“พี่เฟิง ฝ่ามือเมื่อครู่ของท่านช่างโหดร้ายยิ่งนัก ใบหน้าของนางงดงามไม่เบา แต่ท่านเล่นตบเสียเกือบเสียโฉม”
ไป๋จื่อเยว่กล่าว มุมปากก็ยกขึ้นเป็รอยยิ้ม
“เ้านี่ก็เหลือเกิน ลูกตาของเ้าแทบจะสิงเข้าไปในตัวนางอยู่แล้ว”
มู่ขวงกล่าวเหน็บแนม
“คนอย่างเ้าจะไปเข้าใจอะไร ขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมสมควรได้รับการทะนุถนอม ไม่ใช่ว่ากล่าวหรือตบตี”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่จริงจังนัก หากไม่ได้ถือกระบี่เกรงว่าเขาคงไม่ต่างอะไรจากพวกนักเลงเสเพลข้างถนน
“ไม่ว่าจะเป็บุรุษหรือสตรี เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือก็อย่าได้ใจอ่อนเป็อันขาด พวกที่ต้องระวังเป็พิเศษในยุทธจักรก็คือคนชรา เด็กและสตรีนี่แหละ พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?"
มู่เฟิงถามเสียงเรียบ
Wทำไมหรือขอรับ?”
มู่ขวงยังคงไม่เข้าใจ แต่ไป๋จื่อเยว่กลับตอบด้วยรอยยิ้ม “เพราะคนทั้งสามประเภทนี้จะใช้วิธีการที่ไร้ซึ่งความยุติธรรมสำหรับเรา”
“นับว่าเ้ายังรู้ความ”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาก
“ข้าไม่เข้าใจ"
ทว่ามู่ขวงกลับส่ายหน้าด้วยความงุนงง
มู่เฟิงจึงอธิบายให้เด็กหนุ่มเข้าใจอย่างอดทน “สำหรับคนที่ไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง พวกเขาจะใช้กลวิธีที่ไร้ยางอายในการป้องกันตัวเอง นอกจากนี้ภาพลักษณ์ของคนทั้งสามประเภทก็มักจะทำให้คนขาดความระมัดระวังด้วย”
“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าต่อไปข้าคงต้องอยู่ให้ห่างจากสตรีอีกสักหน่อย”
มู่ขวงพลันตระหนักได้ในที่สุด
“พวกเ้าสามคนหมายความว่าอย่างไร? พวกเ้าพูดราวกับว่าสตรีนั้นเป็พวกต่ำช้าและโหดร้ายอย่างนั้นแหละ เฟิง เ้าต้องอธิบายให้รู้เื่นะ!”
ว่านเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที นางบิดหูของมู่เฟิงไม่ยอมปล่อย
“ผิดแล้ว ผิดแล้ว ว่านเอ๋อร์ เื่นี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเ้า เ้านั้นแสนดีที่สุด ทั้งยังอ่อนโยนที่สุดด้วย”
มู่เฟิงเอียงศีรษะไปตามมือนุ่มนิ่มของนางด้วยความเ็ป ขณะร้องขอความเมตตา
“หึ ก็ยังเหมือนกันนั่นแหละ”
ว่านเอ๋อร์ยอมปล่อยมือในที่สุด
“ฮ่าๆ มู่ขวง เ้าเห็นหรือไม่”
ไป๋จื่อเยว่หัวเราะออกมาดังลั่น
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็เดินไปยังวิหารรับภารกิจ ส่วนว่านเอ๋อร์ก็เดินกลับไปยังเขตที่พักของบัณฑิตหญิง
