บทที่ 5 ประจานกลางลานหมู่บ้าน
ดวงตะวันยามเที่ยงลอยเด่นอยู่กลางศีรษะ สาดแสงแรงกล้าลงมาแผดเผาพื้นดินลูกรังสีแดงจนร้อนระอุ ไอร้อนเต้นระยิบระยับเหนือยอดหญ้าแห้งกรอบ แต่ทว่าความร้อนระอุของอากาศนั้น ยังไม่อาจเทียบได้กับเพลิงโทสะที่กำลังลุกโชนอยู่ในแววตาของหลินซี
หลังจากจัดการซ่อนกล่องสมบัติ และวางกับดักทางจิตวิทยาไว้ในห้องเก็บของเรียบร้อยแล้ว หลินซีไม่ได้กลับเข้าไปทำงานงกๆ เงิ่นๆ ตามคำสั่งของแม่เลี้ยงแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม เธอกลับเดินตรงดิ่งไปยัง ลานตากข้าวประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็จุดศูนย์รวมของสภากาแฟและศูนย์กระจายข่าวสารที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในยุค 80
ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ร่มรื่นยามเที่ยง เป็ที่ชุมนุมของเหล่าป้าๆ น้าๆ ที่ว่างเว้นจากการทำนา บรรดาแม่บ้านปากสว่างต่างจับกลุ่มกันขบเคี้ยวเมล็ดแตงโม พลางสนทนาเื่สัพเพเหระั้แ่เื่ราคาหมูไปจนถึงเื่ใต้เตียงของเพื่อนบ้าน
"นี่ ได้ยินหรือเปล่า บ้านสกุลหลินเมื่อเช้าเสียงดังเอะอะโวยวายกันใหญ่เลยนะ" ป้าหวัง หญิงร่างท้วมเปิดประเด็น พลางถ่มเปลือกแตงโมลงพื้น
"ได้ยินสิ! เห็นว่าแม่เฒ่าหลินถือไม้เรียวเข้าไป แต่ตอนออกมาหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น" ป้าจางคู่หูคู่ฮาเสริมทัพ
ในขณะที่วงสนทนากำลังออกรส ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาในคลองจักษุ
หลินซีในชุดเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่น ผมเผ้าที่เคยรวบตึงบัดนี้ถูกปล่อยให้หลุดลุ่ยเล็กน้อยดูน่าเวทนา และใบหน้าขาวซีดเผือด (จากการแสร้งทำ) แต่ทว่าดวงตากลับแดงช้ำราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
เธอเดินมาหยุดที่ใต้ต้นโพธิ์ ขาเรียวสั่นเทาราวกับจะพยุงร่างไม่ไหว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนรากไม้ใหญ่ หอบหายใจแ่เบาเหมือนคนใกล้ขาดใจ
"อุ๊ยตาย! นั่นมันอาซีลูกสาวคนโตบ้านสกุลหลินนี่นา! ทำไมสภาพเป็แบบนั้นล่ะ!"
ป้าหวังร้องเสียงหลง รีบคายเมล็ดแตงโมในปากทิ้งแล้วถลันเข้าไปประคองร่างที่โอนเอนราวกับกิ่งไผ่ต้องลมพายุของหลินซี
เมื่อเข้าไปใกล้ สายตาของหญิงช่างเม้าท์ก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นรอยเขียวช้ำเป็ปื้นใหญ่ที่โผล่พ้นแขนเสื้อที่เลิกขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ รอยช้ำเ่าั้มีสีม่วงคล้ำน่ากลัว ตัดกับผิวขาวซีดจนเห็นเส้นเื
"์โปรด! นี่มันรอยถูกตีชัดๆ! ใครทำกับหนูแบบนี้อาซี?" ป้าจางที่ตามมาสมทบกรีดร้องเบาๆ เอามือทาบอกด้วยความเวทนา
หลินซีเงยหน้าขึ้นมองหญิงวัยกลางคนทั้งสอง น้ำตาเม็ดโตเอ่อคลอเบ้าตาก่อนจะร่วงเผาะลงมาราวกับไข่มุกขาดสาย เธอกัดริมฝีปากแน่นจนห่อเื พยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร
"ป... ป้าหวัง ป้าจาง" เสียงของเธอสั่นเครือ แหบพร่าเหมือนคนที่ร้องไห้มาทั้งคืน "หนู หนูไม่เป็ไรค่ะ หนูแค่ซุ่มซ่ามเอง เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยหกล้ม ฮึก อย่าไปโทษแม่เลี้ยงเลยนะคะ แม่เลี้ยงไม่ได้ตั้งใจ"
คำพูดปฏิเสธที่ฟังดูเหมือนยอมรับกลายๆ นั้น ได้ผลชะงัดยิ่งกว่าการฟ้องร้องตรงๆ
ป้าหวังขมวดคิ้วยุ่งทันที "หกล้ม? หกล้มบ้านไหนรอยช้ำเป็รูปนิ้วมือขนาดนี้! แล้วดูสิ ผอมจนเหลือแต่กระดูก บ้านนั้นมันเลี้ยงหนูด้วยอะไร ฮึ?"
