู่ก็หยุดพูด แล้วไม่พูดอะไรต่อ
ในขณะนั้นเอง เ้าขยะที่พวกเขาพูดถึงก็กำลังควบม้าเข้าสู่เมืองหยางโจว
การเดินทางที่ต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ทำให้ใบหน้าของหลินเฟิงเต็มไปด้วยฝุ่น กระทั่งม้าพันลี้ก็ดูเหนื่อยล้า แต่ทว่าสายตาของหลินเฟิงยังคงเป็ประกาย ไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
กลับมาที่เมืองหยางโจวคราวนี้ หลินเฟิงดูดีกว่าแต่ก่อนมาก ใบหน้าของหลินเฟิงดูสดใส อีกทั้งโครงร่างก็ดูแข็งแรงกำยำ สายตาแจ่มใสและสงบนิ่ง
ฝักดาบด้านหลังและเข็มขัดสีเงินที่พันรอบเอวของหลินเฟิง ทำให้เขาเป็ที่สนใจของทุกคน เมื่อเห็นว่าชุดที่หลินเฟิงสวมใส่รวมทั้งท่าทางองอาจ ทำให้ทุกคนคาดเดาได้ว่า จะต้องเป็ลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่เพิ่งกลับมาจากการบ่มเพาะแน่ๆ
“ไป” หลินเฟิงใช้เท้ากระตุ้นสีข้างของม้าให้เดินทางต่อ เมื่อม้าพันลี้เดินมาถึงถนนสายหลักของเมืองหยางโจว หลินเฟิงจึงควบม้าให้ช้าลง
“เอ๋” เมื่อหลินเฟิงควบม้าผ่านหน้าภัตตาคาร ก็มีเสียงเล็กๆ ดังมาจาก้า แม้ว่าเสียงจะเบามาก แต่ตอนนี้ประสาทััของหลินเฟิงเฉียบแหลมขึ้น ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองและสบสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่ตน
“ฮ่าๆ ข้ารู้ว่าเ้าคือใคร นี่ไม่ใช่นายน้อยหลินเฟิงจากตระกูลหลินหรอกหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ”
ในสายตาของคนคนนั้นเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม หลังจากนั้นไม่นานหน้าต่างอีกบานของชั้นที่สองก็ปรากฏใบหน้าของผู้คนมากมาย และหนึ่งในนั้นก็เป็ใบหน้าที่หลินเฟิงคุ้นเคยดี เพียงแต่ตอนนี้ใบหน้านี้กลับดูอึมครึมเป็อย่างมาก
“หลินยู่” หลินเฟิงกล่าวเสียงต่ำ หลินยู่เป็บุตรชายของผู้าุโท่านหนึ่งในตระกูลหลิน ระดับการบ่มเพาะของมันอยู่ที่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 พร์ก็ไม่เท่าไร
“หึ!” หลินยู่ไม่ให้เกียรติหลินเฟิงผู้เป็นายน้อยเลยสักนิด เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เพราะคาดไม่ถึงว่าจะเจอหลินเฟิงที่นี่ เกรงว่าคนเหล่านี้ต้องหัวเราะเยาะตัวเองแน่ๆ
“หลินเฟิง พวกข้าได้นัดรวมตัวกันที่นี่ ในเมื่อได้พบกันแล้วก็ขึ้นมาข้างบนสิ” เป็อย่างที่คิดไว้ กู่ซงได้ส่งคำเชิญไปให้หลินเฟิงอย่างฉับพลัน เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาที่ไม่ดี
“หลินเฟิง เ้ารีบเดินทางมาไกลขนาดนี้ กลับไปพักผ่อนที่ตระกูลก่อนเถอะ” หลินยู่กล่าวอย่างไม่เต็มใจ
หลินเฟิงหัวเราะอยู่ในใจ สถานะของเขาคือนายน้อยจากตระกูลหลิน แต่ทว่าเมื่อพบหน้ากัน แทนที่หลินยู่จะใช้น้ำเสียงดีๆ พูดกับเขาสักหน่อย แต่นี่กลับไม่มี มิหนำซ้ำยังส่งสายตาเ็าปนดูถูกมาให้อีก คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“หากข้าจะทำอะไร จำเป็ต้องมองสีหน้าของเ้าด้วยหรือ?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า จากนั้นก็เหลือบตามองกู่ซงแล้วกล่าวว่า “ข้าจะขึ้นไป”
“ช้าก่อน” น้ำเสียงของหลินยู่พลันเปลี่ยนเป็เ็าขึ้นมา “หลินเฟิง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เ้าควรมา รีบกลับไปทำตัวไร้เดียงสาอยู่ที่บ้านไป”
“บังอาจ!” หลินเฟิงตวาดอย่างเ็าและเงยหน้ามองหลินยู่ ก่อนกล่าวเสียงเรียบนิ่งว่า “สถานะของเ้าคืออะไร แล้วสถานะของข้าคืออะไร เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้าแบบนี้?!”
