ตระกูลชุยร้อยถึงสองร้อยกว่าคน? ได้ยินตัวเลขเหล่านี้ ชุยเผิงเฉิงเกือบจะเป็ลม
เขาสำนึกเสียใจขึ้นมาทันควัน รู้แต่แรกคงไม่โลภในกำไรเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันของซูจิ้งโหยวแบบนี้ แต่ตอนนี้แบต่อหน้าอวี้เสวียนจี ยังเป็ไปได้ที่จะแถมชีวิตของคนในวงศ์ตระกูลทั้งหมด เขาสำนึกเสียใจแทบคลื่นไส้อาเจียน
ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก อวี้เสวียนจีได้ขยิบตาให้ขันทีน้อยข้างกาย ขันทีน้อยรับบัญชารีบนำสมุดน้อยเล่มหนึ่งออกจากอก สองมือประคองส่ง
อวี้เสวียนจีรับสมุดเล่มเล็กมา ประกายกระหายเืในดวงตาวาวโรจน์ลุกโชน แต่น้ำเสียงกลับเนิบเบาผิดปกติ “พวกเ้าสองคนผลัดกันพูดเถิด ทั้งนี้คุณหนูสามได้นัดพบส่วนตัวกับคนที่ไหนและเมื่อใด ถ้าพูดผิดหรือไม่สามารถพูดออกมาได้ ก็ต้องเฉือนเนื้อชิ้นหนึ่ง ตลอดที่ผ่านมาข้าใจกว้างพอ เฉือนตรงไหนก็ให้พวกเ้าเลือกเองเถิด”
ให้ตายสิ พูดผิดประโยคหนึ่งเฉือนเนื้อหนึ่งชิ้น แบบนี้ยังมีหน้าพูดว่าตนเองใจกว้าง ทั่วใต้หล้าทำเื่นี้ออกมาได้มีเพียงอวี้เสวียนจีเท่านั้นแล้ว
“ถ้างั้นก็... ตาเ้าก่อน” อวี้เสวียนจีใช้นิ้วหัวแม่มือน้อยซึ่งสวมปลอกผ้าไปทางหยานเอ๋อร์
หยานเอ๋อร์ใจนหน้าซีดขาว ได้แต่หลับตาแสร้งปั้นหน้ายุ่งยากอยู่สักพัก “ตอบ... ตอบวาจาของท่านอ๋องเก้าพันปี วันก่อนคุณหนู ได้พบกับคุณชายชุยที่ประตูหลังของจวนอัครมหาเสนาบดี...”
ไม่รอให้หยานเอ๋อร์พูดจบ น้ำเสียงซุกซนของอวี้เสวียนจีก็ดังขัด “เวลากับสถานที่ผิด เนื้อสองชิ้น เ้าบอกซิว่าควรเฉือนที่ไหนดี?”
หยานเอ๋อร์ใมาก “ท่านอ๋องเก้าพันปี ทุกวาจาของบ่าวเป็ความจริงเ้าค่ะ”
“ผิดอีกหนึ่งประโยค เนื้อสามชิ้น” อวี้เสวียนจีชูสามนิ้วส่ายตรงหน้าหยานเอ๋อร์น้อยๆ “ในเมื่อเ้าไม่เลือกเอง เช่นนั้นข้าจะช่วยเ้าเลือกก็แล้วกัน ใบหน้าหนึ่งชิ้น ขาหนึ่งชิ้น แล้วชิ้นสุดท้าย... ที่หน้าอกก็แล้วกัน”
“โอ้ ไม่... ไม่ได้” หยานเอ๋อร์ใจนกระถดถอยหลังสุดชีวิต กลับถูกลูกน้องของอวี้เสวียนจีจับขึงไว้ เมื่อไม่เห็นทางรอดแน่ๆ แล้ว จึงชี้หน้าอวี้เสวียนจีด่ายกใหญ่ “เ้าพูดเหลวไหล กลับดำเป็ขาว เห็นชัดๆ ว่าลำเอียงเข้าข้างซูเฟยซื่อ”
อวี้เสวียนจีเลิกคิ้วแล้วหัวเราะอย่างไร้เดียงสา “ตอนที่ยังไม่เห็นเ้ากับคุณชายชุย ข้ายังคิดว่าตนเองเป็คนชั่วร้ายมหันต์มิอาจอภัย ถนัดที่สุดในการกลับผิดเป็ถูก แต่ตอนนี้เห็นพวกเ้าทั้งสองแล้ว ข้าได้แต่ถอนใจว่าตนเองเทียบไม่ติด ใส่ร้ายให้ข้าเปื้อนมลทิน ิ่เกียรติข้า เกรงว่าคงต้องเพิ่มเนื้ออีกสองชิ้น เฉือนตรงไหนดี?”
