อูิโยวเป็ผู้นำทาง ทั้งยังแบกอูิหลิงไว้บนหลัง เนื่องจากกลัวว่าหลิ่วไป๋เจ๋อจะตามไม่ทันจึงไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดในการเดินทาง หลิ่วไป๋เจ๋อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของเขาไม่ปกติ ทำให้เคลื่อนไหวได้จำกัด
ทั้งสองวิ่งไปเบื้องหน้า ทว่าเพียงไม่นานอูิโยวก็หยุดฝีเท้าลง
“มีอะไรหรือ” หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ย
อูิโยวอึกอักไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้าหลงทางแล้ว”
ไม่รู้จริงๆ ว่าเ้าคนบ้าตรงหน้านี้ตามหาตนและอูิหลิงเจอได้อย่างไร หรือว่า...หลิ่วไป๋เจ๋อคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงใช้ลำแสงเงาสีเขียว ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่น
เขาวางมือลงบนไหล่อูิโยว เพราะพลังกายลดลงจึงทำให้เหนื่อยหอบอยู่บ้าง มุมปากโค้งขึ้นเผยรอยยิ้มอันหาได้ยาก
“นี่ แม้ว่าข้าจะอยากเห็นเ้าหัวเราะขบขัน แต่ตอนนี้ต้องรีบหาทางออก หลังจากออกไปได้เ้าค่อยยิ้มไม่ได้หรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อหุบยิ้มและกลับมาเ็าดังเดิม
“ิโยว!”
“ว่าอย่างไร เ้ามีวิธีการอันใด”
มือที่วางบนไหล่ของอูิโยวออกแรงหนักขึ้น เขาคิดว่าหลิ่วไป๋เจ๋อรู้สึกไม่สบายตัวจึงรีบหันไปมอง
“เ้าเป็อะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หาที่ซ่อนกันก่อนดีหรือไม่” ตอนนี้พ้น่ฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว ไม่มีม่านหมอกพิษในป่าใต้พิภพ หาก้าจะซ่อนตัวอยู่ในป่านี้สักพักก็คงไม่เป็อะไร
เพียงแต่ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อไม่ได้ตั้งใจจะสื่อเช่นนั้น เขาบีบไหล่อีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ขยับตัว
“เ้าอยากเห็นหรือไม่ว่าโลกภายใต้สายตาของข้าเป็อย่างไร”
“หา?”
“หลับตา!”
“อะไร…”
ชั่วขณะหนึ่งอูิโยวไม่รู้ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อหมายถึงสิ่งใด ยังไม่ทันจะเข้าใจความหมายที่สื่อ ก็รู้สึกว่ามือของหลิ่วไป๋เจ๋อที่วางอยู่บนไหล่นั้นเย็นเฉียบไปถึงกระดูก หนาวสะท้านทะลุเสื้อผ้า แทรกซึมสู่ิัและกระจายไปทั่วทั้งร่าง จนเริ่มลามมาถึงดวงตาทั้งสองข้าง เขาจึงหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
น่าประหลาดที่เมื่ออูิโยวหลับตาลง ทัศนวิสัยกลับไม่ได้มืดสนิท แต่เห็นเป็จุดแสง รอบกายเต็มไปด้วยสีขาวและดำ
“นี่คือ...”
เสียงของหลิ่วไป๋เจ๋อมาจากด้านหลัง “นี่คือโลกในสายตาข้า”
นี่เป็วิธีที่หลิ่วไป๋เจ๋อใช้ในการแยกแยะสิ่งต่างๆ อย่างนั้นหรือ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! เพียงแต่โลกใบนี้ไม่มีสีสันอื่นนอกจากดำและขาว ดูซ้ำซากจำเจและเ็า ไร้ซึ่งความอบอุ่น ทันใดนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงมองอูิหลิงที่อยู่ในอ้อมแขน ทว่าเห็นได้เพียงโครงร่างของนางเท่านั้น มองไม่เห็นว่าหน้าตาเป็เช่นไร
สำหรับหลิ่วไป๋เจ๋อ สิ่งต่างๆ มีเพียงโครงร่างที่หลากหลายและไร้ซึ่งสีสัน
“ไป๋เจ๋อ…” อูิโยวพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ที่แท้อีกฝ่ายก็แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองหน้าตาเป็อย่างไร ในใจพลันรู้สึกเ็ปขึ้นมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเคยเอ่ยว่าอยากพาหลิ่วไป๋เจ๋อไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพ อยากจะตบหน้าตนเองเสียจริง ตอนนั้นไม่รู้ว่าคิดเื่ไร้สมองเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งที่รู้ดีว่าดวงตาของอีกฝ่ายมืดบอด แต่ก็ยังจะพูดจาไร้แก่นสารออกมาอีก เขาควรจะเศร้ากับสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ
“ิโยว” เสียงเรียกแ่เบาของหลิ่วไป๋เจ๋อดังก้องอยู่ในหู แต่อูิโยวกลับก้มหน้าลงด้วยความอึดอัดใจ
“รู้หรือไม่ ข้าสามารถมองเห็นความคิดทั้งหมดของเ้าได้ชัดเจน”
อูิโยวเงยหน้าขึ้น ประโยคเมื่อครู่ไม่ได้ดังอยู่ข้างหู แต่มาจาก...ในใจของเขา!
