เมื่อมองรอยยิ้มของสวี่ชิวเยวี่ย ฟังคำพูดฉะฉานของนาง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็รู้สึกเบาใจลงได้เล็กน้อย แม้ว่าอาหารมื้อนี้จะน่าหงุดหงิดไปหน่อย อีกทั้งซี่โครงเปรี้ยวหวานที่กินไปก็เลี่ยนจนยากจะรับไปบ้าง แต่อย่างน้อยท้องก็ไม่ร้องจ๊อกๆ แล้ว สำหรับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเื่นี้ก็นับว่าดีขึ้นนิดหน่อยแล้วล่ะ
ทว่าหากสวี่ชิวเยวี่ยเอาแต่จ้องมองตนอยู่ตลอด มันก็น่าขนหัวลุกอยู่สักหน่อย อีกทั้งไม่รู้ว่าในวินาทีต่อไปสวี่ชิวเยวี่ยจะเล่นไม่ซื่ออะไรกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหรือไม่ หากจู่ๆ นางค้นพบว่าเปี่ยวเกอที่ตนเรียกหามานานขนาดนี้ แท้จริงแล้วเป็สตรีเช่นเดียวกันละก็ คงจะน่าเวทนาน่าดู
หากถึงตอนนั้นจริงๆ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็คงต้องใคร่ครวญว่าฆ่าคนปิดปากจึงจะเหมาะสม หรือตัดลิ้นไม่ให้นางพูดจะเมตตากว่า
เพื่อที่จะไม่ให้เกิดสถานการณ์อันแปลกประหลาดพวกนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่นึกว่าตนเองจะทนไม่ไหว เรอออกมาอีกครั้งหนึ่ง…
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่แข็งทื่ออยู่กับที่ปิดปากตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว ทั้งเก้อเขินและอึดอัดอย่างยิ่ง กระทั่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีเพื่อคลี่คลายความอึดอัดนี้ โชคดีที่สวี่ชิวเยวี่ยเป็สาวน้อยที่เชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่าทาง นางรีบยืนขึ้นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วเอ่ยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ยามนี้ก็ถือว่ารบกวนเวลาของเปี่ยวเกอมากแล้ว ในเมื่อเปี่ยวเกอกินซี่โครงเปรี้ยวหวานจานเดียวก็อิ่มขนาดนี้ เช่นนั้นชิวเยวี่ยก็วางใจแล้ว ชิวเยวี่ยเองก็ควรรีบกลับสักหน่อย ไม่รบกวนเปี่ยวเกอแล้วนะเ้าคะ~”
หางเสียงที่ยกขึ้นอย่างไพเราะ ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผวาจนตัวสั่นสะท้าน เพื่อไม่ให้เรอออกมาอีกตอนเอ่ยปากพูด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงเอามือปิดปากไว้แล้วเพียงพยักหน้าตอบรับ
สวี่ชิวเยวี่ยก้มหน้าเตรียมจะเก็บกวาดของเหลือบนโต๊ะอาหาร กลับถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกมือยั้งไว้ สวี่ชิวเยวี่ยมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่กลับได้ยินเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยังคงใช้มือปิดปากเอาเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้ “อืม ของพวกนี้เ้า... เ้าไม่ต้องเก็บก็ได้... รออีกเดี๋ยวให้แม่ชีที่ทำความสะอาดห้องหรือบ่าวของเรามาเก็บกวาดไปก็แล้วกัน”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ นิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เ้าไปทำอะไรก็ไปก่อนเถอะ... ไปเถอะ...”
แม้จะรู้สึกว่าครั้งนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วระแวดระวังเกิดไปหน่อย แต่สีหน้าสับสนบนใบหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยนั้นก็มลายหายไปในพริบตา นางย่อตัวคำนับไปทางเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเอ่ยด้วยความเคารพ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นชิวเยวี่ยก็ขอตัวก่อนนะเ้าคะ...” พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินไป แต่เพียงเพิ่งจะถึงประตูก็กลับหยุดฝีเท้าลง
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มองส่งสวี่ชิวเยวี่ยจากไปอยู่เห็นเป็เช่นนั้นก็ประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย พลันขมวดคิ้วมองการเคลื่อนไหวของสวี่ชิวเยวี่ยอยู่ด้านหลังอย่างอดไม่ได้ เห็นเพียงสวี่ชิวเยวี่ยหันตัวกลับมาด้วยสีหน้าชื่นบาน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เปี่ยวเกอ... ยามดึกในป่านั้นมาถึงเร็ว ลมกลางคืนหนาวเหน็บ เข้านอนยามค่ำคืนก็ห่มผ้าให้ดีๆ อย่าให้ชิวเยวี่ยเป็ห่วงนะเ้าคะ...”
