หลังจากที่ชาร์ลส์หมดสติไป เขาก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงในห้องพักที่โบสถ์ประจำหมู่บ้าน พร้อมกับความรู้สึกมึนงงยิ่ง อากาศอบอ้าวภายในห้องปะทะความเยือกเย็นจากภายนอกที่แทรกซึมผ่านช่องแสงเสี้ยวเล็กๆ สร้างภาพลวงตาให้คล้ายกับหมอกควันบางเบา
หมออีไลอัสได้ดูแลรักษาเขาอย่างดีที่สุด ถึงแม้จะยังคงปวดหัวตุบๆ แต่โดยรวมแล้วสภาพร่างกายก็ไม่ได้น่าเป็ห่วงนัก เมื่อชาร์ลส์ฟื้นแล้ว อีไลอัสจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาหมดสติ ว่าพวกเขาสามารถเก็บหลักฐานมัดตัวโรเบิร์ตได้อย่างแ่า ทั้งจากของใช้และบันทึกส่วนตัวในห้องของเขา
สำหรับอาการเป็ลมนั้น หมออีไลอัสวิเคราะห์ว่าน่าจะเกิดจากความอ่อนล้าสะสม บวกกับความเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
"แล้วตอนนี้โรเบิร์ตเป็ยังไงบ้าง" ชาร์ลส์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"กำลังถูกคุมขังรอพิจารณาคดีอยู่ แต่เห็นทีคงหนีโทษปะาไม่พ้น" อีไลอัสไม่ปิดบังความจริง สีหน้าเคร่งขรึม "ผมไม่อยากจะนึกเลยว่าหากไม่มีคุณ เขาอาจจะก่อเื่ชั่วร้ายไว้มากกว่านี้อีก"
ชาร์ลส์เงียบงันไปครู่หนึ่ง สมองทบทวนเื่ราวทั้งหมด ก่อนจะนึกถึงกระดาษแผ่นน้อยที่มีข้อความประหลาดบนนั้น
"เออ พวกทหารพิทักษ์เมืองที่ไปค้นบ้านโรเบิร์ต พวกเขาเจอเศษกระดาษแผ่นหนึ่งบ้างไหม มันมีข้อความประหลาดๆ เขียนอยู่"
"อ้อ" หมอครุ่นคิด ก่อนนึกออก "พวกเขาบอกว่าตอนที่คุณเป็ลมมีกระดาษร่วงหล่นจากมือ คิดว่ามันอาจจะสำคัญสำหรับคุณ จึงฝากให้ผมรักษาเอาไว้ก่อนรอให้ตื่นมารับคืน"
หมออีไลอัสยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ ชาร์ลส์รับมากางดูตัวหนังสือที่จารึกไว้ มันคือกระดาษแผ่นเดิมที่เขาพบ มันทำเอาหัวคิ้วของชาร์ลส์ขมวดมุ่น ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่ก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีความสำคัญบางอย่าง
ความคิดถูกขัดจังหวะเมื่ออีไลอัสเอ่ยปากอีกครั้ง
"ว่าแต่ หลังจากนี้คุณจะทำยังไงต่อ จะพักอยู่ที่นี่หรือกลับเมืองหลวง?"
