รอยยิ้มของหลัวไป๋ฉยงนิ่งค้าง ดวงตาเรียวยาวอันงดงามเบิกกว้างพลันหันมองรอบด้าน พบว่าทุกคนรวมถึงเหล่าไท่ไท่ต่างบ้วนน้ำชาลงแก้ว...เว้นแต่ลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อเผิงเจี้ยน เขาพ่นน้ำชาใส่หน้าของเผิงสือ ทำให้เผิงสือบันดาลโทสะทันควัน
หลัวไป๋ฉยงประหลาดใจมิน้อยพลันก้มดื่มชาในมือก่อนบ้วนลงบนพรมทันที “นี่มันอะไรกัน? มามา ท่านบอกเองมิใช่หรือว่าชานี้...” น้ำเสียงอ่อนโยนก่อนหน้ากลับกลายเป็เสียงแหลมเสียดหู นางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกพลันมองหยางมามาเป็อันดับแรก ก่อนหันมองเหล่าไท่ไท่บนที่นั่งหลักในห้องโถง สุดท้ายก็จ้องมายังเหอตังกุย
หลังเหอตังกุยดื่มชาก็งุนงงเช่นเดียวกัน สิบปีที่ผ่านมา ไม่มีใครดื่มชาซานจาของนางแล้วมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่วันนี้กลับมีถึงแปดคนที่บ้วนน้ำชาของนางทิ้ง? เหอตังกุยจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยความสงสัย ทันใดนั้นก็ตะลึงงันทันที
เหล่าไท่ไท่โมโหมากที่เห็นการแสดงฝีมือชงชาดี ๆ เช่นนี้ต้องพังทลาย นางลุกจากที่นั่งพลันจ้องมองเหอตังกุยพลางเอ่ยถาม “เสี่ยวอี้ เกิดอะไรขึ้น?”
เกิดอะไรขึ้นกระนั้นหรือ? เหอตังกุยก็แปลกใจเช่นเดียวกัน ปกติแล้วชาซานจามีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน แต่ครั้งนี้กลับหวานจนเลี่ยนคอเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือ...ตนใส่น้ำตาลมากเกินไป?
ั้แ่ย้ายเข้าเรือนเถาเหยา เหอตังกุยก็มีห้องครัวส่วนตัวที่สว่างและกว้างขวาง แม้ห้องครัวใหญ่จะส่งอาหารจืดชืดให้นางสามมื้อต่อวัน พวกนางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกินไม่อิ่มหรืออดตาย เพียงให้เงินหวังปู้หลิวสิงที่ทำงานในห้องวัตถุดิบอาหารเป็บางครั้งบางคราวก็สามารถซื้อสิ่งที่้าได้ในราคาสูงกว่าท้องตลาดสองเท่า
แต่ที่น่าเสียดายคือแม้เหอตังกุยจะไม่ขาดแคลนเงิน ซ้ำยังมีมากกว่าหลัวไป๋ฉยงด้วยซ้ำ ทว่านางก็ยังไม่มีโอกาสลอบออกจากตระกูลหลัวไปร้านเงินเพื่อฝากตั๋วเงินและแลกเงินเหรียญ เศษเหรียญที่แลกเปลี่ยนจากเมืองตู้เอ๋อร์ก็เหลือเพียงไม่กี่สิบตำลึง เพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็ต้องใช้เงินจึงไม่สามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ พวกนางต้องประหยัดก่อนจะสามารถออกจากจวนตระกูลหลัวไปยังร้านเงินได้ เหอตังกุยจึงให้ฉานอีนำเงินสองตำลึงไปมอบให้หวังปู้หลิวสิงเพื่อซื้ออาหารจำเป็ เช่น ข้าว เส้น ผักและผลไม้ เตรียมไว้ในห้องครัวใหม่ของพวกนาง เนื้อไก่และเนื้อเป็ดถือเป็ของ “ฟุ่มเฟือย” จึงคิดจะซื้อภายหลัง