“ใหรือ ข้าสามารถแสดงให้เ้าเห็นสิ่งที่ข้าเห็นได้ ในเวลาเดียวกันข้าก็ได้ยินสิ่งที่เ้าคิดด้วย แปลกใช่ไหม”
อูิโยวหันไปมองด้านหลัง นี่มันอะไรกัน ไป๋เจ๋อล่ะ ทั้งที่เมื่อครู่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ข้างหลัง แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่า
“ไม่ต้องมองหาหรอก เ้าไม่สามารถมองเห็นข้าผ่านดวงตาของข้าได้”
“เพราะเหตุใดกัน”
“ข้าจะอธิบายในภายหลัง”
หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยกำชับกับอูิโยว “เห็นแถบแสงตรงหน้าที่อยู่ทางด้านขวาหรือไม่”
อูิโยวมองไปยังทิศทางที่หลิ่วไป๋เจ๋อบอก ก็เห็นแถบแสงสีขาวเส้นหนึ่งลอยอยู่ไม่ไกล ทอดยาวเข้าไปในป่าทึบ
“เดินตามแสงนั้นไป เร็วเข้า!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วไป๋เจ๋อ อูิโยวก็เร่งฝีเท้าทันที เขาััได้ถึงกลิ่นอายของอันตราย ซึ่งกำลังจะปะทุขึ้นในป่าใต้พิภพที่อยู่ด้านหลัง จึงไม่สนใจแม้กระทั่งจะถามว่าแถบแสงนั้นคือสิ่งใด พวกเขาไม่อาจประวิงเวลาได้อีก ต้องเร่งออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เมื่อเห็นว่าใกล้จะพ้นเขตป่าใต้พิภพ อูิโยวก็ลืมตาและถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหลิ่วไป๋เจ๋อกลับดึงเขาไปด้านหลัง “หยุดก่อน!”
“อีกหนึ่งเค่อก็จะออกจากป่าใต้พิภพได้แล้ว เหตุใดต้องมาหยุดตอนนี้...”
ก่อนที่อูิโยวจะพูดจบ หลิ่วไป๋เจ๋อก็ก้าวเข้าไปอุ้มอูิหลิงกลับมา พร้อมกับเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “ออกจากที่นี่แล้วก็กลับไปยังหุบเขาไป่หลิงให้เร็วที่สุด เ้าเคยสัญญากับข้าว่าจะไม่ออกจากที่นั่นจนกว่าจะได้รับตำแหน่งผู้นำหุบเขา จะยกเลิกคำมั่นของเ้าอย่างนั้นหรือ”
“แต่…”
มือข้างหนึ่งของหลิ่วไป๋เจ๋อประคองอูิหลิงอยู่ อีกข้างดึงขลุ่ยดินเผาสีม่วงออกจากเอว แล้ววางลงบนมืออูิโยว
“รับไป เมื่อเ้ากลับถึงหุบเขา จงเรียนรู้วิธีใช้มัน”
อูิโยวไม่เข้าใจว่าหลิ่วไป๋เจ๋อหมายถึงสิ่งใด เขาไม่อยากจากไป แล้วจู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปในพุ่มไม้ใกล้ๆ ขณะกำลังจะเอ่ยก็ถูกฝั่งนั้นยกมือขึ้นปิดปาก กระซิบข้างหูด้วยเสียงอันแ่เบาที่ได้ยินเพียงสองคน
“รีบไปจากที่นี่แล้วกลับไปยังหุบเขาไป่หลิง”
“เ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ หากไม่พูดให้ชัดเจนข้าก็จะไม่ฟัง”
หลิ่วไป๋เจ๋อรู้ว่าหากอูิโยวดื้อรั้นขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ ทว่าเขาทำได้เพียงพยายามเกลี้ยกล่อมเท่านั้น “หากเ้าอยากรู้ก็จงฟังให้ดี”
อูิโยวดึงแขนเสื้อของหลิ่วไป๋เจ๋อแล้วพูดด้วยท่าทีเสียใจ “เลิกบังคับให้ข้ากลับไปยังหุบเขาไม่ได้หรือ ข้าไม่อยากกลับไปจริงๆ”
อาจเป็เพราะความน่าสงสาร หลิ่วไป๋เจ๋อจึงเริ่มใจอ่อนจนเกิดลังเลขึ้นมาครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เ้าห้ามออกมาเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
น้ำเสียงของหลิ่วไป๋เจ๋อเข้มงวดจนทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าสงสัย ท้ายที่สุดอูิโยวก็พยักหน้าตกลง
หลิ่วไป๋เจ๋อกำชับอีกครั้ง “ห้ามให้ใครรู้ว่าเ้าอยู่ที่นี่ จำที่ข้าพูดเอาไว้ ซ่อนตัวให้ดี!”