นักสืบหนุ่มหยุดคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว ตอบกลับพร้อมแววตาอ่อนล้า "ผมจะกลับเมืองหลวง แต่ยังมีธุระต้องสะสางให้เสร็จก่อน ส่วนเวลาเดินทางคงภายในวันนี้"
"งั้นต้องรีบหน่อยล่ะ รถม้าสาธารณะเที่ยวสุดท้ายกำลังจะออกเดินทางตอนบ่ายพอดี"
ชาร์ลส์พยักหน้ารับ ในขณะที่แววตาลอบมองกระดาษลึกลับในมืออีกครั้ง ทบทวนความคิดต่อ
‘ยังต้องหาคำตอบบางเื่ให้กระจ่าง ก่อนจะจากไป’
ไม่รู้ว่ากระดาษปริศนาจะเกี่ยวพันกับความทรงจำที่หายไปหรือไม่แต่นี่นับเป็ร่องรอยแรกสุด หลังจากค้นหามาสองปียังไม่มีความคืบหน้า และโรเบิร์ตก็อาจจะคือคนที่มีคำตอบที่เขาตามหา
‘อย่างน้อยการสอบสวนคดีนี้ ก็ไม่ได้เสียแรงกายแรงใจไปเปล่า’
ชาร์ลส์แวะซื้อตั๋วรถม้าประจำทางก่อนจะแวะเยี่ยมโรเบิร์ตในห้องขัง เพื่อสอบถามถึงที่มาของกระดาษลึกลับนั่น
นักสืบหนุ่มเดินเข้าไปในคุกใต้ดินที่มีแสงสลัวจากคบไฟส่องให้เห็นทางเบื้องหน้า กลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นสนิมเหล็กลอยคละคลุ้งจนชวนให้ขมวดจมูก สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขาอย่างหวาดระแวง บ้างก็ไม่พอใจที่ถูกรบกวน ทว่าชาร์ลส์ไม่สนใจสิ่งเ่าั้ เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาสร้างมิตรภาพ แต่มาเพื่อแสวงหาความจริง
ณ มุมสุดท้ายของห้องขัง หลังลูกกรงเหล็กขนาดใหญ่ โรเบิร์ตนั่งนิ่งหันหลังให้ประตู จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเหม่อลอย
เมื่อชาร์ลส์เดินมาหยุดที่หน้าห้อง เ้าหน้าที่ก็รีบไขกุญแจเปิดล็อกทันที เสียงกลอนเหล็กดังกึกก้องและขึ้นสนิม ทว่าคนข้างในยังคงนิ่งไม่ขยับ ยังคงจ้องมองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างคนสิ้นหวัง ผมรุงรังปรกหน้า รอยช้ำจากการจับกุมยังเห็นได้ชัด
"โรเบิร์ต ธอร์น" เสียงทุ้มหนักแน่นของชาร์ลส์ก้องสะท้อนผนังหิน จนคนถูกเรียกค่อยๆ หันหน้ามาอย่างเชื่องช้า สบตาอีกฝ่ายด้วยดวงตาอันซีดเซียว ไร้ประกายใดๆ หลงเหลือ
"มีอะไร" โรเบิร์ตเอ่ยถาม เสียงแหบพร่าเกรียมดังขึ้นมาอีกครั้ง
โดยไม่รอช้า ชาร์ลส์หยิบกระดาษปริศนาที่พบในห้องเขาออกมาจากอกเสื้อ ชูขึ้นให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ "เคยเห็นสิ่งนี้ไหม มันคืออะไร"
โรเบิร์ตเลิกคิ้วขึ้น จ้องมองอักษรอันแปลกประหลาดอย่างงงงัน ก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิด "อ้อ…กระดาษนี่เอง ไม่รู้สิ ไม่เคยให้ความสำคัญมันซักเท่าไหร่"
นักสืบหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ กับคำตอบปัดความรับผิดชอบนี้ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้พร้อมสายตากดดัน "พบมันที่ไหนล่ะ จำได้ไหม"
โรเบิร์ตเม้มปากแน่น ดูเหมือนจะพยายามคิดทวนถึงเื่ในอดีต สักพักจึงตอบเสียงแ่เบา "เอ่อ น่าจะติดมากับหนังสือที่ซื้อจากพ่อค้าเร่คนหนึ่ง ตอนที่เขาผ่านมาขายของในหมู่บ้าน แต่พอหยิบมาดูก็เห็นเป็อักษรประหลาดๆ เลยคิดว่ามันอาจจะมีค่าอะไรบ้าง จึงเก็บเอาไว้"
