จะถอนพิษได้อย่างไรนั้นซูฉีฉีรู้ดีเป็อย่างยิ่งแต่ที่นางคาดคิดไม่ถึงคือการที่ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยประโยคเช่นนั้นออกมา
วันนี้บุรษผู้นี้ดูแปลกประหลาดผิดปกติ
เหลยอวี๊เฟิงเองก็มองไปที่ม่อเวิ่นเฉินอย่างมิค่อยเข้าใจนัก
ซูฉีฉีกัดฟันแน่นก่อนจะถอดถอนหายใจออกมาแล้วหันไปมองทางเหลยอวี๊เฟิง “ขอยืมดาบของท่านหน่อยได้หรือไม่ แต่ถ้าเป็มีดสั้นได้จะดีที่สุด”
เหลยอวี๊เฟิงนิ่งอึ้งจากนั้นจึงค่อยๆ หันไปมองม่อเวิ่นเฉินเมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าแล้วจึงยื่นมีดสั้นเล่มหนึ่งไปให้กับซูฉีฉี
ในขณะเดียวกันนั้นซูฉีฉีก็หยิบเอาขวดกระเบื้องออกมาจากแขนเสื้อและค่อยๆ นำมันมาวางเรียงกันไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงค่อยยื่นมือไปรับมีดสั้น
ท่าทางของนางไม่เร่งรีบแต่ก็ไร้ซึ่งความลังเล ใบหน้าขึ้นสีเขียวจางๆ แฝงไปด้วยความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน จากนั้นนางก็หยิบเอาผ้าเช็ดมือจากแขนเสื้อของตนเองขึ้นมายัดเข้าปาก
“เ้า...”เหลยอวี๊เฟิงแทบจะอดทนดูการกระทำของนางต่อไม่ได้
ในเวลานี้ทุกคนล้วนคาดเดาได้แล้วว่าการกระทำทั้งหลายของซูฉีฉีนั้นทำไปเพื่ออะไร
ซูฉีฉียิ้มออกมาบางๆ อย่างเ็ปก่อนจะนำมีดสั้นไปเผาบนไฟจนปรากฏสีแดงอ่อนๆ บนคมมีดจากนั้นก็กรีดเอาหัวธนูที่ปักอยู่บนแขนของตนเองออกนางส่งเสียงร้องอย่างเ็ปเบาๆ ในลำคอก่อนจะออกแรงน้อยๆ นำเอาหัวธนูดำกรีดออกไปพร้อมกับเนื้อส่วนหนึ่งของตน
ในห้องนั้นมีกลิ่นของเนื้อย่างกระจายออกมาจางๆ
แต่กลิ่นนั้นกลับทำให้ซูฉีฉีรู้สึกปั่นป่วนในท้องนานระยะหนึ่ง
และเวลานี้ นางเหลือบสายตาไปมองม่อเวิ่นเฉินแวบหนึ่ง
สายตาที่มองมาเพียงแวบหนึ่งของนางนั้นมีความหมายเช่นไรม่อเวิ่นเฉินเองไม่รู้ทว่าดูเหมือนสายตาคู่นั้นจะสื่อว่านี่เป็สิ่งที่ท่านร้องขอจะดูเอง
ดวงตาของม่อเวิ่นเฉินที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้กะพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียวเขายังคงจับจ้องไปที่ซูฉีฉีที่บัดนี้กำลังมีเหงื่อผุดขึ้นอยู่เต็มหน้าผาก
เขามองไปยังใบหน้างามบริสุทธิ์ของนางเมื่อรวมกับเสน่ห์ในความลึกลับของตัวตนนางแล้วยิ่งทำให้นางดูเป็หญิงงามมากเสน่ห์ที่หาตัวได้ยากคนหนึ่ง
เพียงแต่ถ้านำไปเทียบกับซูเมิ่งหรูแล้วก็ยังคงถือว่าห่างไกลอยู่มากโข
ผิดกับเหลยอวี๊เฟิงที่ได้ปิดตาทั้งสองของตนลงแล้วเขาทนมองดูภาพตรงหน้าไม่ได้จริงๆ