แม้อูิโยวจะไม่เข้าใจว่าหลิ่วไป๋เจ๋อ้าทำสิ่งใด แต่ก็ตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข
หลิ่วไป๋เจ๋อพาอูิหลิงออกมาจากพุ่มไม้ ก่อนจะกดนิ้วลงบนหลังคอของนางจนค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ไป๋เจ๋อ เ้า!”
อูิหลิงจำได้ว่าจู่ๆ อีกฝ่ายก็ผลักนางออก จึงมีสีหน้าบูดบึ้ง
อูิโยวที่อยู่หลังพุ่มไม้เมื่อเห็นพี่สาวฟื้นคืนสติก็รีบยกมือทั้งสองขึ้นปิดปาก กลัวว่าจะเผลอส่งเสียงให้นางรู้ว่าตนเองอยู่ที่นี่
ร่างกายของหลิ่วไป๋เจ๋อมีแต่าแทั้งยังแสนเหนื่อยล้า ทว่าก็พยายามฝืนตนเองไม่ให้ล้ม ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูของิหลิง
“มีคนอื่นอยู่ที่นี่ กลับไปเราค่อยคุยเื่นี้”
อูิหลิงเข้าใจถึงความรีบเร่งนั้น รวมกับใบหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อที่ซีดเซียว หน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อผุดซึม นางจึงไม่โกรธเขาอีก พยายามจะยื่นมือไปรักษาอาการาเ็ให้ แต่หลิ่วไป๋เจ๋อคว้ามือนางเอาไว้ก่อน แล้วดึงไปไว้ด้านหลังของตน
เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังในป่าที่ห่างออกไป ไม่นานก็มีผู้คนหลายสิบปรากฏตัวขึ้น
“ดูสินี่ใคร คุณชายหลิ่วจากชิงหลิ่วถังไม่ใช่หรือ”
คนเหล่านี้ล้วนมาจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็อวิ๋นฉี่บุตรชายคนใหญ่นั่นเอง
ดวงตาก็มองพิจารณาคนทั้งสองขึ้นๆ ลงๆ
“คุณชายหลิ่วกับแม่นางอูไปทำอะไรกันมา ดูโคลนตามเนื้อตามตัวพวกเ้าสิ ไปแอบเล่นสนุกตามประสาหนุ่มสาวมาอย่างนั้นหรือ ฮ่า ๆ ๆ ...”
คำพูดของอวิ๋นฉี่ช่างสกปรกและไม่น่าฟัง กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็หัวเราะเสียงดังเช่นกัน
ั้แ่เล็กจนโตอูิหลิงไม่เคยได้ยินคำพูดที่โสมมเช่นนี้มาก่อน จึงทำให้ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธ ในทางกลับกันหลิ่วไป๋เจ๋อกลับดูสงบราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด
“คุณชายใหญ่อวิ๋นคงมีเวลาว่าง ถึงได้นำฝูงสุนัขออกมาเดินเล่นเช่นนี้ มิชั่งน้ำหนักดูหน่อยหรือว่าฝีมือการต่อสู้ของพวกเ้านั้นเป็ได้เพียงแนวหลัง การมายังแนวหน้าเช่นนี้มีแต่จะถูกสัตว์ร้ายสังหาร”
“เ้าด่าว่าพวกข้าเป็สุนัขหรือ!” คนเ่าั้แสดงท่าทางดุร้าย กัดฟันมองไปยังอูิหลิง
อูิหลิงไม่ใช่คนอ่อนแอ ความแข็งแกร่งและเย่อหยิ่งถูกหลอมรวมมาจากหุบเขาไป่หลิง
“ทำไมล่ะ จะบอกว่าพวกเ้าไม่ได้เป็อย่างนั้นหรอกหรือ ขณะนี้ดินแดนเจ๋อตกอยู่ในภาวะวิกฤติ การที่คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานไม่ให้ความร่วมมือกับคนอื่นๆ ยังไม่เท่าไร แต่กลับมาใช้กลอุบายทำร้ายกันลับหลังเช่นนี้ รู้ไหมว่ามีคนถูกสัตว์ร้ายฆ่าเพราะคำโกหกของพวกเ้า”
อวิ๋นฉี่เผชิญหน้าด้วยความโกรธ “แม่นางอู โปรดอย่าพูดจาใส่ร้ายผู้อื่น!”
