หลัวเลี่ยมีความมั่นใจมากขึ้นกับการก้าวขึ้นบันไดในครั้งที่สามนี้ เขาใจเย็นขึ้นและไม่รีบร้อนเหมือนที่ผ่านมา
ผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงเองก็มีความสงบนิ่งกว่าเดิม เพราะพวกนางมั่นใจในตัวหลัวเลี่ยมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนพวกนางไม่มั่นใจในตัวหลัวเลี่ย แต่เป็เพราะหลัวเลี่ยพัฒนาได้รวดเร็วจนน่าใเกินไป
พวกเขาเดินขึ้นไปได้อย่างง่ายดายราวกับว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางอยู่
เหล่าอัจฉริยะที่ปกปิดตัวตนซึ่งยืนอยู่เหนือชั้นที่เจ็ดสิบห้าขึ้นไปล้วนมีท่าทางที่แตกต่างจากคนอื่นๆ
พวกเขามีทีท่าว่าภูมิใจในตัวเอง
แน่นอนว่าจากเื่ที่หลัวเลี่ยได้เห็นหมัดพญาัประจัญบานครั้งแรก และเริ่มฝึกฝนจนสามารถไปถึงระดับถ่องแท้ได้อย่างง่ายดายนั้น พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาด้อยกว่าหลัวเลี่ยมากในแง่ของสติปัญญา ซึ่งทักษะด้านสติปัญญาและความเข้าใจอย่างรวดเร็วนี้นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการไปถึงระดับกายทองคำในอนาคต แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือพละกำลังและพลังวรยุทธ์
คนที่มั่นใจในตัวเองคิดว่าแม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ให้กับหลัวเลี่ยในทักษะหนึ่งแล้ว แต่พวกเขาก็หวังว่าจะสามารถเอาชนะหลัวเลี่ยในด้านอื่นๆ ได้
ดังนั้นพวกเขาจึงพูดท้าทายโดยไม่มีความละอายใจ
“ทุกท่านคิดว่าเขาจะขึ้นไปได้ไหม”
“แน่นอนว่าไม่ได้!”
“เ้ายังจะถามอีกหรือ เ้าพูดเื่ตลกอะไร ต่อให้เขาจะอยากขึ้นไปแค่ไหนก็เป็ไปไม่ได้ คงมีแต่เทพเท่านั้นที่จะขึ้นไปบนยอดเขานี้ได้”
“แม้แต่คนที่มีพลังระดับบรรพชนยังล้มเหลว แล้วเขาจะทำสำเร็จได้อย่างไร”
ทุกคนเชื่อว่าหลัวเลี่ยจะต้องล้มเหลว
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ถือว่าเป็อัจฉริยะแนวหน้าในดินแดนเหยียนหวง แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ใช่อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกเขาต่างก็รู้เื่ลับมามากมาย ดังนั้นจากเื่ที่ได้ยินมาทั้งหมด พวกเขาจึงไม่คิดว่าหลัวเลี่ยจะทำสำเร็จ
“ทุกคนคิดว่าเขาจะขึ้นไปได้ถึงขั้นที่เท่าไร?” คนที่ยืนอยู่ตรงกลางในจำนวนคนสามคนที่ยืนอยู่บนขั้นที่แปดสิบเจ็ดพูดขึ้น เขาเป็คนที่ยืนอยู่อย่างนิ่งเฉยที่สุด ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ นั้นไร้เรี่ยวแรงแล้ว ซึ่งหมายความว่าความกดดันในขั้นนี้ยากที่จะต้านทานได้
ทำให้เห็นว่าในบรรดาทั้งสามคนนั้น คนคนนี้แข็งแกร่งที่สุด
เมื่อเขาถามคำถามนี้ขึ้นก็มีคนตอบทันที “เขาก็ถือว่ามีพลังในการต่อสู้มาก เพราะเขาสามารถเอาชนะองค์หญิงสามได้สิบครั้งติดต่อกัน เขาน่าจะขึ้นไปถึงขั้นที่แปดสิบห้าได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าจะให้สูงกว่านั้นคงยากแล้ว”
ชายที่แข็งแกร่งที่สุดยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ตอนนี้พวกเราก็กำลังว่างๆ อยู่ ทำไมพวกเราไม่ลองเดิมพันดูว่าใครทายถูก?”
"ได้!"