หลินเฟิงในวันนี้ไม่ใช่ ‘หลินเฟิง’ ที่ขี้ขลาดเหมือนแต่ก่อน พ่อของเขาเป็ถึงผู้นำของตระกูลหลิน ฉะนั้นไม่จำเป็ต้องอดกลั้นต่อนิสัยอันหยาบช้าของหลินยู่ ถ้าหากยอมเก็บงำความโกรธแค้นนี่ไว้ จากนี้ไปไม่ว่าใครก็สามารถข่มเหงนายน้อยอย่างเขาได้
เมื่อหลินยู่ถูกหลินเฟิงตวาดขึ้นมาก็สะดุ้งใ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองก็คาดไม่ถึง ว่าหลินเฟิงจะเปลี่ยนเป็คนละคนขนาดนี้ ทั้งยังดุดันเช่นนี้อีกด้วย
สีหน้าของหลินยู่เปลี่ยนเป็แดงก่ำขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าควรจะขับไล่หลินเฟิงต่อดีไหม? เพราะอีกฝ่ายก็มีสถานะเป็ถึงนายน้อยของตระกูลหลิน และถึงแม้ว่าเขาจะเป็บุตรชายของผู้าุโ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวร้าวใส่หลินเฟิงได้ แต่ในทางตรงกันข้าม หากหลินเฟิงดุด่าเขา เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งอีกฝ่ายได้
“ฮ่าๆ นี่หรือคือนายน้อยของตระกูลหลิน” กู่ซงกลัวว่าเื่จะไม่วุ่นวาย เขาหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง ทำให้สีหน้าของหลินเฟิงดูอึมครึมมากขึ้น
ตอนนี้หลินเฟิงได้ลงจากหลังม้าและผูกม้าพันลี้ไว้ข้างๆ ภัตตาคาร จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนชั้นสองของภัตตาคารหรูหรา
ตรงโต๊ะมีร่างเงาเจ็ดถึงแปดคน และทุกคนล้วนเป็คนรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่ง
เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงเข้ามา ไม่มีแม้แต่เสียงคนคุยกัน ทุกคนล้วนนั่งอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง แล้วยกแก้วขึ้นมาดื่มเล็กน้อย ทำเป็มองไม่เห็นหลินเฟิง แม้แต่กู่ซงที่เป็คนเชิญชวนหลินเฟิงขึ้นมาก็ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นมา
“หึ ไอ้ขยะนี่กล้าทำให้ข้าต้องอับอาย คิดว่าตัวเองเป็นายน้อยแล้วจะมีสถานะที่ดีขึ้นมาหรือไง?” หลินยู่ไม่มองหน้าหลินเฟิง พลางพึมพำออกมา
“สถานะนายน้อยของตระกูลหลิน เ้าไม่ควรลืมมันไปง่ายๆ นะหลินยู่ เพราะถึงอย่างไรเ้าขยะนี่ก็เป็นายน้อยของตระกูลเ้า” กู่ซงกล่าวเตือน ที่เขาอยากเห็นที่สุดก็คือสถานการณ์เช่นนี้ล่ะ ทำให้ตระกูลหลินต้องอับอายขายขี้หน้า
หลินเฟิงยิ้มอย่างเ็าแล้วกวาดสายตามองไปที่ฝูงชน จากนั้นก็ไปหยุดที่ร่างของกู่ซง เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงที่ที่กู่ซงนั่งอยู่
“ข้านั่งด้วยได้ไหม?”
“เ้าพูดอะไร? คนอย่างเ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งนี่” เหวินซานแห่งตระกูลเหวินกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ในเมืองหยางโจวมีสี่ตระกูลใหญ่ และตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ตระกูลท่านเ้าเมือง ส่วนอีกสามตระกูลก็ไม่ค่อยปรองดองกันเท่าไร โดยเฉพาะตระกูลกู่และตระกูลหลิน แต่ถ้ามีโอกาสได้เหยียบย่ำตระกูลหลิน คนตระกูลเหวินก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลินเฟิงไม่มองเหวินซาน แต่กลับถามกู่ซง
“เ้าไม่เข้าใจหรือ? ไอ้ขยะ! หากไม่มีคุณสมบัติก็ไม่สิทธิ์ที่จะนั่งกับพวกเรา” กู่ซงปรายตามองไปที่หลินเฟิงอย่างดูแคลน ไอ้หมอนี่ช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียจริง
“พูดแบบนี้คือเ้า้ายั่วยุข้า?” หลินเฟิงไม่โกรธ และยังคงถามอย่างสงบนิ่ง
“ถ้าใช่แล้วทำไม ไสหัวไปซะ” กู่ซงกล่าวด้วยความเดือดดาล เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หลินเฟิงจะไม่รู้กาลเทศะเช่นนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้