เตียงไม้หวงฮวาหลีลายหยาดน้ำแขวนม่านโปร่งสีขาวนวลดังไอหมอกละมุน แสงโคมอ่อนจางลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ดอกกุหลาบสีชมพูซึ่งปักอยู่ในแจกันดอกเหมยข้างหน้าต่างกำจายกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา
เซวียเสี่ยวหรั่นนอนอยู่บนเตียง โบกพัดในมือไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อกลางวันฝนตกหนัก อากาศยามค่ำคืนไม่นับว่าร้อน
เธอสวมชุดจงอี [1] ตัวบางสีขาวนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว้าง ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
เมื่อจิตใจไม่สงบถึงรู้สึกร้อนรุ่ม
ลองนับวันคืนดู เธอมาถึงโลกนี้เกินครึ่งปีแล้ว ั้แ่กลางฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเริ่มเย็นจนกระทั่งถึงกลางฤดูร้อนที่ร้อนจัด
ต่อไปอาจจะต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต
คำแนะนำของเหลียนเซวียน เซวียเสี่ยวหรั่นคิดแล้วคิดอีก มักรู้สึกว่าทิศทางที่เป็ไปดูเหมือนจะไกลห่างจากชีวิตที่เธอคาดหวังออกไปเรื่อยๆ
ขายเห็ดหุยซินได้เงินมาก้อนใหญ่ เธอไม่ต้องวิตกเื่เงินชั่วคราว เดิมทีคิดว่าซื้อบ้านหลังเล็กที่อยู่ใกล้เมืองหลวง ลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวเล็กๆ จากนั้นก็ออกแบบกระเป๋าสะพายส่งให้วาณิชสกุลเมิ่ง แล้วรอรับส่วนแบ่งผลกำไรแค่นี้ก็พอแล้ว
แต่สิ่งที่พวกเหลียนเซวียนเป็ห่วงก็ใช่ว่าไร้เหตุผล
เธอเป็หญิงสาวตัวคนเดียว มีน้องชายซึ่งยังไม่เป็ผู้ใหญ่ ทั้งยังมีเงินทองติดตัวไม่น้อย หากไม่มีตระกูลหนุนหลังซึ่งมีสถานะแข็งแกร่ง ก็อาจตกเป็เป้าหมายของผู้มีเจตนาร้ายได้ง่าย
เมื่อมีสถานะมั่นคง ยามพบเจอเื่ใด ก็สามารถอ้างชื่อตระกูลผูหยางสร้างความครั่นคร้ามแก่ฝ่ายตรงข้าม
ปัดโธ่เอ๊ย... เซวียเสี่ยวหรั่นพลิกตัวบนเตียง เตะเท้าสองข้างอย่างหงุดหงิด ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไร
อีกด้านหนึ่ง เหลียนเซวียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือไม้กฤษณาแกะสลัก กำลังชมดอกบัวขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนหนึ่งในอ่างเลี้ยงปลากระเบื้องเคลือบซึ่งมีหูสองด้านเป็รูปสัตว์
ปลาทองตัวน้อยสีแดงสลับขาวสองสามตัวกำลังแหวกว่ายใต้ใบบัวอย่างสุขสำราญ
"องค์ชาย คณะเดินทางของซ่งจิ่งซีออกจากเมืองเฉียนเฟิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เบาะแสที่ได้พบว่ามุ่งหน้าไปทางตะวันตก" ฟางขุยกลับมารายงาน
"เก็บกวาดคนที่พวกเขาทิ้งไว้สังเกตการณ์เรียบร้อยแล้วหรือยัง"
เหลียนเซวียนโปรยอาหารปลาลงไปในอ่าง ปลาทองเ่าั้ก็ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็วงๆ
"จัดการสะอาดหมดจดแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฟางขุยเหลือบมองปลาในอ่าง ที่ถูกองค์ชายใช้เหยื่อล่อ ให้พวกมันไปตะวันออกก็ไปตะวันออก ให้พวกมันไปตะวันตกก็ไปตะวันตก มุมปากของเขาผุดรอยยิ้มบางๆ โดยไม่รู้สึกตัว
เ้าหนุ่มซ่งจิ่งซีผู้นั้นส่งคนมาเฝ้าจับตามองทางนี้ทั้งวัน เมื่อว่างมากนักก็ส่งให้พวกเขาไปผจญภัยที่เทือกเขาเยว่หลิงซันทางตะวันตกสักหน่อยก็แล้วกัน
"องค์ชาย วันก่อนเหลิ่งซานส่งสารมารายงานว่า ขณะที่พวกเขากำลังชำระสะสางองครักษ์เงาเมื่อหลายวันก่อน พบว่ามีองครักษ์เงาที่น่าสงสัยสองคน คนหนึ่งชิงฆ่าตัวตายไปก่อน ส่วนอีกคนได้รับาเ็สาหัสหลบหนีไปได้ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างตามล่าพ่ะย่ะค่ะ"
หน้าผากของฟางขุยมีเหงื่อผุดพราย เหลิ่งซานเพิ่งเข้ามารับหน้าที่ก็ทำงานพลาดเสียแล้ว
"บอกเหลิ่งซานถ้ามีครั้งต่อไป เขาก็ไม่ต้องมาทำงานแล้ว"
"พ่ะย่ะค่ะ" ฟางขุยรีบรับคำ
"มีข่าวเหลิ่งอีหรือไม่" เหลียนเซวียนวางอาหารปลาไว้ด้านข้าง มองอ่างปลาที่กระเพื่อมไหวด้วยแววตาเ็าแข็งกร้าว
"ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ เหลิ่งอีเป็ยอดฝีมือด้านการพรางตัว หากเขาไม่เคลื่อนไหว พวกเราก็ยากจะแกะรอยค้นหาเบาะแส" เหงื่อที่หน้าผากของฟางขุยไหลย้อยมาตามคางก่อนหยดลงพื้น
"ออกไปเตรียมตัว พรุ่งนี้เดินทางกลับเมืองหลวง" เหลียนเซวียนหันไปมองท้องฟ้ายามราตรีนอกหน้าต่างซึ่งมืดมิดไร้แสงดาว แม้ไม่มีเบาะแสรั่วไหลออกไป แต่ยากรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกผู้มีวัตถุประสงค์แอบแฝงค้นพบ
"พ่ะย่ะค่ะ"
เสียงสกุณาขับขานเป็ท่วงทำนองอันไพเราะแว่วมากิ่งไม้ยามเช้าตรู่
เซวียเสี่ยวหรั่นออกมาจากห้องพร้อมกับขอบตาคล้ำ
อูหลันฮวาเห็นแล้วก็ใ "คุณหนู เมื่อคืนหลับไม่ดีหรือเ้าคะ"
"อื้อ นอนไม่หลับน่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นขยี้ตา พยายามทำให้ตนเองแลดูสดชื่น
"ไม่เป็ไร อีกสักครู่ค่อยไปหลับชดเชยบนรถม้าก็ได้เ้าค่ะ" อูหลันฮวาตื่นแต่เช้า ออกไปฝึกกระบองกับเซวียเสี่ยวเหล่ยมาแล้วรอบหนึ่ง ฟางขุยบอกพวกนางว่าหลังจากมื้อเช้าก็จะออกเดินทาง
"หา? เดินทางวันนี้เลยหรือ? เมื่อคืนไม่เห็นเหลียนเซวียนบอกอะไรเลย" เธอยังนึกว่า พวกเขาเดินทางตรากตรำมาหลายวัน ดีชั่วอย่างไรก็ต้องพักสักวันสองวันก่อนค่อยออกเดินทาง
"ใช่เ้าค่ะ ฟางขุยบอกว่าเดินทางวันนี้เลย" เมื่อครู่อูหลันฮวาเริ่มเก็บของบ้างแล้ว
"ไอ้หยา ไม่บอกให้เร็วหน่อย ข้ายังไม่ได้เก็บสัมภาระเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นหมุนตัวกลับห้อง รีบไปเก็บข้าวของ
"คุณหนู ให้ข้าช่วยเก็บก็ได้เ้าค่ะ" อูหลันฮวารีบวิ่งมาช่วย
"เ้าเอากระเป๋าสะพายที่ตัดเย็บใหม่เ่าั้ใส่ลงไปในหีบหวาย เดี๋ยวข้าเก็บเสื้อผ้าเอง"
ทั้งสองเริ่มลงมือเก็บสัมภาระ
ยามหงกูเข้ามา เห็นหีบหวายสองใบวางอยู่ที่พื้น ก็เดินเข้ามาช่วย