ชาร์ลส์ผงกศีรษะแสดงความเข้าใจ ใบหน้าเริ่มคลายความเคร่งเครียดลงบ้าง แต่ความสงสัยยังคงวนเวียนอยู่ในหัว "แล้วอ่านมันออกหรือเปล่า รู้ไหมว่ามันเขียนอะไร"
คำตอบที่ได้กลับมาคือการส่ายหน้าไปมา พร้อมสีหน้าครุ่นคิด แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก โรเบิร์ตลอบมองกระดาษในมือชาร์ลส์อีกครั้ง พยายามแปลความตามข้อความที่เห็น
"ไม่รู้เหมือนกัน คิดว่ามันอาจเป็ภาษาต่างแดนหรือภาษาโบราณอะไรสักอย่าง และตัวหนังสือก็ลบเลือนจึงอ่านไม่ออก" จากที่ชาร์ลส์สนทนากับโรเบิร์ตในห้องขัง เมื่อเห็นว่าคำตอบที่ได้ยังไม่ชัดเจนพอที่จะไขปริศนากระดาษแผ่นนั้นได้ เขาจึงถามต่อ
"งั้น...หลังจากที่นายเก็บมันไว้ นายเอาไปให้ใครดูอีกหรือเปล่า อย่างพวกหมอดู หรือใครก็ตามที่อาจจะรู้ความหมายของมัน"
โรเบิร์ตนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ "ไม่ ฉันไม่ได้เอาไปให้ใครดูเลย ตอนนั้นคิดว่ามันคงไม่ได้สำคัญอะไร แค่หยิบมาศึกษาเล่นๆ หวังว่าอาจจะหาความหมายออกบ้าง แต่พอวุ่นวายกับเื่อื่นเข้า ฉันก็เลยลืมๆ มันไป"
ชาร์ลส์พินิจมองคนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน พยายามสังเกตร่องรอยของการโกหกจากแววตาและน้ำเสียง แต่ก็ไม่เจออะไรผิดปกติ อาจเพราะความสับสนหรือความเหนื่อยล้าของโรเบิร์ตเอง ทำให้ดูเหมือนเขาพูดความจริง
ในที่สุดนักสืบหนุ่มก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ยอมรับว่าตอนนี้คงไม่มีเบาะแสอะไรชัดเจนไปมากกว่านี้แล้ว จึงเลือกที่จะเก็บกระดาษลึกลับไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง
"เอาละ ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่รบกวนอีก ขอบใจที่ให้ความร่วมมือ"
ชาร์ลส์ผงกศีรษะขอบคุณเล็กน้อย แม้สีหน้ายังคงเคร่งขรึม แต่ก็แฝงความขอบคุณอยู่ในน้ำเสียง ก่อนจะมองซ้ำโรเบิร์ตเป็ครั้งสุดท้าย เพื่อกล่าวทิ้งท้ายบทสนทนา
"มีอะไรอีกหรือเปล่า" โรเบิร์ตถามขึ้นมา
"ฉันแค่คิดว่าถ้านายไม่ยึดติดกับแมรี่มากขนาดนั้น ชีวิตนายน่าจะดีกว่านี้"
"อย่ามาสั่งสอนฉัน นายไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น"
"ก็ได้ ฉันอาจไม่เข้าใจความรักของนายจริงๆ แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้ว ฉันว่ารักตัวเองบ้างคงดีกว่ายึดติดกับคนที่ไม่ได้รักนายนะ"
"ออกไปซะ ไม่ต้องมายุ่ง!" โรเบิร์ตะโไล่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ชาร์ลส์ไม่พูดอะไรต่อ เดินออกจากห้องขังอย่างใจเย็น ในขณะที่เ้าหน้าที่รีบล็อกกุญแจประตูเหล็กให้แ่า ทิ้งให้โรเบิร์ตได้อยู่กับความคิดของตัวเองในคุกเดี่ยว เพื่อไตร่ตรองสำนึกในความผิดที่เขาได้ก่อไว้
