ชวีเสี่ยวปอยังคงลังเล แต่ทันทีที่ก้มหน้าลงมาดูโทรศัพท์
โทรศัพท์กลับโทรออกไปเป็ที่เรียบร้อย !
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ” หรือว่านี่จะเป็สิ่งที่เขาเรียกกันว่าสมองไปเร็วกว่าร่างกาย? หรือจะเป็เพราะว่าเขาอายุเพียงเท่านี้มือไม้ก็ไม่เป็ไปตามที่สมองสั่งการแล้ว?
แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรับมือในตอนนี้กลับไม่ใช่ว่า “ฉันเป็โรคพาร์กินสันก่อนวัยอันควรหรือเปล่า” แต่กลับเป็เสียงของเซี่ยเจิงที่ขณะนี้ได้พูดคำว่าฮัลโหลขึ้นมาแล้ว
“เอ่อ ฮัลโหล” ภายใต้ความลนลานนี้ทำให้ชวีเสี่ยวปอเผลอไปกดเปิดลำโพงเข้า
“อืม? ยังไม่นอนอีกเหรอ? ” เซี่ยเจิงพูดเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย น่าจะหลับไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมา แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่มีความกังวลใจเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอถึงนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนที่จะต่อสายหาซือจวิ้น เขาได้บอกฝันดีกับเซี่ยเจิงไปรอบหนึ่งแล้ว เขาจึงยิ่งพูดอ้ำๆ อึ้งขึ้นมายิ่งกว่าเดิม :
“เอ่อ ฉันแค่...”
“มีเื่จะพูดเหรอ? ” เซี่ยเจิงถอนหายใจ “ปอเอ๋อร์” แต่เขากลับเรียกชื่อชวีเสี่ยวปอออกมาเพียงครั้งเดียว ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
มันทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างมาก พูดให้ถูกคือ จากที่ไม่สบายใจอยู่แล้วก็เพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว เดิมทีหัวใจของเขาก็ราวกับมีอิฐบล็อกมากขวางกั้นเอาไว้พอดิบพอดีจนไม่เหลือช่องว่าง แต่ความรู้สึกเมื่อเซี่ยเจิงพูดอึกๆ อักๆ เช่นนี้เหมือนกับเขากำลังเพิ่มจำนวนอิฐบล็อกขึ้นมาในใจของชวีเสี่ยวปออย่างไม่ลังเล ทว่าชวีเสี่ยวปอทำได้เพียงเฝ้าดูอิฐบล็อกเ่าั้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาช้าๆ สร้างกำแพงสูงคั่นกลางระหว่างเขากับเซี่ยเจิง
เขาไม่อยากให้เป็เช่นนี้
“คุณแฟน” ชวีเสี่ยวปอสูดลมหายใจเข้าไป “พวกเราทำข้อตกลงสามข้อกันก่อนได้ไหม? ”
“ฮะ? ” เซี่ยเจิงได้ยินชัดเจนแล้ว แต่เหตุผลที่ถามออกไปเป็เพราะว่าเขารู้สึกว่าประโยคนี้ของชวีเสี่ยวปอถามขึ้นมาอย่างแปลกๆ แล้วจู่ๆ ทำไมถึงต้องทำข้อตกลงสามข้อด้วย? แต่เซี่ยเจิงก็พูดไปว่า : “นายว่ามาเลย”
“ข้อแรก ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราสองคนห้ามปิดบังกันเด็ดขาด” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าจงใจทิ้ง่เอาไว้รอฟังเซี่ยเจิงตอบกลับมา
“ตกลง” แม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะมองไม่เห็น แต่เซี่ยเจิงก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น เขาเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมชวีเสี่ยวปอถึงได้โทรศัพท์มา “ยังมีอีกสองข้อนี่? ”
“เอ่อ ยังคิดไม่ออก” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะแหยๆ ขึ้นมาสองที
“ติดไว้ก่อน” เซี่ยเจิงเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน “ปอเอ๋อร์...”
