บทที่ 23 อยากฆ่าคน
หลังจากโม่เต้าจื่อกลับมาถึงหอคัมภีร์ก็เอาแต่นิ่งเงียบ
หลิงหยุนจื่อที่นั่งสมาธิเข้าฌานอยู่จึงได้ลืมตาขึ้นมามองเขา แม้แต่ลูกศิษย์เฝ้ายามทั้งสองคนก็ต้องหยุดงานและปิดหอคัมภีร์ในคืนนี้
“เื่ค่อนข้างยุ่งยากกว่าที่คิด” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โม่เต้าจื่อก็ลืมตาขึ้นมา
“ศิษย์พี่ เ้าคนชุดดำคนนั้นเป็ใครกัน เป็พวกเดียวกับฉินชูหรือ เ้าฉินชูยังรังควานให้ศิษย์พี่ใช้วิชาย้อนนิมิตเมื่อสืบชาติกำเนิดของตัวเองอยู่หรือไม่ เขาอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งแลกเปลี่ยนที่ศิษย์พี่จะต้องแลกกับการใช้วิชานี้มันแพงเกินไป” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้น
โม่เต้าจื่อส่ายหน้า “ชายชุดดำคนนั้นมาเพื่อฆ่าฉินชู เ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดา หากคิดในแง่ดี การบ่มเพาะเลี้ยงดูเขา สำนักชิงหยุนของพวกเรามีโอกาสลุกผงาดและเรืองอำนาจที่สุดในใต้หล้า แต่ในเวลาเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ดีไม่ดีสำนักชิงหยุนของพวกเราก็อาจล่มสลายได้”
“พวกเราสู้ไม่ได้หรือ” ดวงตาของหลิงหยุนจื่อเต็มไปด้วยความใ เขาไม่คิดว่าโม่เต้าจื่อจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้
“เมื่อครู่ชายชุดดำกล้าบุกเข้ามาฆ่าฉินชูโดยไม่สนใจสำนักชิงหยุนของพวกเราแม้แต่น้อย พูดให้ถูก มันดูเหมือนไม่แยแสสำนักของพวกเราด้วยซ้ำ แค่นี้ก็พอเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา พวกเราล้วนรู้ดีว่ากองกำลังที่เกี่ยวข้องกับเืศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็บุคคลผู้สูงส่งทรงอิทธิพลมากแค่ไหน พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเราจะเอาชนะได้โดยง่าย” โม่เต้าจื่อพูดต่อ
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้โชคชะตานำทางไป ฉินชูเป็เพียงศิษย์รับใช้แห่งยอดเขาชิงจู๋ ปัญหาส่วนตัวของเขาคงไม่เกี่ยวอะไรกับสำนักของพวกเราหรอกกระมัง” นิ่งเงียบไปพักใหญ่ หลิงหยุนจื่อก็พูดขึ้น ใช่ว่าเขาขี้ขลาดหวาดกลัว แต่เนื่องจากกองกำลังที่มีส่วนพัวพันกับเืศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สำนักชิงหยุนจะต้านทานได้ อีกอย่างจะให้ทั้งสำนักลุกขึ้นต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนี้เพื่อศิษย์รับใช้เพียงคนเดียวคงไม่คุ้มค่ากัน ต่อให้ศิษย์รับใช้คนนี้จะโดดเด่นมีพร์ก็ตาม
โม่เต้าจื่อเงยหน้ามองไปทางยอดเขาชิงจู๋ “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดแบบนี้ แต่พอรอบนี้ตามไปดูกลับเห็นฉากต่อสู้ที่ไม่คาดฝัน เ้าหนูฉินชูเข้าถึงแก่นแท้ของพลังขั้นเจี้ยนหลิงแล้ว...”
โครม!