ระหว่างทางกลับไปบ้านเอ็ดมันด์ ความคิดของชาร์ลส์ก็ยังครุ่นคิดถึงเื่กระดาษปริศนาอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าจะสามารถคลี่คลายมันได้หรือไม่ แต่ก็รู้สึกมั่นใจในใจว่ามันคงมีความเกี่ยวพันกับอดีตของตน
บางทีเขาควรลองหาความหมายของมันจากแหล่งอื่นต่อไป หรือไม่ก็แค่เก็บเอาไว้ก่อน หวังว่าวันหน้าปริศนานี้จะถูกไขออกมาเอง
เมื่อกลับถึงบ้านของเอ็ดมันด์ชาร์ลส์ก็เริ่มจัดเก็บข้าวของ เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับเมืองหลวง เขาตรวจเอกสารและหลักฐานต่างๆ เพื่อความแน่ใจ ก่อนจะลงมือเก็บเสื้อผ้าและสัมภาระที่จำเป็เข้าไปในกระเป๋าเดินทาง
เมื่อยามบ่ายเริ่มมาเยือน แสงแดดยังคงส่องสว่างลงมาบนพื้นดินเปียกชื้น กลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาเริ่มกลับคืนมา นกน้อยบินร่อนร้องเสียงแว่วมาแต่ไกล ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้นได้ไม่น้อย
ชาร์ลส์ค่อยๆ เดินออกมาจากบ้านของเอ็ดมันด์ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เปิดโล่งปลอดโปร่ง ไร้เงาหมอกควันปกคลุมดังเช่นหลายวันก่อน อย่างน้อยนี่ก็เป็ครั้งแรกที่ได้มองเห็นความงดงามของธรรมชาติ หลังจากผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายในหมู่บ้านแห่งนี้มาได้
เขาหันมายืนหน้าบ้าน กล่าวคำอำลาเ้าของบ้านและเด็กหนุ่มที่ยืนส่งอยู่เงียบๆ ก่อนชาร์ลส์จะหยิบเอกสารที่เอ็ดมันด์ยื่นให้มารับไว้ มันคือเอกสารยืนยันการทำงานสำเร็จลุล่วง ที่นำไปเบิกค่าตอบแทนตามจำนวนที่ตกลงกันไว้กับทางสมาคมรับจ้าง
"ขอบคุณมาก" ชาร์ลส์พูดพร้อมกับจับมือกล่าวลาเป็ครั้งสุดท้าย
"ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ และขอบคุณเช่นกัน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง" เอ็ดมันด์ตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งถือว่าเป็พัฒนาการที่ดีขึ้นนับจากสีหน้าเศร้าสร้อยในตอนแรกที่พบกัน
หลังผงกศีรษะตอบรับ ชาร์ลส์ก็หมุนตัวเดินไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นก้องกังวานเป็จังหวะ สลับกับเสียงขนย้ายสัมภาระขึ้นไปเก็บไว้บนรถอย่างคุ้นเคย
ทว่าก่อนจะขึ้นไป เขาก็ยังหันมองภาพรอบด้านเป็ครั้งสุดท้าย สายตาไล่มองผ่านบ้านเรือนและผู้คนเ่าั้ไปทีละจุด
ต่อจากนี้ไปชาวบ้านจำเป็ต้องปรับตัวกับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ปล่อยวางความเชื่อเก่าๆ แต่ชาร์ลส์ก็ไม่ได้กังวลมากนัก เพราะเขามั่นใจว่าด้วยความช่วยเหลือของหมออีไลอัสแล้ว ต่อให้เจออะไรเลวร้ายพวกเขาก็จะฝ่าฟันผ่านไปได้
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นักสืบหนุ่มก็ปีนขึ้นนั่งประจำที่บนรถม้าด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว ยกมือโบกลาเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนที่พาหนะจะเคลื่อนออกไปสู่เส้นทางเบื้องหน้ามุ่งสู่เมืองหลวง