“ข้าเห็นด้วย ตอนนี้พวกเราพักอยู่ และมันน่าเบื่อเกินไป”
“มา พนันกันได้เลย ข้าพนันก่อนว่าเขาจะไม่สามารถขึ้นไปถึงขั้นที่แปดสิบเจ็ดได้”
“ข้าพนันได้เลยว่าเขาคงไปไม่ถึงขั้นที่แปดสิบห้า”
ทุกคนต่างพากันะโขึ้น
กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะเหล่านี้ทำทุกสิ่งราวกับว่าเป็เพียงการละเล่นของเด็ก ซึ่งทำให้ผู้คนมากมายที่มองอยู่กรุ่นโกรธมาก
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดว่าขั้นไหน แต่คำตอบสูงสุดที่ออกมาก็คือขั้นที่แปดสิบเจ็ดเท่านั้น
หลัวเลี่ยไม่ได้ใส่ใจเื่ที่พวกเขากำลังทำอยู่ สิ่งที่เขาคิดมีเพียงเื่เดียว คือเื่เกี่ยวกับอันตรายที่เขาอาจพบเมื่อไปถึงยอดเขา เขาต้องปรับท่าทางและปรับอารมณ์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าหลัวเลี่ยจะไม่สนใจ แต่ไม่ใช่กับหญิงสาวทั้งสองที่เดินตามเขามา
แม้ว่าพวกนางจะสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่กับหลัวเลี่ย แต่หากเปลี่ยนจากหลัวเลี่ยเป็คนอื่น พวกนางก็พร้อมรับมือตลอดเวลา
“ข้าพนันว่าเขาจะสามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้ และถ้าเขาทำสำเร็จ พวกเ้าทุกคนจะต้องถอดเสื้อผ้าออก และวิ่งรอบูเาแห่งคุกอนธการนี้หนึ่งร้อยรอบ” คำพูดนี้ของผีเสื้อแห่งรักนั้นถือว่าเฉียบคมมาก
เย่เิหลงก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน “ซึ่งทั้งร้อยรอบนั้น เ้าต้องวิ่งกลับหัวและใช้เพียงสองมือเท่านั้น”
ผู้คนมากมายที่อยู่ด้านล่างูเาหัวเราะออกมา
วิ่งกลับหัวและยังตัวเปลือยเปล่าหรือ แค่คิดก็อับอายไปถึงวงศ์ตระกูลแล้ว
ผีเสื้อแห่งรักไม่เปิดโอกาสให้คนเ่าั้ได้โต้ตอบ นางหงายฝ่ามือออกมา เผยให้เห็นไข่มุกหนึ่งเม็ด “ของเดิมพันก็คือไข่มุกาาทะเล”
เย่เิหลงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ผีเสื้อแห่งรัก แม้ว่านางจะมีคำตอบเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของผีเสื้อแห่งรักอยู่ภายในใจ แต่เมื่อได้เห็นไข่มุกเม็ดนี้ นางก็รู้สึกว่าความคิดของนางอาจผิดพลาด ของสิ่งนี้แม้แต่เผ่าัก็ยังไม่กล้าเอาออกมาเดิมพัน จากนั้นนางก็ไม่รอช้า หยิบสร้อยข้อมือออกมาเส้นหนึ่ง “ของเดิมพันของข้าคือสร้อยที่ได้บรรจุเืของบรรพชนเอาไว้”
อัจฉริยะผู้ปกปิดตัวตนหลายคนที่กำลังจะโห่ร้องพลันเงียบเสียงลงทันที
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งกับการเดิมพันทั้งสองครั้งนี้
ไข่มุกาาทะเล!
และสร้อยข้อมือที่บรรจุเืของบรรพชน ทั้งสองสิ่งล้วนเป็สมบัติล้ำค่า แต่พวกนางกลับนำมันออกมาเดิมพันอย่างง่ายดาย หากพวกนางไม่มีความมั่นใจ พวกนางจะกล้าเอามันออกมาเป็เดิมพันได้อย่างไร
มีคนไม่กี่คนที่อยากจะลงเดิมพันด้วย แต่พวกเขาก็ยั้งคำพูดเอาไว้
มันเป็เื่ที่เลวร้ายเกินไป หากพวกเขาแพ้ พวกเขาจะต้องเปลือยกายและใช้มือวิ่งเป็ร้อยรอบ
“พวกคนขี้ขลาด”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าเดิมพัน ผีเสื้อแห่งรักก็พูดดูถูกเหยียดหยามออกมา
เย่เิหลงพูดอย่างผิดหวัง “ข้าจะไม่มีโอกาสได้ดูเื่สนุกๆ หรือนี่”
กลุ่มคนอัจฉริยะที่ถูกยั่วยุโดยคำพูดของหญิงสาวทั้งสองคนล้วนมองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความเกลียดชัง
มีบางคนพูดเสียงเบาว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะปีนขึ้นไปได้”
ั้แ่ต้นจนจบหลัวเลี่ยไม่พูดอะไรสักคำ และเขาก็ไม่สนใจเื่นี้ด้วย เป้าหมายของเขาคืออันตรายที่อยู่บนยอดเขา
ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงก้าวเดินอย่างมั่นคง เขาไม่เคยหยุดเดิน และยังคงก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดอยู่ พวกเขาทั้งสามก็มาถึงขั้นที่เจ็ดสิบห้าแล้ว
มีเสียงพูดแ่เบาดังมาจากข้างๆ
หลัวเลี่ยไม่แม้แต่จะเหลือบหางตามองคนเ่าั้ เขายังคงเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ
หญิงสาวทั้งสองเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดัน แต่พวกนางก็ยังแสดงให้เห็นว่าพวกนางก็มีพลังที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน พวกนางยังคงรักษาความเร็วในการก้าวเดินไว้เท่ากับหลัวเลี่ย
“เสแสร้ง เ้าก็แค่เสแสร้ง ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะรักษาสภาพนี้ได้จนถึงขั้นที่แปดสิบ” อัจฉริยะที่ปกปิดตัวตนซึ่งตอนนี้ยืนอยู่บนขั้นที่แปดสิบกว่าพูดขึ้น
หลัวเลี่ยยังคงเพิกเฉยและเดินต่อไป
ขั้นที่แปดสิบ!