ขณะที่อวี้เสวียนจีครุ่นคิด หยานเอ๋อร์ได้กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา เพียงเห็นนางถูกคนฉีกตะกุยเสื้อผ้าจนล่อนจ้อน เหมือนเดรัจฉานตัวหนึ่งถูกกดไว้บนพื้น
ประกายคมดาบตวัดขึ้นลง เนื้อสามชิ้นที่อวี้เสวียนจี้าได้ถูกคนประคองด้วยมือทั้งสองข้างส่งขึ้นมา
ทุกชิ้นมีขนาดเท่ากัน รอยตัดเรียบเสมอ มองปราดเดียวก็รู้เป็ผู้เชี่ยวชาญใช้การลงทัณฑ์แบบนี้
มองหยานเอ๋อร์อีกครั้ง ดวงตาสองข้างเหลือกขาว หน้าอกเืกระเซ็น หากยังมีสติอยู่นั่นคงล้อเล่นแล้ว
“ท่านอ๋องเก้าพันปี นางเป็ลมไปแล้ว” คนที่ดำเนินการลงทัณฑ์กล่าวพลาง
อวี้เสวียนจีแกล้งถอนใจด้วยความเห็นอกเห็นใจสุดประมาณ “มีคำกล่าวว่าคนดีอายุไม่ยืน ภัยพิบัติเหลือไว้เป็พันปี เป็ไปได้อย่างไรจะเป็ลมเร็วขนาดนั้น? ไม่เป็ไร ยังมีเนื้ออีกตั้งสองชิ้น หากเฉือนเสร็จก็คงได้สติ คุณหนูสาม เ้าว่าเนื้อที่เหลืออีกสองชิ้นควรเฉือนที่ไหน?”
ซูเฟยซื่อที่จู่ๆ ถูกเรียกชื่อก็ค้อนควัก นางรู้ว่าอวี้เสวียนจีคิดจะให้นางแก้แค้นเอง ลงโทษคนที่ทรยศนางคนนี้
แต่สถานการณ์แบบนี้จะให้นางพูดว่าอะไร? เห็นได้ชัดว่าเป็อีกหนึ่งบททดสอบแล้ว
ดูเหมือนจะเป็สิ่งที่ดี ในความเป็จริงนี่คือยาพิษเคลือบน้ำตาล
หากนางพูดเองว่าเฉือนตรงไหนย่อมต้องทำให้ทุกคนในที่เกิดเหตุไม่พอใจแน่นอน ทั้งนี้เป็คุณหนูของจวนอัครมหาเสนาบดีคนหนึ่งมีใจโเี้อำมหิตแบบนี้ ไม่ใช่เื่ดีจริงๆ
ถ้านางขอร้องแทนหยานเอ๋อร์ คนอื่นกลับพอใจ แต่อวี้เสวียนจีอาจรู้สึกว่านางไร้ความสามารถ
คนทรยศอยู่ตรงหน้ายังไม่สามารถแก้แค้นได้ แล้วจะเอานางไว้ทำอะไร?
ในใจซูเฟยซื่อพลันไหววูบ บีบน้ำตาออกมาสองหยดตรงๆ แกล้งทำทีเป็รับปากลูกเดียว “ตอบท่านอ๋องเก้าพันปี แม้หยานเอ๋อร์ได้ทำเื่ใส่ร้ายป้ายสีเ้านายแบบนี้ ทว่าั้แ่ต้นจนจบนางก็เป็สาวใช้ของข้า ยังขอท่านอ๋องเก้าพันปีโปรดเมตตาให้หยานเอ๋อร์บ้าง มิฉะนั้นหน้าอกของหญิงสาวต่ำข้างสูงข้างไม่สมดุล วันข้างหน้าจะพบผู้คนได้อย่างไรเ้าคะ?”
สิ้นเสียงพูด ฝูงชนในที่เกิดเหตุต่างซาบซึ้งความใจกว้างของซูเฟยซื่อทันที ถูกสาวใช้คนสนิทของตนทรยศยังวิงวอนแทนนาง ไม่เสียทีที่เป็คุณหนูของจวนอัครมหาเสนาบดี
แต่คิดให้รอบคอบ ดูเหมือนวาจานี้มีที่ไหนผิดปกติอีก สมดุล? นั่นไม่ใช่ว่าต้องเฉือนหน้าอกทั้งสองด้านของหยานเอ๋อร์ให้หมดหรือ!