ฉานอีทำตามคำสั่งทว่าอีกหนึ่งสิ่งที่นางซื้อกลับมาด้วยคือ...น้ำตาล ไม่ใช่เพียงห่อสองห่อแต่เป็น้ำตาลทรายขาวบรรจุในไหขนาดใหญ่สี่ใบ ฉานอีกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่านางซื้อน้ำตาลทั้งหมดที่มีในคลังวัตถุดิบ เหอตังกุยเดาว่าน้ำตาลในไหทุกใบมีน้ำหนักเจ็ดถึงแปดจิน น้ำตาลสี่ไหรวมกันก็คงมีน้ำหนักกว่าสามสิบจิน การจับจ่ายสิ้นเปลืองเช่นนี้ทำให้เหอตังกุยเวียนหัวเล็กน้อย นางเอ่ยถามฉานอีว่าซื้อน้ำตาลมาทำอะไรตั้งมากมาย ฉานอีพลันตอบกลับอย่างมั่นใจ “เพราะมันอร่อย”
เหอตังกุยนึกได้ว่าหลายวันก่อนนางขอให้ฉานอีช่วยดูไฟขณะต้มชา ทั้งยังจำได้อีกว่าก่อนมางานเลี้ยงฉานอีต้มชาเก๊กฮวยหอมหวานให้แก่นาง เหอตังกุยคิดว่าเป็เพราะฉานอีชอบน้ำตาลทรายขาวเป็พิเศษ นางคงใส่น้ำตาลจำนวนมากเพิ่มลงในชาซานจาสองจินที่ส่งให้เหล่าไท่ไท่เป็แน่ ชาจึงหวานเลี่ยนเช่นนี้
สำหรับเหอตังกุย ชาถ้วยนี้ไม่ได้รสชาติแย่ถึงขั้นต้องคายทิ้ง เพียงแต่คนชั้นสูงส่วนมากในห้องโถงคุ้นชินกับเสื้อผ้าชั้นดีและอาหารรสเลิศ ลิ้นบอบบางของพวกเขาจึงไม่สามารถรับรสชาติไม่อร่อยได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกเขายังถูกชักจูงด้วยคำแนะนำของหลัวไป๋ฉยงและกลิ่นหอมของชาจนแทบอดใจรอดื่มไม่ไหว ในใจล้วนคิดว่าชานี้ต้องอร่อยถูกปากแน่นอน แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อดื่มแล้วจะหวานเลี่ยนปากเช่นนี้ ยิ่งความคาดหวังในใจมีมากเท่าไร ความผิดหวังก็ยิ่งมีมากเท่านั้น จึงเป็เหตุผลว่าเหตุใดพวกเขาจึงบ้วนน้ำชาทิ้งโดยไม่เขินอาย
เหอตังกุยหัวเราะเยาะในใจ หากชาอร่อยเหมือนก่อน เื่ทั้งหมดคงไม่ตกมาที่นาง เหล่าไท่ไท่และแขกชั้นสูงคนอื่นก็คงชื่นชมเพียงหลัวไป๋ฉยง ทว่าเมื่อชามีปัญหา หลัวไป๋ฉยงก็ส่งสายตาตื่นตระหนกอ้อนวอนเหล่าไท่ไท่ ทั้งยังไม่ลืมจะหันกลับมาจ้องมองตน เห็นได้ชัดว่าใครเป็ผู้ชงชาตัวจริง หลัวไป๋ฉยงเพิ่งแนะนำชาที่ทำเองกับมือให้ทุกคนฟังด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าไท่ไท่ก็โยนความผิดให้ตน นางควรรับความผิดนี้หรือไม่? แล้วบอกว่าขณะต้มชาพลั้งใส่น้ำตาลมากเกินไปโดยไม่ตั้งใจ? จากนั้นก็ยอมรับการตำหนิจากเหล่าไท่ไท่?
แม้หยางมามาจะไม่ได้ดื่ม ทว่าเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคนก็รู้ว่าเกิดปัญหาแน่นอน นางไม่ตอบคำถามของเหล่าไท่ไท่พลันมองคุณหนูสามที่ดูเป็กังวล ก่อนเอ่ยถาม “คุณหนูสาม เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ชานี้มีปัญหาอะไร?”