ภาพรถม้าของชาร์ลส์ค่อยๆ ลับลี้หายไปในแสงยามบ่าย ทิ้งให้ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าของม้าที่แ่ลงไปทุกที ผู้คนบนถนนต่างเหลียวมอง บ้างก็ส่งสายตาขอบคุณ บ้างก็มองตามอย่างสงสัย
ชาร์ลส์นั่งพิงหลัง ขยับตัวให้เข้ากับจังหวะโยกคลอนของรถม้า เสียงกีบเท้าที่กระทบพื้นและล้อไม้ที่ครูดกับถนนดินตามจังหวะคงที่ดังอยู่ตลอดการเดินทางสู่เมืองหลวง
เวลาผ่านไปหลังออกเดินทางนักสืบหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากถนนในชนบทเริ่มสู่เส้นทางที่คับคั่งยิ่งขึ้นทุกทีห้อมล้อมด้วยอาคารบ้านเรือน
ทว่าถึงกระนั้น ชาร์ลส์ก็ยังรู้สึกแปลกแยกอย่างบอกไม่ถูก จิตใจครุ่นคิดถึงบรรยากาศสงบเงียบของหมู่บ้านก่อนหน้านี้แม้มันจะเพิ่งเกิดเื่เลวร้ายก็ตาม
คิดถึงกลิ่นหญ้าชื้นและเสียงลมที่ผ่านแนวต้นไม้ใหญ่ นี่เป็ครั้งแรกในรอบสองปีที่เขาห่างจากเมืองใหญ่นานนัก จนแทบจะลืมภาพความวุ่นวายเหล่านี้ไปแล้ว
ในใจยังคงคาใจในปริศนาของกระดาษแผ่นนั้นและมีประเด็นอีกมากที่ต้องสืบหาคำตอบ ความกังวลผลักให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเกินควร ในที่สุด ความเพลียก็ตามทันและครอบงำอย่างช่วยไม่ได้
ชาร์ลส์สะบัดศีรษะ พยายามไล่ไออุ่นของอาการง่วงเหงาที่เริ่มคืบคลานเข้ามาทีละน้อย ความรู้สึกผิดย้อนมาเตือนสติให้นึกถึงคำแนะนำของหมออีไลอัสก่อนเดินทาง ที่บอกให้เขาพักให้เต็มที่ก่อนออกจากเดินทาง แต่ด้วยความดื้อรั้น เขาจึงเลือกเดินทางทันทีเพื่อจะกลับถึงเมืองหลวงเร็วที่สุด
แรงสั่นะเืเบาๆ ทำให้ชาร์ลส์รู้สึกตัว รถม้าจอดเทียบที่พักกลางทางตามกำหนดการ เหล่าผู้โดยสารทยอยกันลงไปผ่อนคลาย บางคนเข้าห้องสุขา บ้างก็เติมท้องกับอาหารจากแผงลอย
ชาร์ลส์เลือกนั่งพักบนรถม้า เอนกายพิงหลังและผ่อนคลายร่างกาย สายตาปรือลงครึ่งหนึ่งด้วยความง่วงงุน
แรงลมเย็นพัดผ่าน พาใบไม้แห้งปลิวว่อนเกลื่อนทาง เสียงใบไม้กรอบดังกรุ๊บกริ๊บราวกับเพลงกล่อม เปลือกตาของชาร์ลส์หนักลงทีละน้อยจนปิดสนิท
ท้ายที่สุดชาร์ลส์ก็หลับตาลงพร้อมกับปล่อยให้สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนรางห่างออกไป จิตใต้สำนึกเริ่มหลุดลอยออกจากโลกแห่งความจริง แล้วล่องลอยเข้าไปยังความฝัน
ณ จุดนี้เองที่ภาพความฝันของเขาเริ่มปรากฏ…
เสียงคลื่นก้องกังวาน ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยฝนฟ้าคะนอง สายฟ้าแลบน่าพรั่นพรึง ผิวน้ำสีเทาซีดขุ่นขึ้นฟองเป็คลื่นใหญ่
ชาร์ลส์เห็นตัวเองกำลังดิ้นรนอยู่กลางมวลน้ำมหาศาล พยายามว่ายเอาชีวิตรอดจากคลื่นั์ที่ถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด มือและเท้าตะกุยไปมาอย่างไร้ทิศทาง