อวี้เสวียนจีเบ้ริมฝีปากไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา
นังหนูนี่ ไม่เสียทีเป็คนที่ตนต้องตา ใจดำเหมือนเขาแท้ๆ “คุณหนูสาม ช่างเป็คนใจเมตตาอย่างที่คิด ก็เอาตามนั้น”
เมตตาคำหนึ่ง ใจบุญสุนทานคำหนึ่ง ฟังจนซูเฟยซื่อขนลุกชัน
เป็อีกสองดาบลงไป ตามคาดหยานเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาจากความเ็ปทั้งเป็
แต่ครึ่งชีวิตหายไปแล้ว กระทั่งแรงพูดจาก็ไม่มี
เห็นเหยียนเอ๋อร์ถูกทรมานสาหัสแบบนี้ ชุยเผิงเฉิงก็ตื่นตระหนกจนร้องหาพ่อแม่ในใจไปนานแล้ว
ทว่าต่อให้เพรียกหาบิดามารดาในยามนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยได้ ยังมีโอกาสมากสุดๆ ต้องตายไปพร้อมกันอีก
คิดถึงตรงนี้ เขารีบโขกศีรษะให้อวี้เสวียนจีสุดชีวิต โขกศีรษะพลางะโร้องเสียงดังพลาง “ข้ายอมแล้ว ยอมทุกอย่างแล้ว ท่านอ๋องเก้าพันปีโปรดไว้ชีวิต ท่านคิด้ารู้อะไรข้าพูดหมด”
แต่น่าเสียดายที่เขาคิดพูดตอนนี้ได้สายเกินไปแล้ว
อวี้เสวียนจีกวาดสายตามองเขาอย่างดูถูก โบกสมุดเล่มน้อยในมือ “เพื่อหลีกเลี่ยงมีคนว่าข้าพูดเหลวไหล กลับผิดเป็ถูก ข้าก็จะอ่านหลักฐานคราหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ จวนอัครมหาเสนาบดีไม่สงบมาตลอด ข้าในฐานะอุปราชตงฉาง ย่อมมีหน้าที่พิทักษ์ความปลอดภัยของจวนอัครมหาเสนาบดี ส่งยอดฝีมือของตงฉางไปพิทักษ์ความปลอดภัยของคุณหนูหลายคน ยิ่งได้บันทึกชีวิตประจำวันเื่การกินการดื่ม ตื่นนอนไว้ในสมุด เตรียมไว้เผื่อใช้ยามจำเป็ ในนั้นย่อมรวมถึงคุณหนูสามด้วย สาวรับใช้คนนี้เพิ่งกล่าวว่าวันก่อนคุณหนูสามลอบพบส่วนตัวกับคุณชายชุยที่ประตูด้านหลัง แต่ในบันทึกของข้ากลับเป็ว่าวันก่อนคุณหนูสามไม่ได้ออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีสักครั้ง ทั้งยังไม่เคยพบหน้าผู้ใด พวกเ้าสองคนจะอธิบายอย่างไร?”
วาจานี้เสมือนสาดน้ำเข้าไปในกระทะน้ำมันจนปะทุออก ทำเอาทุกคนในที่เกิดเหตุดวงตาเบิกกว้าง ซูเต๋อเหยียนยิ่งตัวสั่นแล้ว พิทักษ์ความปลอดภัยของคุณหนูทั้งหลาย?
ปกป้องพิทักษ์งั้นหรือ ควรกล่าวว่าเป็เฝ้าสังเกตลอบสอดแนมไม่ดีกว่าหรือ
ถ้าเพียงเฝ้าสังเกตคุณหนูหลายคนก็ยังดี แต่ถ้าสอดแนมกระทั่งเขา… คิดๆ ก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น
ซูเฟยซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เื่ที่อวี้เสวียนจีลอบสอดแนมจวนอัครมหาเสนาบดี นางย่อมทราบดี แต่บัดนี้เพื่อช่วยนาง ไม่คาดว่าเขาจะพูดออกมา นี่ไม่กลัวว่าซ่งหลิงซิวกับซูเต๋อเหยียนจะหาเื่เขาหรือ?
เพื่อนางแล้ว ทำแบบนี้คุ้มค่าหรือ?
ซุยเผิงเฉิงกับหยานเอ๋อร์ฟังวาจานี้จบ ทั่วบริเวณราวกับหยุดนิ่ง
เดิมพวกเขาคิดว่าครั้งนี้ซูเฟยซื่อตายแน่แล้ว ไม่คิดว่าความดีงามสูงขึ้น 1 ฉื่อ แต่ความชั่วร้ายสูงขึ้น 10 ฉื่อ ไม่คาดว่าอวี้เสวียนจีถึงกับมีอาวุธลับเช่นนี้
“ท่านอ๋องเก้าพันปีโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด ทุกสิ่งล้วนเป็พระสนมบัญชา ไม่เกี่ยวกับข้า ล้วนเป็พระสนมทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ” ชุยเผิงเฉิงเห็นสถานการณ์ยุ่งยากผ่านไปแล้ว รีบโขกศีรษะวิงวอน แต่ยังไม่ลืมสารภาพว่าเป็ซูจิ้งโหยวที่บงการอยู่เื้ั
ใบหน้าของซูจิ้งโหยวพลันเปลี่ยนสี แค้นเคืองจนแทบตรงเข้าไปฆ่าชุยเผิงเฉิงเสียตอนนี้ “โอหัง ใครให้เ้าขวัญกล้าบังอาจมาใส่ร้ายข้า”