เมื่อกินข้าวเสร็จ อวิ๋นซีก็พาหวานหว่านที่กินอาหารจนมือมันไปหมดแล้วไปล้างมือ นางพูดเสียงเบา “หวานหว่าน ครั้งหน้าเวลากินข้าวห้ามใช้มือหยิบอาหารอีกเป็อันขาด รู้หรือไม่? ”
เมื่อก่อนยามกินข้าวอยู่ในจวน นางเห็นหวานหว่านก็มักกินได้อย่างเรียบร้อยดี แต่เหตุใดเมื่อมาถึงที่นี่ คนกลับใช้มือหยิบอาหารใส่ปากแทนเสียได้
“ท่านแม่ อร่อย” หวานหว่านมองมารดาตนด้วยสีหน้าน้อยใจ นั่นเพราะอาหารที่มารดาทำอร่อยเหลือเกิน หากให้ใช้ช้อนกินก็คงช้าเกินไป ดังนั้น นางจึงตัดสินใจใช้มือแทน แต่เมื่อเห็นท่านแม่โกรธเช่นนี้ นางก็ได้แต่ต้องบอกตัวเองในใจว่า ครั้งหน้าห้ามทำเช่นนั้นอีก ไม่อย่างนั้นท่านแม่จะโกรธ ไม่พอใจ
“ถึงจะอร่อยก็ต้องค่อยๆ กิน หากว่าชอบ วันหน้าแม่จะทำให้หวานหว่านกินอีก แต่การใช้มือหยิบของกินนั้นไม่ดี ไม่สง่างาม อีกทั้ง หากล้างมือไม่สะอาดก็อาจมีสิ่งสกปรกติดอยู่ เมื่อกินเข้าไปจะทำให้เ้าปวดท้อง” นางช่วยเช็ดมือให้อีกฝ่ายจนแห้งสนิท จากนั้นจึงส่งยิ้มให้พลางลูบศีรษะบุตรสาว
เหตุใดบุตรสาวนางถึงได้น่ารักเพียงนี้ เพราะว่าอร่อยจึงใช้มือหยิบ?
เมื่อเข้าสู่ค่ำคืนที่หนึ่งในจางเจียวาน แม่นมก็พาหวานหว่านไปนอนด้วย ขณะนั้นจวินเหยียนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมาก็เห็นว่าอวิ๋นซีกำลังอ่านตำราอยู่เล่มหนึ่ง ก่อนหน้านี้นางได้นำตำราที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์มนุษย์ทุกเล่มที่เมื่อสองวันก่อนได้ให้คนรวบรวมไว้ติดมาที่นี่ด้วย ส่วนในตอนนี้ที่กำลังอ่านอยู่คือตำราเกี่ยวกับเมืองอู้
เมื่อได้เห็นนางลงแรงถึงเพียงนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงหานโจว จวินเหยียนก็รู้สึกว่า การที่ได้รู้จักนางนับเป็โชคดีสามชาติ [1] จริงๆ ถึงกระนั้นเขากลับเลือกที่จะเดินเข้าไปใกล้ และดึงตำราเล่มนั้นออกมาจากมือนาง จากนั้นจึงพูดขึ้น “กลางคืนแสงสว่างไม่พอ อย่าอ่านตำราอีกเลย หากว่าเสียสายตาไปจะได้ไม่คุ้มเสีย”
อวิ๋นซีพยักหน้า “ข้าไปอาบน้ำก่อน”
อวิ๋นซีเข้าไปในห้องอาบน้ำ และในตอนที่นางกำลังแช่น้ำอย่างสบายตัวในอ่างไม้นั้นเอง จู่ๆ ที่นอกหน้าต่างก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามา ฉับพลันนั้นนางก็ะโเสียงดัง “จวินเหยียน!! ”
ยามนี้นางอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง ์ นางคงไม่โชคดีขนาดนี้กระมัง มาถึงที่นี่วันแรกก็มีงูมาอุปถัมภ์เสียแล้ว
จวินเหยียนได้ยินเสียงร้องตระหนกใราวกับคนทำอะไรไม่ถูกของอวิ๋นซีก็ไม่มีเวลามารีรอ รีบพุ่งกายเข้าไปด้านในทันที จากนั้นจึงได้เห็นอวิ๋นซีที่มีสีหน้าซีดขาวกำลังชี้นิ้วไปที่หน้าต่าง ซึ่งมีงูสีไผ่เขียวกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาดุร้าย “จวินเหยียน งู งู”
เมื่อจวินเหยียนเห็นเช่นนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนจะซัดพลังฝ่ามือออกไปทีหนึ่งจนงูสีเขียวไผ่ตัวนั้นกระเด็นออกไปนอกกำแพงอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปดูยังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงปิดบานหน้าต่าง และเมื่อหมุนกายกลับมาก็เห็นอวิ๋นซีที่ยังคงตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว จึงลอบคิดอยู่ในใจว่า นางกลัวงูเพียงนี้ แต่ตอนที่อยู่ในแม่น้ำใต้ดินนั่นกลับหาญกล้าต่อกรกับงูหลามั์