แขกทุกคนได้ยินเหล่าไท่ไท่และหยางมามาเอ่ยถามคุณหนูตระกูลหลัวที่นั่งอยู่มุมห้องจึงสงสัยไม่น้อย เผิงเจี้ยนพลันเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “น้องสองเป็ผู้ชงชา ทั้งยังยกมาให้พวกเราดื่มกับมือ แล้วเกี่ยวอันใดกับน้องสาม? พวกท่านตำหนินางด้วยเหตุใด?” เหล่าไท่ไท่และหยางมามาต่างก็ลิ้นแข็ง ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ เพียงใช้สายตาจ้องมองเหอตังกุยราวกับ้าหาคำตอบ แขกทุกคนก็จ้องมองเหอตังกุยเช่นเดียวกัน
ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ในที่สุดเหอตังกุยก็เงยหน้ามองหยางมามาพลางเอ่ยถาม “มามา หรือชานี้...เป็ชาซานจา?” เมื่อเหอตังกุยเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอย่างลังเลจึงค่อย ๆ ลุกจากที่นั่งเดินไปกลางห้องโถงช้า ๆ ด้วยก้าวเล็ก ๆ นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าสีขาวโปร่งเบา ๆ ก่อนทำความเคารพเหล่าไท่ไท่ “ท่านยาย ชาซานจานี้แตกต่างกับครั้งที่แล้วเล็กน้อย ชาทั้งสองชนิดมีวิธีการชงชาแตกต่างกัน ไม่กี่วันก่อนหน้าที่ข้าจะส่งชาให้ท่านยาย ข้าเขียนวิธีการชงชาลงบนกระดาษห่อชา อาจเพราะขณะส่งกระดาษให้สาวใช้ ข้าไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน คิดว่าเพียงพวกนางเห็นกระดาษก็สามารถเข้าใจได้”
กานเฉ่ารีบเดินเข้ามาตอบ “เหล่าไท่ไท่ วันนั้นห้องชงชามีคนมากเกินไป บ่าวยุ่งจนปลีกตัวไปมิได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ยินว่าสาวใช้ที่มาส่งชาพูดอะไรบ้าง กระดาษห่อชานั้น...หลังบ่าวเทชาลงไหก็โยนทิ้งไปแล้วเ้าค่ะ” กล่าวจบก็หันไปขอโทษเหอตังกุย “คุณหนูสาม บ่าวขอโทษเ้าค่ะ พวกบ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูเขียนวิธีชงชาไว้บนนั้น คิดเพียงว่ากระดาษแผ่นนั้นไม่มีประโยชน์จึงโยนทิ้งเ้าค่ะ”
“ไม่เป็ไร พวกเ้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่จำเป็ต้องขอโทษ” อันที่จริงกระดาษแผ่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ตามที่นางกล่าวจริง ๆ
เหอตังกุยยิ้มบาง นางรู้ว่าห้องชงชาของเหล่าไท่ไท่เป็ระเบียบแบบแผนมาโดยตลอด ใบชาและผลไม้ที่ส่งมาจากด้านนอกจะถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของ ชากลิ่นแรงจะถูกเก็บในไห กลิ่นที่ไม่ค่อยแรงจะถูกเก็บในห่อชาตามเดิมแล้วใส่ในลิ้นชักที่มีหมายเลขกำกับเสมือนตู้ยาในร้านขายยา กลิ่นของชาซานจาค่อนข้างแรง ด้วยเหตุนี้เหอตังกุยคิดว่าพวกนางอาจเทชาลงไหแล้วโยนห่อชาทิ้ง จึงโกหกว่าเขียนวิธีชงชาบนห่อชา การโยนความผิดทั้งหมดให้ความเข้าใจผิดขณะส่งชาโดยมีสาวใช้และมามากว่ายี่สิบคนในห้องชงชา ดังนั้นความผิดนี้จึงถูกขจัด ทั้งยังไม่มีใครถูกตำหนิ