“งั้นก็ได้ นายฟังฉันนะ” ชวีเสี่ยวปอรีบพูดแทรกเขาขึ้นมาทันที “เมื่อตอนค่ำที่นายถามฉันเื่นั้น”
มือของเซี่ยเจิงกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงเขาไม่ได้คาดหวังให้ชวีเสี่ยวปอตอบอะไรขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่อย่างน้อยั้แ่ที่เขาทั้งสองคนแยกกันในตอนค่ำจนกระทั่งวินาทีก่อนหน้าที่ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้นมา เซี่ยเจิงล้วนไม่ได้คาดหวังอะไรไปมากกว่านี้เลย แต่ทว่าในตอนนี้ที่ชวีเสี่ยวปอหยุดพูดไปเพียงเสี้ยววินาที สำหรับเขาแล้วมันเป็การรอคอยที่ยาวนานเหลือเกิน
“เฮ้อ ที่จริงฉันไปถามซือจวิ้นมาน่ะ” ชวีเสี่ยวปอตั้งใจพูดประโยคนี้ออกไป เพราะเขารู้สึกว่าตัวเขาเองและเซี่ยเจิงในตอนนี้ต่างก็เป็เหมือนคันธนูที่ตึงแน่น เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้ฟังดูสบายๆ ขึ้นมาเล็กน้อย : “ซือจวิ้นรู้เื่เยอะกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย เอ่อ คือว่า เซี่ยเจิง นายอยากสอบเข้ามหาลัยเดียวกับฉันใช่ไหม? ”
“ใช่” เซี่ยเจิงพูดออกมาทันทีโดยไม่ได้คิด จนทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยกับความรีบร้อนนี้
“นายกำลังคิดถึง...อนาคตของพวกเราอยู่” ชวีเสี่ยวปอจงใจพูดเน้นคำว่าอนาคตคำนี้ให้เสียงหนักขึ้น “ใช่ไหม? ”
“ใช่” เซี่ยเจิงยืนยันออกมาอีกครั้ง “นาย...” เซี่ยเจิงพูดออกมาได้เพียงครึ่งเดียวก็ได้ยินดังปังมาจากปลายสายของชวีเสี่ยวปอ ตามมาด้วยเสียงลากเท้าที่ดังขึ้นมาในลำโพงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า : “ดึกขนาดนี้แล้วลูกโทรคุยกับใครอยู่น่ะ? ”
“ฉันไม่ได้ล็อกประตู? ” ชวีเสี่ยวปอมองเวินลี่อย่างพูดไม่ออก “แม่ดึกดื่นขนาดนี้ไม่นอนเหรอครับ? ”
“แม่ตื่นมาเข้าห้องน้ำแล้วเห็นว่าลูกยังไม่นอน !” เวินลี่พูดเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น “โทรหาใครฮะ? ผู้หญิงหรือเปล่า? ”
“ซือจวิ้น !” ถึงยังไงอ้างชื่อของซือจวิ้นขึ้นมาเป็เกราะกำบังก็ไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้งแล้ว อันที่จริงบอกว่าเซี่ยเจิงไปก็ไม่เป็ไรเช่นกัน แต่ชวีเสี่ยวปอไม่เคยพูดถึงชื่อเซี่ยเจิงให้เวินลี่ได้ยินมาก่อน ถ้าบอกไปว่าเป็เพื่อนในห้องก็เกรงว่าเวินลี่จะไล่ถามต่ออีกว่าเขาเป็ใคร เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มปัญหาให้กับตัวเอง บอกไปว่าซือจวิ้นเช่นนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว
“จริงเหรอ? ” เวินลี่เชื่อเพียงครึ่งเดียว ทั้งยังคงสงสัยอยู่เล็กน้อย
ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปยังโทรศัพท์มือถือ เซี่ยเจิงวางสายไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหันไปให้เวินลี่ดูทันที จากนั้นจึงโยนลงไปบนผ้าห่ม พร้อมทั้งพูดขึ้นว่า : “ถ้างั้นก็เชิญแม่ดูตามสบายได้เลย”
“แม่ไม่ดูแล้ว” ครั้งนี้เวินลี่เชื่อสนิทใจ “รีบนอน เดี๋ยวแม่ปิดไฟให้” เวินลี่เอ่ยขึ้นพลางเดินออกไป เมื่อเดินถึงหน้าประตูก็กดสวิตช์ไฟให้ดับลง
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น หน้าจอโทรศัพท์ก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง
ภายใต้ความมืดมิด ชวีเสี่ยวปอมองดูข้อความประโยคหนึ่งที่เซี่ยเจิงเป็คนส่งมา
“ฉันหวังว่าในอนาคตจะมีนายอยู่ด้วยกัน”
คำหวานเช่นนี้ !