แม้ว่าธนูจะถูกถอนออกมาแล้วแต่ว่าซูฉีฉียังคงไม่หยุดการกระทำของตน ตอนนี้แขนของนางกำลังสั่นเหงื่อบนหน้าผากหยดลงสู่พื้นทีละเม็ดๆ
ทว่าแววตาของนางนั้นยังคงแจ่มแจ้ง
เพราะว่าความเ็ปนั้นทำให้สติของนางกลับมาชัดเจน
นางขยับมีดสั้นที่กำลังสั่นอยู่นั้นไปตรงตำแหน่งาแของตนก่อนจะค่อยๆ กรีดเอาเนื้อที่เป็สีดำแล้วออกมาทีละนิด
เห็นได้ชัดเจนว่าซูฉีฉีนั้นออกแรงกัดผ้าในปากตัวเองไปมากเท่าใดถ้าหากไม่ใช่ผ้าผืนนั้นเวลานี้ริมฝีปากของนางหรืออาจจะเป็ลิ้นของนางนั้นคงถูกกัดจนเละเทะไปแล้วเป็แน่
พิษกระจายออกไปอย่างรวดเร็วมือของซูฉีฉีสั่นไม่หยุด
นางนำมีดสั้นไปเผาจนเป็สีแดงอ่อนอีกครั้งจากนั้นนางค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วกรีดลงบนาแที่โผล่จนเห็นกระดูกแล้วของตนต่อ
การกระทำเช่นนี้นั้นไม่ต่างอะไรกับการขูดกระดูกรักษาาแเลยแม้แต่น้อย
นางต้องกรีดเอาเนื้อที่ติดอยู่กับกระดูกนั้นออกเช่นกันทำเช่นนี้ถึงจะสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเอาไว้ได้
นางเป็หมอนางรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
พิษเช่นนี้นางสามารถรักษาเองได้แต่ว่าบนตัวนางนั้นไม่มียาถอนพิษถ้าหากรอจนนางผสมเสร็จนั้นเกรงว่าทั่วทั้งร่างของตนคงต้องเน่าเละแล้วเป็แน่
การตายเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ซูฉีฉี้านางยอมเจ็บตอนนี้เสียยังดีกว่า
ความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวของซูฉีฉีนั้นทำให้เหลยอวี๊เฟิงยิ่งเคารพนับถือจากใจจริงมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
แน่นอนว่าม่อเวิ่นเฉินที่อยู่ข้างๆ นั้นก็เปลี่ยนความคิดของตนที่มีต่อนางแล้วเช่นกัน
นางเป็สตรีประเภทไหนกันแน่ ชายชาติทหารที่ทำามาเป็เวลานานก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถทนรับความเ็ปเช่นนี้ได้
ม่อเวิ่นเฉินเองยังไม่รู้ตัวว่าสายตาของตนนับั้แ่วันนั้นได้หยุดมองไปที่ซูฉีฉีนานขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ซูฉีฉีโยนมีดสั้นในมือทิ้งความเ็ปนี้ทำให้นางหมดเรี่ยวแรงแล้ว ร่างของนางลุกขึ้นอย่างโซเซก่อนจะเก็บหัวธนูดำและเนื้อที่เน่าเปื่อยของตนให้เรียบร้อย
เหลยอวี๊เฟิงรู้สึกว่าฝ่ามือของตนในตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาเพราะนาง
“ข้าช่วย”ครั้งแรกที่เหลยอวี๊เฟิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“ขอบคุณ พวกนี้...เผาทิ้งให้หมดเถอะ”ซูฉีฉีใส่ยาให้ตัวเองพลางมองเหลยอวี๊เฟิงอย่างซาบซึ้ง