"นั่นสิ! ฉันได้ยินเสียงโครมครามเมื่อเช้า ก็นึกว่าแค่ดุด่าสั่งสอนตามประสา ที่ไหนได้นี่มันกะเอาให้ตายเลยนี่นา" ป้าจางส่ายหัว จิ๊ปากอย่างขัดใจ "แม่เลี้ยงใจั์จริงๆ ต่อหน้าคนอื่นทำเป็พูดดี ลับหลังทำกับลูกเลี้ยงเหมือนหมูเหมือนหมา"
บรรยากาศเริ่มคุกรุ่น ชาวบ้านที่อยู่ระแวกนั้นเริ่มทยอยเดินเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ
หลินซีลอบยิ้มในใจภายใต้ใบหน้าที่อาบน้ำตา ‘ใช่ มุงกันเข้ามาเยอะๆ ไฟยิ่งลามทุ่ง คนยิ่งเห็นธาตุแท้’
ในยุคสมัยที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ปากคน คือสื่อโซเชียลที่ทรงพลังและรวดเร็วที่สุด ยิ่งกว่า 5G เสียอีก!
"อาซี ดื่มน้ำก่อนลูก" หญิงวัยกลางคนใจดีคนหนึ่งยื่นขันน้ำมาให้
หลินซีรับมาด้วยมือที่สั่นเทา แสร้งทำเป็ถือไม่ไหวจนน้ำหกเลอะเสื้อผ้าเล็กน้อย ยิ่งเรียกคะแนนความสงสารได้ท่วมท้น
"ขอบคุณค่ะน้าหลี่" เธอจิบน้ำเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางขันลงแล้วเริ่มเปิดฉากละครดราม่าบทที่สอง
"หนู หนูแค่อยากจะขอร้องแม่เลี้ยง เื่งานของแม่"
เธอพูดไม่ทันจบประโยค ก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
"งานของแม่? งานโรงงานทอผ้าน่ะเหรอ?" ป้าหวังหูผึ่งทันที เื่ผลประโยชน์เป็สิ่งที่ชาวบ้านเข้าใจง่ายที่สุด "ทำไม? แม่เลี้ยงแกจะไม่ให้ทำเหรอ?"
หลินซีพยักหน้าทั้งน้ำตา "แม่เลี้ยงบอกว่า น้องเล็กผิวบาง ทนแดดทนฝนไม่ไหว ให้หนูยกโควต้างานในโรงงานให้น้อง ฮึก ส่วนหนู ให้ไปแต่งงานกับคนพิการท้ายหมู่บ้านเพื่อเอาสินสอดมาให้น้องเป็ทุนรอน"
ฮือฮา!
เสียงอื้ออึงดังกระหึ่มไปทั่วลานตากข้าวประจำหมู่บ้านในบัดดล ชาวบ้านต่างมองหน้ากันด้วยความใและรังเกียจ
การแย่งงานก็เื่หนึ่ง แต่การจะขายลูกเลี้ยงไปแต่งงานกับคนพิการเพื่อเอาเงินมาปรนเปรอลูกตัวเองนี่มัน เลวระยำเกินคน!
"เลวชาติ! มันกล้าทำขนาดนี้เลยรึ!" ลุงผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งเดินผ่านมาได้ยินเข้าพอดี ตบเข่าฉาดด้วยความโมโห "งานนั้นเป็ชื่อแม่แท้ๆ ของนังหนูซี มันจะหน้าด้านแย่งไปได้ยังไง!"
"นั่นสิ! จางชุ่ยนี่มันหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองจริง ๆ เลย!"
ในขณะที่กระแสสังคมกำลังตีกลับอย่างรุนแรง เสียงแหลมปรี๊ดที่คุ้นเคยก็ดังแทรกเข้ามากลางวงล้อม
"นังเด็กโกหก! แกพล่ามบ้าอะไรให้ชาวบ้านฟังฮะ!"
จางชุ่ย และ หลินเจียว เดินฝ่าวงล้อมเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึง พวกนางเพิ่งทำแผลเสร็จและตั้งใจจะออกมาตามหลินซีกลับไปใช้งาน แต่กลับมาเจอฉากประจานสดๆ ร้อนๆ เข้าเสียก่อน
"แม่คะ! ดูมันสิคะ มันใส่ร้ายเรา!" หลินเจียวชี้หน้าพี่สาวต่างแม่ เต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ "ใครจะไปแย่งงานแก! แกมันี้เีเองต่างหาก!"
จางชุ่ยถลันเข้าไปหมายจะกระชากแขนหลินซี "กลับบ้านเดี๋ยวนี้! นังลูกเนรคุณ มานั่งสำออยอะไรตรงนี้ กลับไปซักผ้า!"