หลังจากที่เซี่ยเจิงส่งข้อความนี้มา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนว่าโทรศัพท์ได้เปลี่ยนเป็ลูกะเิที่จุดไฟเอาไว้แล้ว จนทำให้เขาต้องโยนโทรศัพท์ออกไป จากนั้นก็เอาศีรษะชนเข้ากับหัวเตียง
ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่เลย
อีกด้านหนึ่งก็คือ รู้สึกว่าการคำพูดเช่นนี้ระหว่างผู้ชายสองคนเป็เื่ที่ดูเสแสร้งมากเลยทีเดียว
แต่ความจริงใจต้องทำเช่นไรถึงจะสามารถทำให้เขามองเห็นมันได้
เขาไม่อาจที่จะควักหัวใจออกมาให้ดูได้ ถ้าพูดมากเกินไปก็เหมือนจะเป็การคุยโวโอ้อวดขึ้นไปอีก เซี่ยเจิงรู้สึกว่าการมีความรักของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับกำลังเหยียบไปบนปุยเมฆที่อ่อนนุ่มหวานละมุม แต่ทันทีที่ไม่ระวังก็จะทำให้เขาร่วงหล่นลงมาได้
เขาอยากที่จะมีอนาคตร่วมกับชวีเสี่ยวปอจริงๆ
เื่นี้ถือได้ว่าจบลงไปชั่วคราว เซี่ยเจิงไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ส่วนชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่อยากที่จะตอบคำถามเช่นกัน ความรู้ใจกันของทั้งสองคนยังคงมีอยู่ และพวกเขาต่างก็ล้วนให้เวลาซึ่งกันและกัน
การฝึกซ้อมก่อนที่จะถึงการแข่งขันในลีกมัธยมปลายได้เริ่มต้นขึ้น
ซึ่งแตกต่างจากการฝึกซ้อมภายในชั้นเรียนของพวกเขาก่อนหน้านี้ ครั้งนี้มีคุณครูมารับผิดชอบการแข่นขันโดยเฉพาะ เพราะถึงยังไงก็เป็การแข่งขันระหว่างโรงเรียน ทั้งยังต้องได้เข้าไปอยู่ในการจัดอันดับของเมือง ดังนั้นการฝึกซ้อมจึงดูเข้มงวดเป็พิเศษ แต่ทว่า นอกจากชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงแล้ว คนที่เหลือก็ล้วนมาจากทีมนักกีฬาโรงเรียน พวกเขาจึงคุ้นเคยกับวิธีการฝึกซ้อมเช่นนี้เป็อย่างดี ดังนั้นเมื่ออุ่นเครื่องไปได้เพียงแค่ครั้งเดียว ชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงต่างก็หอบหายใจใส่กัน จนใครก็พูดว่าใครไม่ได้เลย
“ไม่เลว” มีใครบางคนตีลงมาบนไหล่ของชวีเสี่ยวปอ
“ครูหลัวครับ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกหนักก้นเป็อย่างมาก ไม่อยากที่จะลุกขึ้นมาเลยสักนิด แต่ก็ยังพยายามลุกขึ้นมาเพื่อทักทายคุณครู คนที่พูดเมื่อครู่นี้คือโค้ชฝึกสอนบาสเกตบอล ทั้งยังเป็โค้ชของซือจวิ้นด้วย ก่อนหน้านี้ชวีเสี่ยวปอรู้จักเขามาบ้างแล้ว ซือจวิ้นและเพื่อนในทีมล้วนแอบเรียกเขาว่า “ยมทูตหลัว”