หินสำริดใต้เบาะอาสนะที่หลิงหยุนจื่อนั่งอยู่พังทลายลงทันที เขาไม่สามารถยับยั้งมวลพลังปราณที่พลุ่งพล่านออกมาได้ ทั้งนี้ก็เพราะคำพูดของโม่เต้าจื่อทำเอาเขาใสุดขีด
“ในประวัติศาสตร์ของสำนักชิงหยุน นอกจากท่านบรรพชนผู้บุกเบิกก่อตั้งสำนัก ก็มีแต่ศิษย์พี่เท่านั้นที่เข้าถึงและควบคุมพลังขั้นเจี้ยนหลิงได้ ทำให้สำนักกองกำลังรอบๆ ไม่กล้าหืออือกับสำนักชิงหยุน ในเมื่อเ้าหนูนี่สามารถเข้าถึงพลังนี้ได้ พวกเ้าก็ต้องปกป้องคุ้มครองเขา” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นรำไร
“ถึงแม้ว่าข้าจะควบคุมพลังขั้นเจี้ยนหลิงได้ แต่พร์ในการฝึกตนของข้ากลับธรรมดายิ่งนัก ดังนั้นข้า จึงเลือกฝึกในวิถีอภิปรัชญาโหราพยากรณ์ แต่เ้าหนูฉินชูกลับต่างออกไป พร์ในการต่อสู้ของเขาล้ำเลิศจนน่าใ อีกทั้งยังขัดเกลาวิชากระบี่พื้นฐานจนถึงขั้นที่สามารถขึ้นเป็ศาสดาจารย์แขนงนี้ได้เลย ทุกๆ ท่วงท่าการเคลื่อนไหวพลิ้วไหวดุจสายน้ำไม่ขาดห้วง ช่างเป็อัจฉริยะผู้เปี่ยมด้วยพร์จริงๆ แต่ถ้าพวกเราปกป้องเลี้ยงดูเขา ก็เท่ากับว่าต้องแบกรับอันตรายอันใหญ่หลวงไปในเวลาเดียวกัน หากไม่รอบคอบ สำนักชิงหยุนคงถึงคราวต้องล่มสลายและพวกเราก็จะกลายเป็ผู้ทำลายสำนักชิงหยุนเอง” โม่เต้าจื่อระบายความกังวลภายในใจออกมา
“สำนักชิงหยุนถูกกดดันจากสำนักอื่นๆ เกินไป หากไม่ทำอะไรสักอย่าง พวกเรายังจะประคองสถานการณ์แบบนี้ไว้ได้นานแค่ไหนกัน” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้น ภายในใจเขาเริ่มอยากเก็บฉินชูเอาไว้เลี้ยงดูต่อ
“ข้ารู้ เช่นนั้นก็เลี้ยงดูเขาไปก่อนแล้วกัน มาดูกันว่าเขาจะพัฒนาตัวเองไปได้ไกลแค่ไหน” โม่เต้าจื่อตัดสินใจขึ้น
“ตอนนี้ลูกศิษย์แห่งยอดเขาหลักชิงหยุน ซั่งชูอวี๋ก็สามารถเข้าถึงพลังแก่นแท้แห่งวิถีกระบี่ได้เช่นกัน ถือว่าเป็เื่น่ายินดียิ่งนัก แต่เห็นได้ชัดว่าทางฝั่งของฉินชูน่าอัศจรรย์ใจมากกว่า จะบอกว่าเป็ที่สุดของคนหนุ่มสาวในยุคนี้แล้วก็ไม่เกินจริง” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้นอย่างครั่นคร้ามใจ
ตอนนี้บรรยากาศที่ลานหอศิษย์รับใช้แห่งยอดเขาชิงจู๋เงียบสงบลงแล้ว ไม่มีลูกศิษย์สายนอกคนไหนมาท้าสู้อีก ทำให้ไม่มีศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาชิงหยุนมาชมการต่อสู้ไปโดยปริยาย ฉินชูจึงทุ่มเวลาและแรงใจทั้งหมดไปกับการฝึกตนที่ผาหินตัด โดยมีเอ้อพั่งคอยมาส่งข้าวส่งน้ำให้ตรงเวลาทุกมื้อ
เวลาครึ่งเดือนคล้อยผ่าน ในที่สุดฉินชูก็บรรลุตบะขั้นจวี้หยวนระดับเก้า อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นที่สองหนิงหยวน
คนในกลุ่มของหลิ่วเจ๋อเริ่มััได้ถึงสัญญาณอันตราย เพราะพวกเขาจับตาดูพัฒนาการของฉินชูอยู่ตลอดเวลา ขืนปล่อยให้ฉินชูรักษาพัฒนาการในระดับนี้ต่อไป เกรงว่าไม่นานศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาหลักชิงหยุนคงไม่อาจต้านทานได้ หากฉินชูเอาชนะการท้าประลองได้ ยอดเขาชิงหยุนต้องเสียหน้าย่อยยับแน่นอน และคนที่เป็ต้นเหตุอย่างพวกเขาจะต้องถูกดูถูก ดีไม่ดีอาจถูกทางสำนักลงโทษก็เป็ได้
“นายหญิง ยังไม่มีข่าวคราวของหลินชางกับมู่เหย่เลยขอรับ ไม่แน่อาจเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาก็เป็ได้” หลิ่วหยุนพูดขึ้น
หลิ่วเจ๋อคือบุตรสาวแห่งเ้าเมืองเชียนหลิ่ว ส่วนหลิ่วหยุนคือผู้ติดตามของเธอ เขาตามเข้ามาในสำนักชิงหยุนก็เพื่อคอยรับใช้เธอ