แขนขาดูเหมือนเป็อัมพาตจมดิ่งลงสู่ผืนน้ำลึกโดยไร้แรงฝืน เขาพยายามกระเสือกกระสน หากปากก็เผลอสูดอากาศเข้าไปพร้อมกับน้ำเค็มจนสำลัก ร่างกายชาและเ็ปไปทั้งตัว มือคว้าหาที่เกาะเกี่ยวแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ความสิ้นหวังเริ่มเข้าครอบงำ แม้จะไม่เคยกลัวน้ำแต่ชาร์ลส์ก็ไม่มีทักษะว่ายน้ำ ทั้งหมดที่ทำได้มีเพียงพยายามลอยตัวเหนือคลื่น ก่อนจะถูกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากดูดกลืนลงไปในที่สุด
สติเริ่มพร่าเลือน ดวงตาเริ่มพร่ามัว เสียงร้องขอความช่วยเหลือหลุดจากปากแต่กลับมีเพียงเสียงลมพายุตอบกลับมา ชาร์ลส์รู้สึกหายใจไม่ออก ปอดแสบร้อนเมื่อสูดน้ำเข้าไปแทนอากาศ ร่างกายจมดิ่งสู่เบื้องลึกเหมือนคนสิ้นหวัง เขามั่นใจว่าชีวิตคงจบลงเพียงเท่านี้
แต่แล้ว...มีเศษไม้ท่อนใหญ่วูบเข้ามากระแทกใส่ศีรษะเขาอย่างจัง ไร้ซึ่งเสียงร้องของความเ็ป ไร้ซึ่งความใ มีเพียงสติที่เลือนราง ภาพสุดท้ายก่อนจะสลบไป คือภาพของชายหนุ่มผมทองคนหนึ่งกำลังว่ายน้ำฝ่าคลื่นลมมาทางเขา
ด้วยความยากลำบาก เปลือกตาของชาร์ลส์ก็ค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่ััได้คือความแข็งของพื้นไม้ใต้ร่าง ความหนาวเย็นปะทะผิวกาย และเสียงโวยวายของผู้โดยสารคนอื่นที่ดังอื้ออึงอยู่ในรถม้า
ชาร์ลส์ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง ตระหนักได้ว่าเขาคงหลุดตกจากที่นั่งตอนกำลังฝันร้ายนั่นเอง เห็นทีหน้าคงกระแทกพื้นจนตื่นและหลุดพ้นจากความฝันอันน่าขนลุก ตอนนี้ทุกสิ่งรอบกายต่างกลับมาดูชัดเจนและสมจริงยิ่งกว่าภาพฝันเสียอีก
นักสืบหนุ่มรีบปาดเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าออก แล้วหันไปบอกคนข้างๆ ที่มีสีหน้ากังวลว่าไม่มีอะไร ถึงแม้มันจะเป็แค่ฝัน แต่ชาร์ลส์ยังคงรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนก ความเย็นะเืของน้ำทะเลและความสิ้นหวังในฝันยังคงติดตรึงในใจ ประหนึ่งได้เห็นภาพแห่งความตายแบบเสมือนจริง
ชาร์ลส์สูดหายใจลึก พยายามทำใจให้สงบและเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวกลับไปนั่งบนเบาะเหมือนเดิม จิตใจวกกลับมานึกถึงภาพฝันเมื่อครั้งก่อน นี่เป็การฝันที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เขาจำความได้ เขาพยายามหาความเชื่อมโยงแต่ก็ยังไม่พบอะไร อาจเป็เพราะสมองที่อ่อนล้าส่งผลให้ไม่อาจคิดวิเคราะห์ลึกซึ้งได้
สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำใจให้สงบ ปล่อยร่างกายให้พักผ่อนเพื่อลดความหวาดกลัวลง ก่อนจะขยับตัวไปนั่งที่เดิมเมื่อมาถึงเวลาออกเดินทางต่อไป
ในใจยังมีคำถามและความกังวลอยู่มากมาย ทั้งเื่ความฝันและกระดาษปริศนา แต่ตอนนี้ชาร์ลส์รู้ว่าเขายังมีธุระต้องทำให้สำเร็จ กลับไปเมืองหลวงเพื่อรายงานผลและรับค่าตอบแทน หลังจากนั้น...ก็ค่อยไปคิดหาทางไขปริศนาที่ติดค้างต่อไป
นั่นคือสิ่งที่เขาต้องทำ...เพื่อตัวเอง ชายหนุ่มเอื้อมมือขึ้นมาัับนศีรษะของเขา ัับนแผลเป็ที่ถูกซ่อนไว้ ‘มันเป็ความทรงจำหรือความฝันกันแน่’
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้