ั้แ่เล็กจนโตนางทำอะไรคนเดียวจนเคยชินเสียแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่มีคนเสนอตัวมาช่วยเหลือนาง
“ได้” เหลยอวี๊เฟิงรู้สึกว่าลำคอของตนแห้งผาก
เมื่อเก็บกวาดทั้งหมดจนเสร็จแล้วม่อเวิ่นเฉินจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ไปพักผ่อนให้ดีเถอะ”
ซูฉีฉีพยักหน้าและฉีกยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรงแต่ก็ยังคงแฝงความภาคภูมิใจในตนเองออกมาจางๆ เหมือนดั่งเคย
ซูฉีฉีนอนไม่หลับทั้งคืนนางกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง พยายามอดกลั้นความรู้เ็ปที่แขนของตน ความเ็ปนั้นเสมือนแทงทะลุเข้าไปในกระดูกก็มิปาน
เมื่อท้องฟ้าเริ่มจะสว่างนางก็ลุกขึ้นนำยาถอนพิษไปให้ม่อเวิ่นเฉินที่ห้องพักของเขา
ม่อเวิ่นเฉินเหลิ่งเหยียนและเหลยอวี๊เฟิงล้วนรอนางในนั้นอยู่ก่อนแล้ว
วันนี้จะต้องไม่ให้เกิดเื่อะไรผิดพลาดขึ้นอีกแล้ว
แม้ว่าจวนอ๋องจะเก็บกวาดทุกสิ่งจนสะอาดไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
แต่มีเพียงม่อเวิ่นเฉินเท่านั้นที่รู้ว่ากองทหารโลหิตกลุ่มหนึ่งของเขานั้นได้เสียชีวิตไปจนหมดแล้ว
เขาเ็ปใจยิ่งนัก นั่นล้วนแต่เป็ทหารที่เขาใช้เวลาฝึกฝนมานานหลายปี
แขนข้างซ้ายของซูฉีฉีขยับได้ไม่สะดวกนักจึงต้องให้เหลยอวี๊เฟิงช่วยฝังเข็มแทนนาง
เข็มทองทั้งเก้าสิบเก้าเล่มได้ฝังลงไปบนจุดทั่วร่างของม่อเวิ่นเฉินแล้วจากนั้นเหลิ่งเหยียนก็นำเอายาถอนพิษป้อนเข้าไปในปากของม่อเวิ่นเฉิน
ม่อเวิ่นเฉินยังคงมีสีหน้าเหมือนเช่นเคย มิได้แสดงความตื่นเต้นดีใจออกมาแม้แต่น้อย
เขายังคงเป็ผู้ที่ไม่เคยแสดงอารมณ์สุขทุกข์ใดๆ ออกมาทางใบหน้า
หลังจากที่ดื่มยาถอนพิษเข้าไปแล้วเหลยอวี๊เฟิงก็ดึงเอาเข็มทองเก้าสิบเก้าเล่มออกมาจากร่างกายของเขา
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การสั่งการของซูฉีฉี
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนบนเข็มสีทองทั้งเก้าสิบเก้าเล่มนั้นล้วนอาบไปด้วยเืสีดำเมื่อโยนเข้าไปในอ่างทองเหลือง น้ำที่อยู่ในอ่างก็เปลี่ยนเป็สีดำในทันที
“เสร็จแล้ว”ซูฉีฉีพูดเบาๆ ออกมาสองคำ แต่เพียงแค่สองคำนั้นก็ทำให้เหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นสามารถถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้เสียที
ในที่สุด ทั้งหมดก็จบเสียที
ทว่าใบหน้าของซูฉีฉียังคงมืดคล้ำอยู่บ้าง
พิษของม่อเวิ่นเฉินนั้นถูกถอนไปแล้วเช่นนั้นจากนี้ไปนางจะต้องไปอยู่ที่ใด?