วิหารรับภารกิจคือวิหารขนาดใหญ่ที่มีสีดำทั้งหลัง บรรยากาศของที่นี่คึกคักเป็อย่างมาก เนื่องจากมีบัณฑิตเข้าออกอยู่เป็จำนวนมาก แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนมาที่นี่เพื่อรับภารกิจ
หลังจากพวกมู่เฟิงเดินเข้าไปทึ่โถงกลาง พวกเขาก็พบว่ามีโต๊ะศิลาตั้งอยู่หลายโต๊ะ และมีผู้ดูแลทำหน้าที่มอบหมายภารกิจให้กับเหล่าบัณฑิตประจำอยู่ที่โต๊ะเ่าั้ พวกมู่เฟิงจึงเลือกเดินไปยังโต๊ะศิลาโต๊ะหนึ่งที่มีจำนวนคนน้อยที่สุด บนผนังด้านหลังถูกแขวนไว้ด้วยข้อมูลของภารกิจจำนวนมาก
โดยภารกิจเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็สามระดับชั้น ซึ่งระดับชั้นที่หนึ่งเหมาะสำหรับบัณฑิตที่มีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขึ้นไป และภารกิจระดับนี้เป็ภารกิจที่ได้รับคะแนนมากที่สุด ส่วนภารกิจชั้นสองเหมาะสำหรับบัณฑิตที่มีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขึ้นไป ในขณะที่ภารกิจชั้นสามเป็ภารกิจที่ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับบัณฑิตใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักศึกษา
มู่เฟิงกวาดตามองภารกิจเ่าั้ที่ถูกแบ่งแยกระดับเอาไว้อย่างชัดเจน
ภารกิจชั้นสาม การให้อาหารอินทรีดำหลังค่อมในโรงเลี้ยงสัตว์อสูรเป็เวลาครึ่งเดือน แลกกับคะแนนสี่ร้อยคะแนน
ภารกิจชั้นสาม ดูแลอาณาเขตของหุบเขาิญญาเป็เวลาหนึ่งเดือน แลกกับคะแนนหกร้อยคะแนน
หลังจากอ่านรายละเอียดของภารกิจเ่าั้แล้วมู่เฟิงก็ส่ายหัว ภารกิจชั้นสามนั้นใช้เวลาค่อนข้างนานและคะแนนที่ได้รับก็ไม่มากเท่าไรนัก
จากนั้นเขาก็กวาดตามองไปยังภารกิจชั้นสอง
ภารกิจชั้นสอง การตามหาสมุนไพรขั้นสาม ผลหทัยสีน้ำเงิน แลกกับคะแนนหนึ่งพันคะแนน
ภารกิจชั้นสอง...
สำหรับผลตอบแทนของภารกิจชั้นสองนั้นล้วนอยู่ที่ราวๆ หนึ่งพันคะแนน ซึ่งสามารถเลือกเองได้
สำหรับภารกิจชั้นสองนี้มีมากมายหลายร้อยงาน เมื่อมู่ขวงหันไปมองภารกิจชั้นหนึ่งก็พบว่ามันมีอยู่น้อยมาก ในทุกวันจะมีภารกิจเพียงยี่สิบงานเท่านั้น
ภารกิจชั้นหนึ่ง การล่าอสูรร้ายระดับหนิงกังปักษาขนเหล็กเพื่อแก่นโลหิตของมัน แลกกับคะแนนห้าพันคะแนน
ภารกิจชั้นหนึ่ง ทลายกลุ่มโจรทีู่เาหม่าซาน แลกกับคะแนนเจ็ดพันคะแนน
ภารกิจชั้นหนึ่ง ตามจับหลี่ไฉ่อิน จอมโจรเด็ดบุปผา*จากอาณาจักรต้าหยวน (จับเป็เท่านั้น) แลกกับคะแนนหนึ่งหมื่นคะแนน!