พูดจบ สวี่ชิวเยวี่ยก็หันหลังเดินหายลับไปอย่างรวดเร็ว
พูดตามตรง คำพูดที่สวี่ชิวเยวี่ยเอ่ยก่อนจะเดินจากไป ก็ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสับสนงุนงงไม่น้อยเลย ถึงอย่างไรตนก็เหมือนจะไม่เคยยกเื่ที่เกี่ยวกับการนอนขึ้นพูดมาเลยนี่นา?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่แบกความแปลกใจสามส่วนและแคลงใจสามส่วนเอาไว้ในใจปิดประตูห้องลงอย่างระวังรอบคอบยิ่ง แต่ตอนที่ใส่กลอนประตูก็บังเอิญนึกถึงเยวี่ยเจาหรานขึ้นมา…
ถึงอย่างไรตอนก่อนจะออกเดินทางเยวี่ยเจาหรานก็เคยพูดกับตนเอาไว้ หากมีเวลาเขาจะพยายามกลับมาอยู่ข้างกายตนให้ได้ ยังบอกว่าเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกับสวี่ชิวเยวี่ยอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคน เขาไม่ไว้ใจเลยจริงๆ
เมื่อเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มือจับกลอนประตูคิดถึงเื่นี้ ก็ก้มหน้าลงหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้ หรือไม่ว่าต้องลงกลอนประตูดี? อย่างไรที่อารามชีแห่งนี้ก็คงไม่มีเื่ประหลาดอันใดเกิดขึ้นหรอกกระมัง ยิ่งกว่านั้นตนเองก็มีวรยุทธ์อยู่ แค่หัวขโมยธรรมดาคงทำอะไรตนไม่ได้หรอก
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ บางทีหากเยวี่ยเจาหรานคลำทางกลับมายามดึกดื่นเที่ยงคืน ตนก็ี้เีจะลงจากเตียงไปเปิดประตูให้เขาเสียด้วย
เพื่อไม่ให้เยวี่ยเจาหรานทนหนาวอยู่หน้าประตูครึ่งค่อนคืน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่คิดอยู่หลายตลบก็ตัดสินใจไม่ลงกลอนประตู แล้ววิ่งขึ้นเตียงล้มตัวลงเตรียมเข้านอน
แสงจันทร์ในหุบเขานั้นส่องสว่างเป็พิเศษ แสงลอดผ่านลายฉลุบนหน้าต่างฉายส่องเข้ามาภายในห้อง ดวงตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทอดมองไปยังแสงจันทร์ ในหัวคิดว่าเยวี่ยเจาหรานกลับไปด้วยเื่อันใดกันแน่ ในขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว สติก็เริ่มเลือนไปอย่างช้าๆ ก่อนจมลงสู่ห้วงนิทราลึก
อาจเป็เพราะเร่งเดินทางจึงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อยู่ในความฝันจึงไม่มีความระแวดระวังดังปกติ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังขึ้นตอนที่ประตูไม้ของห้องตนถูกเปิดออกนั้นได้เลย…
“เปี่ยวเกอ...?”