“เอาล่ะ ไม่เป็ไรแล้ว” เดิมทีเขาคิดจะเดินเข้าไปหา แต่เมื่อตระหนักได้ว่ายามนี้นางไม่ได้สวมอาภรณ์ใดอยู่บนร่างเลย หากตนเดินเข้าไปจนทำให้นางโกรธขึ้นมาก็จะแย่เอาได้ เพราะตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรหรือทำเื่อะไรก็ล้วนต้องคิดแล้วคิดอีกสามสี่รอบถึงค่อยทำด้วยเกรงว่าจะไปทำให้ท่านย่าผู้นี้โกรธเข้า
“ท่านออกไปก่อน ข้าจะสวมเสื้อผ้า” ดีที่คืนนี้เขาหน้าหนาพอจะรั้งอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นนางคงได้ใจนเป็ลมไปแล้วเป็แน่
จวินเหยียนทำเพียงมองนางด้วยความคิดลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไป
เมื่ออวิ๋นซีเห็นเขาเดินออกไปแล้วถึงได้ลุกขึ้น หากว่าจวินเหยียนยังอยู่จะต้องเห็นปานรูปดอกกล้วยไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ตรงบริเวณเอวของนางแน่
ทันทีที่แต่งกายเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินออกไป ก่อนจะพูดกับเขา “คืนนี้โชคดีที่มีท่านอยู่ด้วย” ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่นี่คือเื่จริง
“ปกป้องภรรยาเป็เื่ที่ข้าควรทำ เมื่อครู่ข้าได้ให้คนไปสาดกำมะถันรอบๆ เรือนแล้ว ตอนนี้ที่นี่อยู่ใน่อากาศร้อน ทั้งยังเป็พื้นที่ที่อยู่ติดกับูเา หากจะมีงูก็ถือเป็เื่ปกติยิ่ง ต้องโทษข้าที่ไม่ดีเอง ไม่ได้คิดให้รอบคอบจนเป็เหตุให้เ้าต้องตื่นใ”
อวิ๋นซีได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “ข้าอยากนอนแล้ว” นางไม่มีทางบอกจวินเหยียนว่า แค่นางคิดถึงงู ทั่วทั้งร่างก็แทบจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ได้ นอนเถอะ” เขายิ้มขณะเดินเข้าไปโอบบ่านาง เพื่อพาเดินไปยังข้างเตียง ถึงแม้นางจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็ทราบดีว่าตอนนี้นางยังคงหวาดกลัวอยู่นิดหน่อย อีกทั้ง ตอนที่เดินออกมาก็พอจะดูออกว่าร่างบางนั้นอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่า หากปล่อยให้เดินเอง ประเดี๋ยวนางจะหมดแรงจนล้มพับไป
อวิ๋นซีดิ้นรน ก่อนจะค้นพบว่าเรี่ยวแรงของนางกับเขาต่างกันมากเกินไป ยิ่งถูกงูสีเขียวไผ่นั่นทำให้ใเข้า ยามนี้ก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา
“พอเถิด อย่าดื้ออีกเลย เปิ่นหวางรับรองว่าจะไม่ทำอะไรเ้าทั้งนั้น พวกเรานอนด้วยกันมาตั้งหลายคืนแล้ว เ้ายังจะกลัวว่าข้าจะไม่อาจควบคุมตัวเองได้ และทำอะไรเ้าอยู่อีกหรือ? ” ถึงแม้ด้วยเื่นั้น ตัวเขาเองก็จะ้ามากเหมือนกัน ทว่า เขากลับไม่กล้าที่จะทำ เพราะสิ่งหนึ่งที่ควรต้องรู้ หากพลั้งเผลอทำอะไรไป นางจะต้องยิ่งหนีห่างไปจากตนมากขึ้นเรื่อยๆ แน่
นอกเสียจากว่านางจะแสดงออกมาว่ารักเขาเช่นกัน ในตอนนี้ที่นางยังมีท่าทีลังเลคลับคล้ายจะตัดสินใจไม่ได้ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะเติมเชื้อไฟนั้นให้มากขึ้นๆ เพียงแต่ในตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า นางยังคงปิดใจตัวเองอยู่มาก ดังนั้น เขาจึงไม่คิดที่จะบังคับนาง
เมื่ออวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นก็ทำได้แค่ปล่อยให้เขาโอบนางไปยังเตียง ดูเขาช่วยถอดรองเท้าให้ ก่อนจะยิ้มหวานแล้วเอนกายลงนอนข้างนาง “นอนเถอะ ข้าไม่ทำอันใดเ้าหรอก”
นี่เป็การรับรองกับนางถึงสองครั้งภายในหนึ่งเค่อ
อวิ๋นซีปิดตาลงและหลับไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเมื่อจวินเหยียนแน่ใจว่านางหลับไปแล้วก็ผุดลุกขึ้น และคลุมผ้าห่มบางๆ ให้นาง จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป
เขาหายตัวไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ภายในเวลาสั้นๆ แต่เมื่อเขาจากไปแล้ว อวิ๋นซีกลับลืมตาตื่น เดิมทีในตอนแรกนั้นนางหลับไปแล้ว ทว่าด้วยความที่เป็คนความรู้สึกไวมาแต่ไหนแต่ไร ตอนที่จวินเหยียนห่มผ้าห่มให้ นางก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
หลังจากที่ชายหนุ่มละจากไป นางก็ได้แต่หยิบยืมแสงจากจันทราที่สาดกระทบ เพื่อมองผ่านม่านมุ้งพลางขบคิดกับตัวเองว่า เขากำลังจะไปที่ใดกัน? ทว่า การจะออกไปกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้คงมิใช่เื่ดีอะไรแน่
ขบคิดไปมาได้ครู่หนึ่งก็พูดเสียงเบากับตัวเอง “อวิ๋นซีเอ๋ยอวิ๋นซี เ้ายุ่งเื่ของคนอื่นมากเกินไปแล้วหรือไม่ ก็แค่เื่ของผู้อื่น เ้าจะไปยุ่งวุ่นวายเพื่ออะไร? ยิ่งกว่านั้น วรยุทธ์เขาก็สูงส่งกว่าเ้า ทั้งยังฉลาดกว่าเ้า แล้วเ้าจะไปกังวลอะไรอีก หาเื่ให้ตนเองลำบากชัดๆ ”
ขบคิดไปมาอีกครู่หนึ่ง นางก็ห่มผ้าห่มเตรียมตัวเข้านอนอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเสียอย่างนั้น สุดท้ายจึงได้แต่ลุกขึ้นนั่งกอดเข่าเชยคางพลางครุ่นคิดถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายออกไป
ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าจางเจียวาน สถานที่แห่งนี้เหมือนจะมีเื่ราวเบื้องลึกเื้ัที่ไม่ธรรมดา
จวินเหยียนลำบากลำบนมาสร้างเรือนพักร้อนไว้ที่นี่หลังหนึ่ง? เขา้าสิ่งนี้จริงหรือ? ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเื่ของที่นี่แปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าที่นี่จะมีความลับที่บอกใครไม่ได้อยู่?
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร นางก็คิดไม่ออก สุดท้ายจึงได้แต่กลับไปนอนลงเช่นเดิม และรอจนกระทั่งจวินเหยียนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งป่านนั้นก็ใกล้จะฟ้าสางแล้ว ชายหนุ่มผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเอนกายลงข้างกายนาง จากนั้นก็ดึงนางเข้าไปกอด
อวิ๋นซีมองดูมือที่กำลังสวมกอดตนไว้อย่างแแ่ นางอ้าปากคลับคล้ายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะไม่ถาม และทำทีเป็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เพราะหากเขาตั้งใจจะบอกนางจริงๆ ก็คงไม่แอบออกไปกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้
ทว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกสับสนมากก็คือ เขารู้ทั้งรู้ว่านางนอนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเขาจะคิดทำอะไรก็ล้วนมีความเป็ไปได้ที่นางจะบังเอิญค้นพบเข้า แล้วเหตุใดเขาจึงยังต้องทำเช่นนี้?
ในตอนที่นางกำลังคิดไปต่างๆ นานาโดยไม่ได้ข้อสรุปอะไรอยู่นั้น จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำแฝงความแหบแห้งอยู่หลายส่วนก็ลอยมาจากทางด้านหลัง “ข้านึกว่าเ้าจะถามข้าเสียอีกว่าข้าไปที่ใดมา”
ร่างของอวิ๋นซีแข็งค้างไป เขา รู้ว่านางตื่นแล้ว?
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] โชคดีสามชาติ(三生有幸)三生 (sān shēng) อ่านว่า ซานเซิง แปลว่า สามชาติ (หมายถึง ความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเื่ชาติก่อน ชาตินี้ และชาติหน้า) 有 (yǒu) อ่านว่า โหย่ว แปลว่า มี 幸 (xìng) อ่านว่า ซิ่ง แปลว่า โชคดี เปรียบเปรยถึงสิ่งที่เป็ไปได้ยากเหมือนพรหมลิขิตชักนำพาให้มาเจอกันเป็ผู้รู้ใจกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้