“เธอควรเข้ามาอยู่ในทีมบาสเกตบอลจริงๆ นะ” โค้ชหลัวพยักหน้าอย่างกำลังใช้ความคิด จากนั้นก็มองประเมินชวีเสี่ยวปอั้แ่หัวจรดเท้า พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเสียดายมาก : “ก่อนหน้านี้ครูมองข้ามต้นกล้าที่ดีอย่างเธอไปได้ยังไงนะ? ”
“ไม่เป็ไรละครับ โค้ชหลัว” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้าอย่างบ้างคลั่ง “ผมยังอยากใช้ชีวิตอยู่อีกสองปีครับ”
“ไม่เป็ได้ยังไงล่ะ คิดดูหน่อยไหม” โค้ชหลัวไม่ตกหลุมพรางเขา ทั้งยังใช้มือใหญ่บีบลงมาบนไหล่ของชวีเสี่ยวปอสองที “เป็ต้นกล้าที่ดีมากจริงๆ มาฝึกกับครู ครูจะทำให้เธอเจริญงอกงามอย่างแน่นอน”
“ต้นกล้าที่ดีต้นนี้กำลังจะถูกครูบีบจนเฉาแล้วครับ” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันพูดออกมาด้วยความเจ็บ ในใจก็คิดขึ้นมาว่าแต่ตอนนี้ครูจะพาผมขึ้น์น่ะสิครับ “ครูปล่อยผมไปเถอะครับ”
“งั้นก็ได้” โค้ชหลัวพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ จากนั้นจึงเลิกคิ้วหนาทั้งสองข้างขึ้นมา “พรุ่งนี้วิ่งเพิ่มอีกสามกิโล” หลังจากพูดจบจึงชำเลืองมองไปยังเซี่ยเจิง พลางพูดพึมพำขึ้นมาว่า : “ที่จริงเธอก็ไม่แย่นะ” จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างมีความสุข
เมื่อโค้ชหลัวเดินออกไป ชวีเสี่ยวปอก็รีบกลับมานั่งลงข้างๆ เซี่ยเจิงทันที ความรู้สึกทุกข์ทรมานที่ก้นคงน่าจะเป็เช่นนี้ จากนั้นเขาจึงทำท่าสูดจมูกฟุดฟิดกับเซี่ยเจิง
“ทำอะไร” เซี่ยเจิงดันหัวไหล่ของเขาไปทีหนึ่ง “จะทำการแสดงน้ำตาลูกผู้ชายให้ฉันดูหรือไง? ”
“ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมาทันที แต่แล้วก็ถอนหายใจออกมา : “นายว่าถ้าซือจวิ้นต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ทุกวัน แล้วทำไมเขายังยืนหยัดที่จะทำต่อไปได้อีกล่ะ? ”
“เขาอยากสอบเข้าวิทยาลัยกีฬามั้ง” เซี่ยเจิงพูดขึ้น พลางมองไปยังซือจวิ้นที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำมาและกำลังเดินมาทางพวกเขาสองคน
“อืม เขาก็ชอบเล่นบาสจริงๆ แหละ” ชวีเสี่ยวปอนวดไปบนน่องที่มีอาการปวดขึ้นมา จากบนลงล่าง นวดไปนวดมาก็ไปลูบเข้าที่น่องของเซี่ยเจิงอย่างรวดเร็วหนึ่งที อันที่จริงห่างออกไปสามเมตรยังมีนักเรียนของทีมโรงเรียนคนอื่นๆ อยู่เช่นกัน แต่เขาทั้งสองคนนั่งใกล้กันมาก แทบจะแขนแนบแขน ขาแนบขาเลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าการกระทำนี้ของชวีเสี่ยวปอมันคลุมเครือมากเพียงใด