เสียงของสวี่ชิวเยวี่ยเบามาก ทั้งยังเอ่ยด้วยเสียงพึมพำไม่ชัดเจน ราวกับดังมาจากที่อันแสนไกล เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่หลับสนิทอยู่บนเตียงกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย นางยังคงส่งเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
สวี่ชิวเยวี่ยนั่งคุกเข่าลงข้างเตียงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ค่อยๆ ถอดรองเท้าปักลายของตนออกอย่างเบามือ ขนตายาวโค้งงอนนั้นเห็นได้ชัดเป็พิเศษภายใต้แสงจันทร์ ลำคอขาวสะอาดของสวี่ชิวเยวี่ยเผยออกมาภายนอก และยิ่งขาวผ่องเป็พิเศษยามเมื่อสะท้อนแสงจันทร์…
สวี่ชิวเยวี่ยที่เคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าถอดเสื้อคลุมออกไปแล้วั้แ่เมื่อไร สวมเพียงกระโปรงบางเบาเพียงชั้นเดียว นางค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปในเครื่องนอนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ไม่ทันไร สวี่ชิวเยวี่ยก็ล้มตัวลงนอนข้างกายของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ทั้งสองอยู่บนเตียงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน หากคนนอกมาเห็นเข้า คงจะนึกว่านี่เป็คู่รักที่งดงามสมกันเป็แน่
สวี่ชิวเยวี่ยพรูลมหายใจอุ่น ริมฝีปากของนางประทับลงบนหลังต้นคอร้อนผ่าวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแ่เบา และด้วยการกระทำนั้นเอง ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ร่างกายร้อนรุ่มเล็กน้อยสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ใครน่ะ...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตื่นขึ้นท่ามกลางความขมุกขมัว แต่กลับรู้สึกราวกับทั่วทั้งร่างร้อนระอุราวกับไฟเผา ข้างกายแนบติดร่างร้อนผ่าวเช่นเดียวกันร่างหนึ่ง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตกตะลึงจนแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเขยื้อน
สวี่ชิวเยวี่ยนั้นไม่ได้พูดอะไร แต่มือกลับยังคงขยับไล้ไปบนร่างของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างอยู่ไม่สุข เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่หลงเหลือสติอยู่น้อยนิดรู้ถึงความร้ายแรงของเื่นี้ดี หากถูกคนพบเข้าว่าตนไม่ใช่บุรุษจริงๆ เช่นนั้นเื่ทั้งหมดก็คงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจจินตนาการได้... ดูเหมือนจะช้าแต่กลับเร็วอย่างคาดไม่ถึง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกมือขึ้นคว้าจับข้อมือเล็กของสวี่ชิวเยวี่ยเอาไว้ เอ่ยเสียงเด็ดขาด “สวี่ชิวเยวี่ย!”
สวี่ชิวเยวี่ยที่มือถูกคว้าจับเอาไว้กะทันหันไม่ได้ใจนร้องเสียงหลง ตรงกันข้ามกลับมีอารมณ์ร่วมเสียอีก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใจไม่ดี พลันรู้ตัวว่าอาหารมื้อนั้นในวันนี้จะต้องมีอะไรอยู่แน่…
ทว่าอาหารที่ตนกินเข้าไปก็ล้วนเป็สิ่งที่สวี่ชิวเยวี่ยกินด้วยทั้งนั้น ทั้งจอกที่ตนใช้ดื่มเหล้าเองก็เป็จอกที่สวี่ชิวเยวี่ยใช้ อย่าบอกนะว่า...?
“เปี่ยวเกอ... อย่าไปนะเปี่ยวเกอ...” สวี่ชิวเยวี่ยที่อยู่ข้างกายกอดรัดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้ น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนแฝงความเย้ายวน ไม่ทันรู้ตัวนางก็แผ่ความยั่วยวนออกมาไม่น้อย “เปี่ยวเกอ... อย่าให้ชิวเยวี่ยแต่งงานกับคนอื่นเลย วอนท่าน... วอนท่านชิวเยวี่ยเถิด...”
เหลวไหล! ช่างเหลวไหลเกินไปแล้ว!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในยามนั้นเพิ่งจะรู้ว่า คำว่าไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวที่ตนพูดกับสวี่ชิวเยวี่ยในตอนแรกนั้นมันเบาเกินไปจริงๆ สมควรจะใช้คำว่าต่ำตมมานิยามนางเสียมากกว่า!
“สวี่ชิวเยวี่ย... นี่เ้า...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่รู้ตัวแล้วว่าร่างกายของตนถูกคนวางยาอะไรบางอย่างนั้นรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา แต่มือกลับยังคงจับสวี่ชิวเยวี่ยเอาไว้ไม่ให้นางเคลื่อนไหว พร้อมกับแอบรวบรวมกำลัง คิดจะใช้กำลังภายในขจัดฤทธิ์ยาในร่างกายออกไป...