จะสามารถอยู่ในเรือนพักข้างๆ ได้ดังเดิมหรือจะต้องกลับไปที่โรงซักล้างอีกครั้ง
เพราะว่าฤทธิ์ของยาถอนพิษทำให้ม่อเวิ่นเฉินค่อยๆ หลับลง
เมื่อเห็นว่าม่อเวิ่นเฉินหลับสนิทแล้วเหลยอวี๊เฟิงก็ดึงเสื้อของซูฉีฉีที่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง “พระชายา ท่านกลับไปพักก่อนเถอะ ที่นี่มีพวกเราคอยดูอยู่”
“ได้” ซูฉีฉีเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมามากนักนางเก็บเข็มทองให้เรียบร้อยแล้วจึงหมุนตัวออกไป
ม่อเวิ่นเฉินนั้นสามารถกลับมาเดินได้ดังเดิมแล้วทว่าวรยุทธ์ในตัวเขายังไม่ฟื้นคืน
และซูฉีฉีในตอนนี้ก็ยังคงพักอาศัยอยู่ที่เรือนหลักไม่ได้ถูกส่งกลับไปที่โรงซักล้าง
ด้วยเหตุนี้ฮวาเชียนจือก็ไม่มีโอกาสที่จะลงมือทุกวันทำได้เพียงแค่ลงมือกับคนรับใช้เพื่อคลายโทสะเท่านั้น
บรรยากาศในจวนอ๋องนั้นเคร่งเครียดอยู่่หนึ่ง
แต่กับเื่เล็กๆ เช่นนี้นั้น ม่อเวิ่นเฉินไม่เคยถามไถ่ให้มากความอยู่แล้ว
เขายังคงต้องพักฟื้นอีกครึ่งเดือนถึงจะสามารถกลับมาเป็เหมือนก่อนได้
หลังจากนี้ครึ่งเดือน เขาจะต้องพาซูฉีฉีไปเมืองหลวงเพื่อทำตามราชโองการเดินทางไปเยี่ยมบิดามารดาของนาง
เป็ราชโองการที่ตลกยิ่งนักอยู่ๆ ม่อเวิ่นเสวียนก็หันมาสนใจเื่ครอบครัวของเขาเสียได้
ดูเหมือนว่าระหว่างพวกเขานั้นจะต่างคนต่างอยู่เหมือนเช่นเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้วครั้งนี้สิ่งที่ม่อเวิ่นเสวียนทำนั้นถือว่าเกินไปมาก
การมุ่งหน้าไปเมืองหลวงนั้นเหลยอวี๊เฟิงร้องขอจะตามไปด้วยโดยไม่สนสีหน้าคัดค้านของม่อเวิ่นเฉินแม้แต่น้อย
เขาไม่มีทางยอมให้ม่อเวิ่นเฉินเกิดเื่ขึ้นอีกเป็อันขาด
ครั้งนี้ถ้าหากไม่ได้ซูฉีฉีช่วยไว้เกรงว่าเวลานี้ม่อเวิ่นเฉินคงจะได้กลายเป็วีรบุรุษของต้าเยียนไปแล้วกระมัง
วีรบุรุษที่สิ้นชีพไปแล้ว
ซูฉีฉีไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในใจตอนนี้ของตนอย่างไรสามารถเจอมารดาของตนได้นั้นนางย่อมดีใจอย่างแน่นอนทว่าเมื่อคิดถึงว่าเื่ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้านั้นล้วนยากที่จะคาดเดาก็ทำให้นางอดที่จะเป็กังวลไม่ได้
แม้นางจะรู้อยู่แล้วว่าอันตรายข้างหน้านั้นไม่เกี่ยวข้องกับนางก็ตาม
อย่างมากก็คือการที่บุรุษตรงหน้านี้ถูกลอบสังหารจนถึงแก่ชีวิต
เวลานี้ม่อเวิ่นเฉินกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่
แต่เมื่อคิดว่าหากม่อเวิ่นเฉินจะต้องตายไปความรู้สึกไม่ยินยอมก็ผุดขึ้นมาในใจของซูฉีฉีหรือว่า...นางส่ายหน้าก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่างลมหนาวพัดผ่านใบหน้าของนางทำให้สติกลับคืนมาไม่น้อย
นางรู้ดีว่าตนเองไม่ควรจะใส่ใจในตัวของม่อเวิ่นเฉินให้มากนักบุรุษเช่นนี้หากสตรีใดหลงรักเขาก็ล้วนแต่เป็การหาเื่ใส่ตนเองโดยเฉพาะผู้ที่มีรูปโฉมไม่โดดเด่นอย่างซูฉีฉี
เพราะว่าเป็่กลางเดือนสิบสองทำให้บนถนนนั้นมีน้ำแข็งเกาะอยู่เป็จำนวนมาก
ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดลงด้วยสัญชาตญาณ ตอนนี้ม่อเวิ่นเฉินจึงได้ดึงซูฉีฉีเข้ามาในอ้อมกอดของตนเป็ที่เรียบร้อยแล้ว...