แม้การไปพม่าจะถูกจัดให้เข้ามาอยู่ในตารางเวลาของเธอแล้วเรียบร้อยแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ารอให้เธอจัดการคือการรับเลี้ยงเด็กชายและจัดการให้พ่อกับแม่ย้ายบ้านเข้ามาที่นี่
อาการาเ็ทั้งภายในและภายนอกของเด็กชายดีขึ้นมากแล้วจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไปอีก ด้วยเหตุนั้นการรับเลี้ยงเด็กชายก็ยิ่งกระชั้นชิดขึ้น
ก่อนหน้านี้หลินลั่วหรานได้จัดการจ่ายเงินยี่สิบล้าน เพื่อซื้อบ้านของอาจารย์เจี่ยไปแล้วเรียบร้อยจากที่ตอนนั้นเป็แค่ผู้ผ่านเข้าไปดู ตอนนี้ก็กลายเป็เ้าของเต็มตัวแล้วเมื่อได้เข้าไปอยู่ในบ้านที่หรูหราแบบนั้นเธอก็ยังคงรู้สึกราวกับทุกอย่างไม่ใช่ความจริงอยู่ดี
ยิ่งเมื่อติดตั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านเพิ่มเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้บนเตียง และผ่านการจัดการทำความสะอาดแล้วตอนนี้ก็เปลี่ยนจากบ้านตระกูลเจี่ย มาเป็บ้านตระกูลหลินแทนเรียบร้อยทำให้เธอจะเข้าออกตอนไหนเวลาใดก็เป็เื่ปกติ
สิ่งที่ทำให้หลินลั่วหรานสงสัยก็คือเงินทั้งหมดต่างจัดการจ่ายให้พี่หวังโดยตรง ก่อนที่อาจารย์เจี่ยจะย้ายออกไปเธอไม่ได้มีแม้แต่โอกาสจะทำอะไรให้เขา ั้แ่ที่รู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเดือน จะบอกว่าความสัมพันธ์ศิษย์ครูมันหยั่งลึกก็คงดูพูดเกินไปเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายต่างพอใจก็เท่านั้นหลินลั่วหรานได้ฝึกเพียงการกำหนดลมหายใจและพื้นฐานของไท่เก๊ก ยังไม่ทันได้เรียนไปจนถึงระดับที่แตกต่างไปจากคนอื่น
เธอเกรงว่าหลังจากนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกับอาจารย์เจี่ยอีกนานเลยใช่ไหม? ถ้าพูดกันแบบไม่ดีนักหลินลั่วหรานมักจะรู้สึกเหมือนว่าอาจารย์เจี่ยกำลังเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตหลังการตายของเขา
หลินลั่วหรานรู้เื่ของตนเองดีอาจารย์เจี่ยมีบ้านแบบนี้ได้ และก็รู้จักกับตระกูลของพี่หวังมานานแถมยังรู้จักการกำหนดลมหายใจ หากเขากำลังประสบกับปัญหาบางอย่างอยู่จริงก็คงจะเป็เื่ที่หลินลั่วหรานในตอนนี้ไม่อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้
ในเวลาที่หลินลั่วหรานกำลังรู้สึกทำอะไรไม่ได้อยู่นั้นเธอก็ทำได้เพียงจัดการเอาความรู้สึกเสียใจที่ทำอะไรไม่ได้เ่าั้เปลี่ยนไปเป็แรงกระตุ้นในการฝึกและจัดการรวบรวมสมาธิในการดูดซึมและกลั่นกรองพลัง
ต้องมีสักวัน เธอจะไม่เหมือนในวันนี้อีกเมื่อได้พบกับโชคชะตาของผู้คนรอบข้าง ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลยจะต้องมีสักวันหนึ่ง...
“เด็กน้อย จำชื่อของตัวเองได้ไหม?” นายตำรวจหลีพูดเสียงเบาออกมาเพื่อสอบถามเด็กชายตัวน้อยที่กำลังนั่งเล่นนิ้วมือของตัวเองอยู่แม้จะรู้ว่าเขาไม่ยอมพูดอะไรแต่ก็ได้แต่คาดหวังว่าเขาอาจจะยอมพูดชื่อของตัวเองออกมา
ใบหน้าเล็กของเด็กชายที่เดิมทีไร้ซึ่งอารมณ์ใดประดับราวกับไปพบเจอกับอะไรเลวร้ายมา เมื่อได้ยินคำถามของนายตำรวจหลีใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดผวา
“ผมไม่มีชื่อไม่มีชื่อ...อย่าตีผมเลยนะ อย่าตีผมเลย...ฮือ”
เสียงร้องไห้ด้วยความกลัวถูกส่งออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ “อย่าตีผมเลย” ประโยคสั้นๆ ประโยคนี้ เป็ประโยคที่มักจะได้ยินบ่อยๆหลังจากที่ช่วยเหลือเขาออกมา นอกจากนั้นไม่ว่าจะถามอะไรก็ไม่เคยได้รับการตอบรับ
หลินลั่วหรานโอบกอดเขาไว้ก่อนจะลูบลงที่หลังเบาๆ “เด็กดีกลับบ้านไปกับพี่นะ หลังจากนี้เธอเป็น้องชายของฉันแล้ว โอเคไหม? ฉันรับประกันว่า หลังจากนี้จะไม่มีใครมาตีเธออีก”
เด็กชายตัวน้อยขยับตัวเข้าใกล้อ้อมกอดของหลินลั่วหรานมากขึ้นราวกับไขว่คว้าความอบอุ่นเล็กๆ ท่ามกลางฤดูอันหนาวเหน็บ
เป่าเจียใช้คำพูดเสียงดังของตัวเองปกปิดความชื้นบริเวณรอบดวงตา “ต้องไปรับคุณลุงคุณป้ามาเมือง R ก่อนนะ ถึงจะเริ่มขั้นตอนการรับเลี้ยงได้ ยังไงเธอก็ซื้อบ้านแล้วนี่มาอยู่ด้วยกันไปเลยไม่ดีเหรอ?”