“ข้าใส่ร้ายอย่างนั้นหรือ ฮึ! ได้ เ้ากล้าให้น้องชายของเ้ามาที่นี่ไหมล่ะ อยากได้ยินจากปากเขาเสียจริงว่าคนเจ็บนับพันที่เขาบอกนั้นอยู่ไหน เหตุใดเมื่อข้ารีบเร่งพาหมอเข้ามากลับไม่พบใครสักคน มีแต่สัตว์ร้ายนับไม่ถ้วน!”
หลังจากที่อวิ๋นฉี่ได้ยิน เพลิงโทสะในใจก็โหมกระหน่ำ ฝีมือเ้าอวิ๋นจวาอีกแล้วหรือ! ั้แ่มาถึงเทือกเขาจู่เสียน้องชายผู้นี้ก็ไม่ปล่อยให้เขาได้อยู่อย่างสบายใจเลย หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าถ้าปล่อยให้อยู่ที่คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานแล้วอาจก่อความวุ่นวาย ก็คงไม่พาคนโง่เขลาแบบนั้นมาด้วยหรอก เ้านั่นมีสมองบ้างไหมนะ เหตุใดถึงกล้าทำร้ายผู้อื่นซึ่งหน้าเช่นนี้!
ไม่ได้ จะปล่อยให้เ้าเด็กนั่นทำลายชื่อเสียงของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานไม่ได้อีก เขาไม่อยากถูกชี้นิ้วด่าในยามคับขันเช่นนี้
“ทำไม ไม่กล้าหรือ”
กลิ่นอายแข็งแกร่งของอูิหลิงแผ่ออกมามากขึ้น อูิโยวที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้จึงใมาก ปกติยามที่อยู่กับเขา พี่สาวจะไม่เผยอารมณ์อันรุนแรงเด็ดขาด นอกจากที่เข้มงวดมากไปหน่อย นางก็ไม่เคยแสดงท่าทีต่อต้านเช่นนี้มาก่อน จากการเติบโตมาด้วยกัน เขารู้ว่าพี่สาวไม่ใช่คนธรรมดา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ลบล้างภาพลักษณ์อันอ่อนโยนและสง่างามของอีกฝ่ายในใจเขาไปหมดสิ้น ภายภาคหน้าเขาอาจกล้ายั่วยุพี่ใหญ่ แต่ไม่มีทางยั่วยุท่านพี่หญิงอย่างแน่นอน
อูิโยวรู้สึกรำคาญคนจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานที่อยู่เบื้องหน้าเป็อย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น ดูแค่คำพูดแสนสกปรกที่เอ่ยกับหลิ่วไป๋เจ๋อและท่านพี่หญิงของเขา ก็อยากจะสังหารคนพวกนี้เสียจริง หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้หลิ่วไป๋เจ๋อกำชับไว้ว่าห้ามออกมาเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดเื่อะไร เขาคงลงมือกับคนพวกนี้ให้หาที่ฝังศพไม่ได้
หลิ่วไป๋เจ๋อหันหลังให้อูิโยว ยกมือดีดนิ้วที่ด้านหลัง ก้อนกรวดเล็กๆ ถูกดีดโดนใบหูอีกฝ่าย พอรู้สึกเจ็บเล็กน้อยิโยวก็ดึงสติกลับมา เขารู้ว่าเมื่อครู่ตนเองเกิดสับสนจนเหมือนเหม่อลอยอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่เพราะหลิ่วไป๋เจ๋อเตือนสติ บางทีเขาอาจจะสูญเสียการควบคุมตนเองไป
——————————————