(*โจรข่มขืน)
มู่เฟิงไล่สายตามองภารกิจชั้นหนึ่งไปทีละรายการ มากสุดคือได้รับคะแนนมากกว่าสองหมื่นคะแนน ส่วนน้อยสุดคือได้รับคะแนนสามพันคะแนน
แน่นอนว่าผลคะแนนที่ได้รับจะเป็ตัวบ่งบอกถึงระดับความยากของภารกิจเ่าั้ด้วย
“เฮ้ๆ พวกเ้าสามคนล้วนเป็บัณฑิตใหม่ อย่าไปยืนตรงนั้น ภารกิจชั้นสามอยู่ทางด้านนู้นต่างหาก”
ทันใดนั้นก็มีบัณฑิตในชุดคลุมสีขาวของปีสามผู้หนึ่งเดินเข้ามาเบียดพวกไป๋จื่อเยว่ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ เป็เพียงบัณฑิตใหม่คิดไม่ถึงว่าจะวิ่งมาดูรายละเอียดของภารกิจชั้นหนึ่งเช่นนี้
“ใครบอกเ้ากันว่าพวกข้าจะรับภารกิจชั้นสาม พวกข้าจะรับภารกิจชั้นหนึ่งต่างหาก”
ไป๋จื่อเยว่ตอกกลับอย่างเ็า
“เฮ้อ พวกเ้าสามคนเป็เพียงบัณฑิตใหม่ ยังกล้าที่จะรับเอาภารกิจชั้นหนึ่งเชียวหรือ? เฮ้ รีบมาดูนี่เร็วเข้า เ้าเด็กสามคนนี้ปากยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนม กลับคิดจะรับภารกิจชั้นหนึ่งแล้ว”
บัณฑิตรุ่นพี่ในชุดคลุมสีขาวะโขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ผู้คนรอบข้างที่กำลังรับภารกิจต่างก็หันมามองทางพวกเขาในทันที โดยสายตาของแต่ละคนนั้นก็แสดงออกถึงความดูถูกเหยียดหยาม
มู่เฟิงขมวดคิ้วโดยไม่ได้พูดอะไร เขาแค่้ารับภารกิจชั้นหนึ่งที่ไม่ยากเกินไปเท่านั้น
“เฮ้ หนุ่มน้อย พวกเ้าจะโอ้อวดอะไรก็เอาแค่พอเหมาะพอควรดีหรือไม่ ภารกิจชั้นหนึ่งควรมีวรยุทธ์ระดับหนิงกังเป็อย่างต่ำ พวกเ้ากล้ารับรึ?”
บัณฑิตรุ่นพี่ในชุดคลุมสีขาวกล่าวเย้ยหยัน
“เราจะรับหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเ้า จื่อเยว่อย่าไปเสียเวลากับคนประเภทนี้เลย”
มู่เฟิงกล่าวเสียงเรียบ
“เจี่ยงเซียว เ้าถูกเด็กใหม่สบประมาทแล้ว”
ผู้คนรอบข้างกล่าวกับบัณฑิตผู้นั้น
บัณฑิตผู้ที่มีนามว่าเจี่ยงเซียวรู้สึกอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ เขาตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเ้าสามคนจะกล้ารับภารกิจชั้นหนึ่งหรอก”
“เช่นนั้น หากว่าพวกเรารับภารกิจชั้นหนึ่งแล้วเ้าจะทำอย่างไร?”
มู่เฟิงเอ่ยถามขึ้นอย่างหยอกล้อ
“หากว่าพวกเ้าทำสำเร็จ ข้าจะยอมมอบคะแนนสามพันคะแนนให้กับพวกเ้า”
เจี่ยงเซียวหัวเราะเยาะ
“ได้ อย่างนั้นก็เอาตามที่เ้าพูดเลย”
ดวงตาของมู่เฟิงเป็ประกาย เขาเผยรอยยิ้มออกมาทันที จากนั้นเด็กหนุ่มก็ชี้นิ้วไปยังภารกิจปราบกองโจร และกล่าวกับผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามที่อยู่ด้านหลังโต๊ะศิลาว่า “ศิษย์พี่ เรา้าทำภารกิจปราบกองโจร!”
“เขากล้ารับภารกิจจริงด้วย!”