“ส่งคนไปสืบที่ยอดเขาชิงจู๋ แล้วหาโอกาสลอบสังหารเขาเสีย ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่เขามาท้าประลองที่ยอดเขาของพวกเรา” หลิ่วเจ๋อสั่งหลิ่วหยุน
ในแต่ละวัน นอกจากฝึกฝนพลังปราณแล้ว ฉินชูก็เอาแต่ฝึกกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานซ้ำไปซ้ำมา เนื่องจากมีทรัพยากรฝึกตนไม่ขาดมือ จึงไม่ต้องออกไปทำภารกิจ ส่วนไป๋อวี้ก็เช่นกัน วันๆ เอาแต่ฝึกตนอย่างแข็งขัน เพราะกลัวว่าจะตามฉินชูไม่ทัน
วันนี้หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ อยู่ๆ ฉินชูก็ปวดท้องขึ้นมาราวกับถูกมีดคว้าน เขารับรู้ได้ทันทีว่าถูกวางยาพิษลงในอาหาร
ขณะที่ฉินชูกำลังปวดทรมานอยู่นั้น ก็มีคนสองสามคนโผล่มายังผาหินตัด ซึ่งคนที่มาก็คือหลิ่วเจ๋อ หลิ่วหยุนและหลี่ปัว โดยหลี่ปัวเป็คนหลอกใช้ลูกศิษย์ในโรงครัว โดยการจัดส่งอาหารมาให้หอศิษย์รับใช้ และเตรียมสำรับพิเศษให้ฉินชูโดยเฉพาะ เพื่อเป็การตอบแทนฉินชูที่มอบเนื้ออสรพิษให้กับทางโรงครัว
ทางโรงครัวกับเอ้อพั่งไม่แม้แต่จะเอะใจ จึงส่งอาหารสำรับนั้นให้ฉินชู
“เ้าพวกขี้ขลาด” เมื่อเห็นพวกหลิ่วเจ๋อ ฉินชูก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แท้เป็ฝีมือของคนพวกนี้นี่เอง
“โอสถบิดลำไส้ แกตายแน่ วันนี้ผาหินตัดแห่งนี้จะกลายเป็สุสานของแก” หลิ่วเจ๋อมองฉินชูด้วยสีหน้าอำมหิต ภายในใจคิดว่าฉินชูจะต้องตายไปอย่างเงียบๆ ณ ที่แห่งนี้
สีหน้าของฉินชูซีดลง เขาจุกท้องจนพูดไม่ออก โอสถบิดลำไส้เป็ยาพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง
“มีคนมา พวกเราไปกันเถอะ ระวังอย่าให้ใครเห็น” ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หลิ่วเจ๋อ หลิ่วหยุนและหลี่ปัวก็รีบจากไปทันที ตอนนี้ฉินชูพูดไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่กังวลว่าจะถูกจับได้ในเวลาอันรวดเร็ว
คนที่มายังผาหินตัดคือไป๋อวี้ ตอนนี้เขาบรรลุตบะขั้นที่สามเจินหยวนแล้ว เขาดีใจกับความสำเร็จครั้งนี้เป็อย่างมาก จึงคิดจะแวะมาท้าสู้กับฉินชูเสียหน่อย
แต่เมื่อเห็นฉินชูนอนล้มอยู่ที่พื้น เขาก็ใสุดขีดและวิ่งเข้ามาใกล้ๆ ก่อนพยุงฉินชูลุกขึ้นนั่ง
“ลูกพี่เป็อะไรไป” ไป๋อวี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมาฉินชู
“พิษ...” มือสองข้างยกขึ้นกุมคอ ร่างกายเกร็งกระตุกไม่หยุด ฉินชูพยายามพูดออกมาอย่างทรมาน
ไป๋อวี้รีบควักขวดสีขาวในเข็มขัดเก็บของออกมา จากนั้นก็เทโอสถออกมาหนึ่งเม็ดและรีบยัดใส่ปากฉินชู “นี่เป็โอสถป้องกันตัวของลูกศิษย์ตระกูลข้า มันจะต้องถอนพิษได้แน่นอน”
หลังจากกินเข้าไป เหงื่อกาฬบนใบหน้าของฉินชูยังคงผุดซึมออกมาไม่หยุด แต่อาการเกร็งกระตุกทั่วร่างกายหยุดลงแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สีหน้าของฉินชูก็ดีขึ้นมาก
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ไป๋อวี้ถามฉินชู
“ถูกคนวางยาพิษใส่อาหาร เมื่อข้าหายดีแล้ว เื่แรกที่ข้าจะทำคือฆ่าพวกมัน รบกวนเ้าไปจับตัวลูกศิษย์จากโรงครัวที่ส่งข้าวเย็นมาให้ข้าวันนี้หน่อย แล้วมัดไว้ที่หอศิษย์รับใช้ คุ้มกันพยานคนนี้ให้ดี แล้วทางสำนักจะต้องเห็นด้วยกับการฆ่าคนวันพรุ่งนี้ของข้า” การกระทำอันขี้ขลาดของหลิ่วเจ๋อกับหลี่ปัวทำเอาฉินชูโกรธจัดเข้าเสียแล้ว