แน่นอนว่าหากเพิ่มน้ำตาลในชาซานจามากเกินไป ไม่ว่าชงอย่างไรก็ไม่อร่อย แต่ประสาทการได้ยินของเหอตังกุยนั้นดีมาก นางได้ยินเสียงคนเร่งรีบเดินมาแต่ไกลจึงเดาว่าอาหารใกล้มาถึงแล้ว งานเลี้ยงก็กำลังจะเริ่ม ประสบการณ์ชิมชาที่ไม่จรรโลงใจนี้ย่อมถูกลืมในไม่ช้า เป็จริงดังคาด “ต๊อกแต๊ก ๆ ” เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเท่าไร กลิ่นหอมของอาหารก็โชยมาพร้อมกัน เหล่าไท่ไท่จึงถือโอกาสนี้ทำราวกับไม่เคยมีเื่ใดเกิดขึ้น เมื่ออาหารรสเลิศชุดแรกพร้อมแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็เริ่มชักชวนให้คนอื่นดื่มเหล้าและกินอาหารโดยไม่ห้ามเหล่าคุณชายดื่มเหล้าอีก ทั้งยังสั่งให้สาวใช้รินเหล้าให้ทุกคนเต็มแก้ว
หยางมามาพาหลัวไป๋ฉยงไปนั่งข้างเผิงสือและเผิงเจี้ยน ขณะเดียวกันก็เอ่ยปลอบใจ “เื่เมื่อครู่เป็เพียงอุบัติเหตุ คุณหนูรองไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
หลัวไป๋ฉยงอดทนเงียบ ๆ นางพูดไม่ออกเพราะเป็ผู้ก่อเื่นี้เอง หลายเดือนที่ผ่านมา ขณะนางกลับจวนตระกูลซุนก็ได้เข้าเรียนกับท่านอาจารย์หวงผู้มีชื่อเสียงด้าน “ชาไร้กลิ่น” ติดต่อกันเป็เวลานาน นางคิดว่านางมีความเข้าใจศิลปะการชงชาเป็อย่างดีและอยากแสดงความสามารถในโอกาสสำคัญ แม้แต่วิธียกชานางก็ยังจดจำได้ เนื่องจากการตายของลุง มารดาของนางจึงไม่ได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาและบทกวีหลายเดือนแล้ว ทำให้นางไม่มีความสุขและมักรู้สึกว่านางเป็เหมือนไข่มุกแห่งความโศกเศร้าที่ปกคลุมด้วยฝุ่น
วันนี้หลังได้ยินว่าเป่าติ้งผอเมิ่งชานและคุณชายเจ็ดเมิ่งมาที่นี่ เหล่าไท่ไท่จึงอยากจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก นางจึงรีบเตรียมชุดและเครื่องประดับสำหรับงานเลี้ยงมื้อค่ำ ทว่าเลือกไปเลือกมา เวลาก็ล่วงเลยไปมากเสียแล้ว นางเร่งรีบเดินทางมาจนถึงนอกห้องโถงซินหรงพลันพบพวกของหยางมามาที่กำลังจะยกชาเข้าไป
หลัวไป๋ฉยงเข้าใจดีว่าเป่าติ้งผอเป็แขกที่ยากจะได้พบในรอบสิบปี และนางก็เสียใจที่มาสายในงานเลี้ยงสำคัญเช่นนี้ ทันใดนั้นนางก็ได้กลิ่นหอมโชยจากไหใบใหญ่ที่กานเฉ่าถือ จึงเกิดความคิดที่จะแสดงศิลปะการชงชาที่ไม่เหมือนใคร ตามที่ทราบกันดี ลูกสาวที่มีความสามารถในการชงชายอดเยี่ยมล้วนเป็ตัวเลือกในหมู่ลูกหลานชนชั้นสูง หากนางแสดงความสามารถต่อหน้าแขกทุกคน ไม่เพียงยกฐานะของตน ไม่แน่อาจดึงดูดความสนใจของเผิงสือได้
หลังหยางมามาได้ยินแผนการก็กล่าวด้วยความลังเลว่าชาไหนี้ไม่ใช่ชาธรรมดาทั่วไป แต่เป็ชาซานจาที่คุณหนูสามชงกับมือ หากแสร้งว่านางเป็ผู้ชงชานี้เองคงจะไม่เหมาะ ทว่าเมื่อหลัวไป๋ฉยงได้ยินดังนั้น ดวงตาก็เป็ประกายทันที ช่างบังเอิญเสียจริงที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ตนเพิ่งท่องบทเรียนเื่ “ชาผลไม้หอม” จะได้ใช้ในโอกาสนี้พอดี ์ช่างเมตตานางจริง ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าการแสดงอันยอดเยี่ยมของนางจะถูกชาของ “คนป่าเหอตังกุย” ทำพังไม่เหลือชิ้นดี นางจึงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟยิ่งนัก
หลัวไป๋ฉยงนั่งในห้องโถงด้วยความอับอาย ในใจพลางคิดว่าคนในห้องโถงต้องหัวเราะเยาะนางลับหลังเป็แน่ เื่ทั้งหมดเป็ความผิดของ “คนป่าเหอตังกุย” เพียงผู้เดียว