นายตำรวจหลีพยักหน้าตาม “แล้วก็ต้องตั้งชื่อให้ด้วยนะไม่อย่างนั้นก็คงจะเข้าระบบทะเบียนราษฎร์ไม่ได้”
หลินลั่วหรานคิดอยู่สักพักก่อนจะลองเอ่ยถามเด็กชายตัวน้อย “เราพบกันในฤดูหนาว (ตง) ทั้งชีวิตของพี่ ในชื่อล้วนก็มีคำว่าลั่วทั้งนั้นเพราะแบบนั้น เธอก็ชื่อ หลินลั่วตง เป็ไง?”
ตอนแรกคิดว่าคงไม่ได้รับการตอบรับอะไรแต่ใครจะรู้ว่าเด็กชายจะกะพริบตาลงเบาๆ ด้วยความเขิน ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าลงช้าๆ!
อย่าเพิ่งพูดถึงหลินลั่วหรานเลยแม้แต่เป่าเจียและนายตำรวจหลีก็ดีใจจนแทบบ้า
เด็กชายตัวน้อย ไม่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าหลินลั่วตงแล้วเขาค่อยๆ เปิดรับโลกกว้างมากขึ้นนั่นก็แปลว่าเริ่มจะมีความหวังของการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้วจะไม่ให้รู้สึกดีใจได้อย่างไร?
หลินลั่วหรานและเป่าเจียพากันไปซื้อเสื้อผ้ามากมายที่ห้างมาให้เด็กชายเมื่อจัดการสวมใส่ให้เรียบร้อยแล้ว ก็พาเขากลับไปที่บ้านเกิดของเธอ
เื่ที่จะรับลั่วตงมาเลี้ยงนั้นหลินลั่วหรานเคยพูดกับพ่อและแม่เอาไว้นานแล้วและเมื่อได้รู้จำนวนรายได้ปัจจุบันของหลินลั่วหรานจะเลี้ยงดูคนเพิ่มอีกสักคนก็ไม่ใช่ปัญหา เดิมทีพ่อกับแม่เองก็เป็คนใจดีอยู่แล้วแบบนั้นจะมีเหรอที่จะไม่เห็นด้วย พวกเขาจึงตกลงได้อย่างง่ายดาย
แต่เื่ที่จะพากันย้ายเข้าไปที่เมือง R นั้นแม่ของหลินลั่วหรานยังคงลังเลอยู่ และไม่เคยตอบตกลงออกมาเลยสักครั้งวันนี้ที่หลินลั่วหรานพาเสี่ยวลั่วตงกลับมาอาจจะเพราะต้องทำงานดำเนินตามขั้นตอนการรับเลี้ยง แต่อีกอย่างก็คือเธอตั้งใจจะมาพูดให้พ่อกับแม่ย้ายไปที่เมือง R ด้วย
เดิมทีตระกูลหลินก็เป็คนนอกเข้ามาหมู่บ้านหลี่แห่งนี้ก็คอยแต่เอาเปรียบอยู่เสมอ นอกจากบ้านของน้าหลี่เอ้อร์แล้วคนที่นับว่าตระกูลหลินเป็คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้มีอยู่มากนัก ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านจึงย่ำแย่เป็เื่ปกติอีกทั้งยังเป็หมู่บ้านเดียวกับบ้านของหลี่อันผิงไม่ว่าอย่างไรหลินลั่วหรานก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่อาศัยอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
หลินลั่วหรานขับรถมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดเธอซื้อของขวัญถุงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาและอาหารเสริมชั้นดีเพื่อนำไปฝากบ้านน้าหลี่เอ้อร์
วันนี้ไม่ได้โชคดีอย่างวันก่อนฝนตกลงมาจนทำให้ถนน่สุดท้ายแทบจะผ่านไปไม่ได้หากไม่ใช่ว่า่ล่างของรถค่อนข้างสูง ก็คงได้ดับกันไปหลายรอบหลินลั่วหรานหันหน้าไปหาหลินลั่วตงที่นั่งอยู่ข้างคนขับ เด็กน้อยสวมเสื้อผ้าและรองเท้าคู่ใหม่ใบหน้าก็ดูฉ่ำเนื้อขึ้นมาก ดวงตาสั่นไหวราวกับลูกกวางตัวน้อยริมฝีปากถูกเม้มเอาไว้แน่น มองดูแล้วน่ารักน่าชังหน้าตาดูสวยงามยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก
เด็กที่น่ารักแบบนี้ พ่อกับแม่จะต้องชอบมากแน่หลินลั่วหรานถอนหายใจออกมา ก่อนจะสอนให้ลั่วตงเรียกคนอื่น ลั่วตงกะพริบตาปริบๆก่อนจะพยักหน้าลงซ้ำๆ
หลินลั่วหรานเผลอยิ้มออกมาั้แ่ที่ได้รับชื่อใหม่ เขาก็ค่อยๆ ลดความดื้อลงจนกลายเป็เชื่อฟังอย่างที่เห็น แต่ก็ฟังเพียงแค่เธอเท่านั้นแม้แต่เป่าเจียและนายตำรวจหลีที่ช่วยเขาออกมาพร้อมกันก็ยังไม่สนใจทำเอาเป่าเจียบ่นเรียกร้องขอความเป็ธรรม
ในตอนที่หลินลั่วหรานขับรถมาจนถึงบ้านสายฝนยังคงสาดเทลงมา ภายในตัวบ้านเต็มไปด้วยดินโคลนในระหว่างที่กำลังตักข้าวอยู่นั้น เมื่อเห็นลูกสาวผู้เป็แม่ก็รีบะโเรียกผู้เป็พ่อทันที “ออกมาเร็ว ลูกสาวกลับมาแล้ว!”
อีกทั้งยังทักทายลูกสาว พร้อมถามว่าเธอกินอะไรมาหรือยังขับรถมาเหนื่อยไหม
หลินลั่วหรานเห็นแบบนั้นก็รีบบอกไม่ให้คนแก่ทั้งสองรีบร้อนจนเกินไป เธอกินอะไรก่อนที่จะกลับมาแล้วพร้อมทั้งเปิดประตูรถ และกวักมือเรียกคนด้านใน “ลั่วตง ลงมาเร็ว ถึงบ้านแล้ว”
หลินลั่วตงสวมรองเท้าบูททหารคู่น้อย แม้จะเหยียบลงบนพื้นดินโคลนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก็เปิดปากออกเรียก “คุณแม่” รอจนผู้เป็พ่อเดินออกมาจากตัวห้อง ก็พูดออกมาอีกว่า “คุณพ่อ” ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความกลัวแต่ยังคงดูสุภาพเรียบร้อย
ผู้เป็แม่ลืมเื่กินข้าวไปจนหมดสิ้นเธอถูกน้ำเสียงสั่นๆ ที่เรียกเธอว่า “คุณแม่” ทำเอาใจสั่นจนอดที่จะเอ็นดูเด็กตัวน้อยไม่ได้ เธออยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กน้อยแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าฝ่ามือของเธอเต็มไปด้วยรอย เกรงว่าเด็กชายตัวน้อยจะเจ็บเอาจึงได้แต่พูดทั้งรอยยิ้ม “นี่คือเด็กคนนั้นสินะหน้าตาดีเชียว”
หลินลั่วหรานพยักหน้าลง “หนูตั้งชื่อให้แล้วใช้นามสกุลหลินของพวกเรา ชื่อลั่วตง แม่คิดว่าเป็ไงบ้าง?”
ผู้เป็พ่อวางชามข้าวลง ก่อนจะพูดขึ้น “อากาศหนาวขนาดนี้เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ!”
ยังไม่ทันที่หลินลั่วหรานจะได้ตอบกลับอะไรเขาก็คว้าตัวของลั่วตงเข้าไปอุ้ม แล้วมองดูใกล้ๆ “หลินลั่วตง ชื่อเพราะดีนี่ฉันนี่แก่ปูนนี้แล้ว ยังจะเก็บลูกชายมาเลี้ยงอีกแบบนี้ก็ดีจะได้มีหน้าไปเจอกับพวกบรรพบุรุษแล้ว ฮ่าๆ”
ผู้เป็พ่อปกติมักจะนิ่งเงียบอยู่เสมอเมื่อเห็นว่าเขาดูพอใจขนาดนี้ในใจของหลินลั่วหรานก็ลดความกังวลว่าพ่อกับแม่จะไม่รับเลี้ยงลั่วตงลงไปได้มากแต่ก็ยังกังวลว่าเสี่ยวลั่วตงอาจจะปฏิเสธพวกเขา
แต่ใครจะรู้ว่าหลินลั่วตงก้มหน้าลงมองพิจารณาเคราที่คางของผู้เป็พ่ออยู่สักพักไม่รู้ว่าเป็เพราะลมหนาวที่ผัดโชยมาหรืออะไรเด็กชายถึงได้ขยับตัวซุกลงที่บ่าของผู้เป็พ่อ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบริเวณมุมปากของหลินลั่วหรานดูเหมือนว่าลั่วตงจะมีชะตากับบ้านของเธอจริงๆ