ขั้นที่แปดสิบเอ็ด!
ขั้นที่แปดสิบสอง!
ในพริบตาเขาก็เดินมาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของบุคคลนี้ และก้าวไปยังขั้นต่อไปโดยไม่เหลือบตามองสักนิด
ด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง การก้าวขึ้นด้วยความเร็วคงที่ และท่าทางเพิกเฉยต่อบุคคลที่เรียกตนเองว่าอัจฉริยะเหล่านี้ ล้วนกระตุ้นเสียงให้กำลังใจมากมายของผู้คนที่อยู่ด้านล่างูเา ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นความหวังอีกครั้ง
เหล่าอัจฉริยะที่ปกปิดตัวตนซึ่งอยู่ขั้นที่เจ็ดสิบห้าถึงแปดสิบเจ็ดล้วนรู้สึกกดดันและหวาดกลัว
ตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ล้วนทำให้ตระหนักถึงความยากของการขึ้นไปถึงขั้นที่แปดสิบดี และท่าทีสบายๆ ของหลัวเลี่ยก็แสดงให้เห็นว่า หลัวเลี่ยไม่ได้สนใจพวกเขาเลย ทำให้ความเป็ไปได้ที่พวกเขาไม่เคยกล้านึกถึงผุดขึ้นมาในความคิด
“เขาอาจจะขึ้นไปข้างบนได้จริงๆ!”
เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถกำจัดมันได้อีกต่อไป
พวกเขาต่างเฝ้ามองหลัวเลี่ยที่เดินผ่านพวกเขาไปจนถึงขั้นที่แปดสิบเจ็ด
ในตอนนั้นเอง บางคนก็เริ่มรู้สึกดีใจที่ไม่ได้ลงพนันไปในตอนแรก
ขณะเดียวกัน ทุกคนก็เริ่มสังเกตว่าหญิงสาวทั้งสองไม่ได้เดินตามหลัวเลี่ยอีกแล้ว พวกนางอยู่ต่ำกว่าหลัวเลี่ยสามถึงสี่ขั้น ถึงจะเป็เช่นนั้นแต่พวกนางก็ยังคงก้าวขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าพวกนางมีพลังที่ยอดเยี่ยมมาก
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด และยังเป็คนที่หยิ่งผยองที่สุด เขาทนไม่ได้ที่หลัวเลี่ยจะแซงหน้าเขา แต่เขาก็รู้ว่านี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เ้าไปไม่ถึงขั้นที่เก้าสิบห้าอย่างแน่นอน”
นี่เป็ครั้งแรกที่หลัวเลี่ยเอ่ยปากพูดขึ้น
หากเป็คนอื่น หลัวเลี่ยไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ
“เ้าช่างน่าเบื่อยิ่งนัก” หลังจากที่หลัวเลี่ยพูดจบ เขาก็ก้าวขึ้นไปบนขั้นที่แปดสิบแปด และก้าวข้ามไปสองขั้นจนถึงขั้นที่เก้าสิบ เมื่อเหล่าอัจฉริยะที่ปกปิดตัวตนเ่าั้เห็นหลัวเลี่ยก้าวขึ้นบันไดอย่างสบายๆ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกโพลงด้วยความใ
แม้แต่อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดก็จ้องมองด้วยหัวใจที่แทบจะะเิออกมา เขากัดฟันและพูดว่า “ขั้นที่เก้าสิบห้าคือ...”
หลัวเลี่ยพูดขัดจังหวะของเขาอย่างใจเย็น “ตอนที่ข้าอยู่ในระดับผู้ฝึกตนระดับที่เก้า ข้าขึ้นไปถึงขั้นที่เก้าสิบเจ็ด”
ประโยคนี้ประโยคเดียวของหลัวเลี่ยทำให้ผู้คนมากมายต่างตกอยู่ในความเงียบงัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้