เดิมทีเอ้อร์ไท่ไท่ คุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่จะมาร่วมงานเลี้ยงแต่ท้ายที่สุดกลับไม่เข้าร่วม เดิมทีเมื่อสามวันก่อนคุณชายใหญ่กวนก็จะมาเยี่ยมเยียนทว่ากลับไม่มา ทำให้ในห้องโถงมีที่ว่างไม่น้อย หลังหยางมามาปลอบใจหลัวไป๋ฉยงเสร็จแล้วก็ย้ายที่นั่งของเหอตังกุยจากที่นั่งท้าย ๆ ไปยังที่นั่งสำคัญ เพื่อให้งานเลี้ยงคึกคัก เหอตังกุยจึงถูกย้ายมานั่งตรงข้ามหลัวไป๋ฉยง เมื่อมองหน้าคนที่เกลียด ไม่ว่าอาหารจะอร่อยเพียงใดก็ไร้รสชาติ
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นโดยมีที่นั่งหลักคือที่นั่งของเหล่าไท่ไท่ ที่นั่งทั้งหมดถูกจัดเป็สองแถวห้าขั้นบันได แถวซ้ายขั้นแรกคือเมิ่งชานสองพ่อลูก แถวซ้ายขั้นสองคือสองพี่น้องตระกูลเผิง แถวซ้ายขั้นสามคือหลัวไป๋ฉยง แถวขวาขั้นหนึ่งคือกวนไป๋ซึ่งไม่ได้เข้าร่วม และแถวขวาขั้นสามคือเหอตังกุย
คนเหล่านี้ล้วนเป็คนแปลกหน้าที่ได้พบกันครั้งแรก เมิ่งชานสองพ่อลูกเป็คนแปลกหน้าสำหรับสองพี่น้องตระกูลเผิง และสองพี่น้องตระกูลเผิงก็เป็คนแปลกหน้าสำหรับหนิงยวนและบ่าวรับใช้ หากเป็คนแปลกหน้าที่คุณเคยกันดีก็คงจะเป็เหอตังกุยและหลัวไป๋ฉยง บางคนก็ตั้งใจแสร้งเป็คนแปลกหน้าเช่นเผิงสือและหลัวไป๋ฉยง คนแปลกหน้ากลุ่มนี้นั่งดื่มกินบนโต๊ะในส่วนของตัวเอง แทบไม่มีบรรยากาศของงานเลี้ยงแม้แต่น้อย เหล่าไท่ไท่เห็นดังนั้นก็ร้อนใจจึงเป็ฝ่ายชวนคุยทีละคน นางเอ่ยถามเมิ่งเซวียนว่าหมั้นหรือยัง ก่อนถามสองพี่น้องตระกูลเผิงว่าพอใจเรือนสีชั่งหรือไม่ ถัดไปก็ถามหลัวไป๋ฉยงว่าอาหารพอหรือเปล่า ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็คำตอบง่าย ๆ เช่น “ไม่” “พอใจ” “พอกิน” ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถกระตุ้นบรรยากาศงานเลี้ยงให้คึกคักได้แม้แต่น้อย
เหล่าไท่ไท่หันไปทางขวาเพื่อคุยกับหนิงยวนอีกครั้ง ครั้งที่แล้วนางและหนิงยวนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่นางยังไม่ทันเอ่ยปาก จู่ ๆ หนิงยวนก็เอ่ยกทันหัน “ต้องขออภัย ข้าจะไปเข้าห้องน้ำ เชิญทุกท่านกินให้อร่อย” เหล่าไท่ไท่พยักหน้าพลางคิดจะหันไปคุยกับเฟิงหยาง ทว่าเฟิงหยางกลับลุกยืนทันทีที่หนิงยวนตบไหล่ ก่อนเอ่ย “ข้า...ข้าก็จะไปเข้าห้องน้ำ ทุกท่านกินให้อร่อยนะขอรับ” ทั้งสองกล่าวจบก็รีบเดินออกไปทางประตูข้าง
บุรุษสองคนไปทำธุระส่วนตัวพร้อมกันหรือ? การกระทำของพวกเขาดึงดูดสายตาผู้คนที่เหลือในห้องโถงทันที บรรยากาศเริ่มน่าสนใจยิ่งขึ้น เผิงเจี้ยนยิ้มให้พี่ชายพลางเอ่ย “ท่านพี่ หยางเฟิงผู้นี้คือ “เซียนดาบฝูหลิว” ที่เพิ่งปรากฏตัวในยุทธภพใช่หรือไม่? เหตุใดจึงทำตัวเหมือนสตรีเช่นนี้เล่า?”
เผิงสือยังไม่ทันตอบ เมิ่งเซวียนก็พูดขัดจังหวะฉับพลัน “หลายเดือนก่อนข้าเคยเห็น “เซียนดาบฝูหลิว” เขามีหน้าตาเหมือนเฟิงหยางผู้นี้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้