“เ้าเด็กหนุ่มผู้นี้มุทะลุไม่เบา”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นในฝูงชนที่อยู่รอบข้างในทันที
“เ้าหนุ่ม เ้าอย่าได้ผยองจนเกินไป ภารกิจชั้นหนึ่งนั้นอันตรายมาก ในแต่ละปีมีศิษย์สายในจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงระหว่างทำภารกิจ”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามกล่าวเตือน
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของศิษย์พี่ พวกเราจะรับทำภารกิจนี้ขอรับ”
มู่เฟิงประสานมือกำหมัดทำความเคารพอีกฝ่ายขณะเอ่ยตอบ
“ไม่รู้ว่าพวกเ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ช่างเถอะ หากว่าต้องจบชีวิตลงในระหว่างทำภารกิจก็คงไม่อาจโทษใครได้ ส่งบัตรผลึกสีน้ำเงินของพวกเ้ามาให้ข้าสิ”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามส่ายหัว เขาคิดว่ามู่เฟิงตัดสินใจเช่นนี้เพียงเพราะ้าเอาชนะฝ่ายตรงข้าม
เด็กหนุ่มทั้งสามมอบบัตรผลึกสีน้ำเงินให้กับผู้ดูแล จากนั้นอีกฝ่ายก็นำบัตรของพวกเขาไปทำการลงทะเบียนชื่อและชั้นปี
“ภารกิจนี้ให้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น หากว่าหลังจากหนึ่งเดือนแล้วยังไม่สำเร็จ ทางเราจะเปิดให้ผู้อื่นทำภารกิจต่อ”
ผู้ดูแลอธิบาย มู่เฟิงพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจแล้ว
จากนั้นอีกฝ่ายก็มอบม้วนข้อมูลให้กับมู่เฟิง โดยภายในได้บันทึกรายละเอียดที่เกี่ยวกับกองโจรกลุ่มนั้นเอาไว้
“เ้าหนุ่ม พวกเ้ากล้ารับจริงหรือ ฮ่าๆ ขอให้พวกเ้ารอดชีวิตกลับมาแล้วกัน”
เจี่ยงเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ภารกิจของพวกมู่เฟิงจะได้รับคะแนนเจ็ดพันคะแนนเป็ผลตอบแทน แน่นอนว่าคะแนนที่มากเช่นนี้สามารถบ่งบอกได้ถึงความยากของมัน โดยปกติแล้วจะต้องเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังที่อยู่ในขอบเขตเทียนเว่ยระดับเล็กเท่านั้นถึงจะมีโอกาสทำสำเร็จ
“ศิษย์พี่ ข้าว่าท่านควรเตรียมคะแนนของท่านเอาไว้จะดีกว่า”
มู่เฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“หากว่าพวกเ้าทำภารกิจล้มเหลวแล้วแอบหนีกลับมาเล่า?”
เจี่ยงเซียวเย้ยหยัน
“เช่นนั้นพวกเราจะมอบคะแนนให้ท่านสามพันคะแนน”
มู่เฟิงกล่าวตอบในทันที
“ตกลง คำไหนคำนั้น หลังจากนี้หนึ่งเดือนข้าจะมารอพวกเ้าที่นี่ ในระหว่างทำภารกิจพวกเ้าอย่าได้ตายไปเสียก่อนเล่า”
เจี่ยงเซียวกล่าวอย่างเ็า
“ฮ่าๆ เจี่ยงเซียว เ้านี่มัน นึกไม่ถึงว่าจะห้ามไม่ให้ผู้อื่นตายเพื่อคะแนน”
เหล่าบัณฑิตรุ่นพี่ต่างก็หัวเราะออกมา
“ช่วยไม่ได้ เป็พวกเขาที่หยิบยื่นคะแนนมาให้ข้าเอง”
เจี่ยงเซียวหัวเราะออกมาอย่างพึงใจ
“บัณฑิตใหม่กล้ารับภารกิจชั้นหนึ่ง เื่นี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อย เพียงแต่การปราบกองโจรนั้นอันตรายมาก พวกเ้าสามคนอย่าได้กลัวจนปัสสาวะราดกลับมาเสียเล่า ฮ่าๆ ๆ ๆ”
เื่ที่พวกมู่เฟิงรับทำภารกิจชั้นหนึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนในโถงรับภารกิจได้ไม่น้อย แต่แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะทำภารกิจนี้สำเร็จเลยสักคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้