"หงกู เมื่อวานไม่เห็นบอกว่าวันนี้จะออกเดินทาง เหตุใดจึงตัดสินใจปุบปับเช่นนี้เล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นถามอย่างอดไม่ได้
"เมืองหลวงเพิ่งส่งข่าวมา ดังนั้นนายท่านจึงต้องตัดสินใจกะทันหันเ้าค่ะ" หงกูเองก็รู้ว่าเวลาออกจะกระชั้นเกินไป
พวกนางทางนี้ว่ารีบร้อนแล้ว ทางผูหยางชิงหลันก็ยิ่งร้อนใจจนเท้าไม่ติดพื้น
"บอกข้ามาซิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะออกเดินทาง ข้อตกลงระหว่างข้ากับแม่นางเซวียยังคุยกันไม่เรียบร้อยเลย แล้วก็ปัญหาเื่สถานะของนางยังต้องจัดการอยู่หรือไม่"
ผูหยางชิงหลันบุกไปหาเหลียนเซวียนถึงห้อง ตั้งคำถามเป็ชุดๆ
เหลียนเซวียนปัดข้อมือของเขาออกไป แล้วตอบอย่างสงบนิ่ง "เมืองหลวงเกิดเื่นิดหน่อย เบาะแสของที่นี่อาจถูกเปิดโปงแล้ว ยิ่งออกเดินทางช้าเท่าไรยิ่งเป็อันตราย"
ผูหยางชิงหลันอึ้งไปสักพัก พลันรู้สึกกระดากใจ "ถึงกระนั้นก็ควรให้เวลาข้าหน่อย ไม่ใช่บอกจะไปก็ไป"
"ท่านค่อยตามมาก็ได้มิใช่หรือ" เหลียนเซวียนมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนสีหน้า ก็รีบเสริมอีกประโยค "ไม่อยากเข้าเมืองหลวง พักที่คฤหาสน์นอกเมืองก็ได้นี่"
สีหน้าของผูหยางชิงหลันเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ในที่สุดก็ขึงตาใส่ "งั้นก็ได้ ข้าจะไปอำเภอเฟิงไถ ครั้งก่อนที่ัดินพลิกกายเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ข้าอยู่ซีฉีกลับไปไม่ทัน ยามนี้ประจวบเหมาะต้องไปดูเสียหน่อย"
เขาหาเหตุผลที่เหมาะสมให้กับตนเองได้แล้ว
เหลียนเซวียนตามใจเขา ขอแค่ยอมไปทางเดียวกับเมืองหลวงก็นับว่าใช้ได้แล้ว
ทุกคนกินมื้อเช้าอย่างรีบเร่ง รถม้ารออยู่หน้าประตูนานแล้ว สัมภาระทั้งน้อยใหญ่ขนขึ้นรถเรียบร้อย เซวียเสี่ยวหรั่นยกชายกระโปรงเหยียบโต๊ะเตี้ยก้าวขึ้นรถม้า
นางเห็นแต่ไกลแล้วว่าเหลียนเซวียนก็ขึ้นรถม้าคันหน้า ยังแปลกใจอยู่ว่าเมื่อวานฝนตกหนัก พวกเขาล้วนแต่ขี่ม้าเดินทางมา ไฉนวันนี้ถึงเปลี่ยนมานั่งรถม้าแทนเล่า เขายังสบายดีอยู่หรือเปล่า
หรือว่าต้องปรับความเร็วให้เข้ากับรถม้า?
เซวียเสี่ยวหรั่นเลิกม่านหน้าต่างมองดูโน่นดูนี่ รถม้าเคลื่อนออกไปช้าๆ จิ้งจอกที่พักอยู่คฤหาสน์ติดกันสุดท้ายก็ไร้ความเคลื่อนไหว
หรือว่า... พอกลับมาถึง เหลียนเซวียนก็จัดการคนไปเรียบร้อยแล้ว?
ในหัวของเซวียเสี่ยวหรั่นมีข้อกังขาอยู่เป็กอง เพียงแต่ไม่มีโอกาสถาม
"แม่นางเซวีย ข้อเสนอเมื่อวาน เ้าใคร่ครวญไปถึงไหนแล้ว"
ผูหยางชิงหลันขี่อาชาสีหมอกเข้ามาใกล้ วันนี้เขาสวมเสื้อแพรตัวบางปักลายบุปผามงคล เรือนผมยาวรวบขึ้นปักด้วยปิ่นหยกชิ้นเดียว คิ้วดาบดวงตาสุกสกาวดุจดารา ท่วงทีสง่าผ่าเผย
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วยังพึมพำในใจ ยามสนทนาจริงจัง ศิษย์พี่ผู้นี้ก็แลดูมีสง่าราศีมากอยู่
...
[1] ชุดจงอี คือชุดตัวในลักษณะเป็เสื้อและกางเกงสีขาวบางๆ มักสวมเป็ชุดนอน