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังสนั่น แต่คราวนี้ไม่ใช่จางชุ่ยตบหลินซี
แต่เป็ป้าหวังที่ทนไม่ไหว ปัดมือจางชุ่ยออกอย่างแรง
"หยุดนะนังชุ่ย! แกยังมีความเป็คนอยู่ไหม? ลูกเลี้ยงแกสภาพดูไม่ได้ขนาดนี้ ยังจะลากไปใช้งานอีกเรอะ?"
"ป้าหวัง! อย่ามายุ่งเื่ในครอบครัวฉัน!" จางชุ่ยตวาดกลับ "นังนี่มันตอแหล! เมื่อเช้ามันเพิ่งทำร้ายแม่ฉันจนเกือบตาย!"
"โกหก!" หลินซีะโสวนขึ้นมาทันควัน น้ำเสียงที่เคยสั่นเครือแปรเปลี่ยนเป็ความคับแค้นใจที่อัดอั้นตันใจ
เธอลุกขึ้นยืนช้าๆ ปาดน้ำตาทิ้ง แล้วจ้องหน้าจางชุ่ยด้วยดวงตาที่แดงก่ำแต่เต็มไปด้วยพลัง
"ป้าจาง ป้าบอกว่าฉันทำร้ายย่า? ฉัน หลินซีคนนี้เนี่ยนะ?"
เธอผายมือให้ดูสภาพร่างกายที่ผอมแห้งของตัวเอง
"ฉันหนักไม่ถึง 40 กิโลฯ เรี่ยวแรงจะบิดผ้ายังแทบไม่มี แต่พวกป้าสามคน กินอิ่มนอนอุ่น ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ถามชาวบ้านดูสิคะ ว่าใครจะเชื่อ? ว่าลูกไก่ในกำมืออย่างฉันจะไปทำร้ายพญาอินทรีอย่างพวกป้าได้?"
ชาวบ้านพยักหน้าเห็นด้วยทันที
"จริงของนังหนูซี จางชุ่ยตัวเท่าตุ่ม ย่าหลินก็ถือไม้เท้าไล่ตีคนไปทั่ว ใครจะไปเชื่อว่าเด็กตัวแค่นี้จะสู้ได้"
"ใส่ร้ายชัดๆ หน้าไม่อายจริงๆ"
คำวิจารณ์เซ็งแซ่ทำเอาหน้าของจางชุ่ยชาดิกเหมือนโดนตบซ้ำๆ นางอ้าปากพะงาบๆ เถียงไม่ออก
หลินซีไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือ เธอเดินก้าวเข้าไปหาจางชุ่ยหนึ่งก้าว แล้วงัดไม้ตายออกมาใช้
"ป้าจางคะ ป้าบอกว่ารักฉันเหมือนลูก แต่ทำไมเงินเดือนที่พ่อส่งมาให้ฉันทุกเดือน ป้าถึงบอกว่าพ่อไม่เคยส่งมาเลย? ทำไมเสื้อผ้าใหม่ๆ ของฉัน ถึงไปอยู่บนตัวหลินเจียวหมด? และทำไม สร้อยทองของแม่ฉัน ถึงไปอยู่ที่คอของป้า?"
หลินซีชี้นิ้วไปที่คอเสื้อของจางชุ่ย ที่มีสร้อยทองเส้นเล็กๆ โผล่ออกมาวับๆ แวมๆ
จางชุ่ยสะดุ้งเฮือก รีบตะปบมือปิดคอเสื้อตัวเองด้วยความลืมตัว
ท่าทางมีพิรุธนั้นยิ่งกว่าคำสารภาพใดๆ
"นั่นไง! ของแม่นังหนูซีจริงๆ ด้วย ฉันจำลายได้!" ป้าจางตาดีรีบะโชี้เป้า
"ขโมย! นี่มันยักยอกทรัพย์สินลูกเลี้ยงนี่หว่า!"
สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว จากเื่ครอบครัวกลายเป็เื่อาชญากรรมทางศีลธรรม จางชุ่ยหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่ก ไหล่ที่เคยเชิดสูงห่อเหี่ยวลงทันตา
หลินเจียวเห็นท่าไม่ดี พยายามจะลากแม่หนี "แม่ กลับกันเถอะ พวกมันบ้าไปแล้ว"
แต่หลินซีไม่ยอมให้จบง่ายๆ
"จะไปไหนคะ?"
น้ำเสียงของเธอเย็นะเื แฝงไว้ด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น เธอเดินเข้าไปขวางทางสองแม่ลูก สายตาคมกริบกวาดมองราวกับเพชฌฆาตที่กำลังจะลงดาบ
"วันนี้ต่อหน้าลุงผู้ใหญ่บ้านและพี่น้องทุกคน เรามาพูดกันให้รู้เื่ดีกว่า"
หลินซีหันไปทางผู้ใหญ่บ้าน แล้วคุกเข่าลงกับพื้น (ท่าไม้ตายเรียกคะแนนสงสารปิดท้าย)
"ลุงผู้ใหญ่บ้านคะ หนูไม่ขออะไรมาก หนูขอแค่ความยุติธรรม หนูขอย้ายออกจากทะเบียนบ้านสกุลหลิน! หนูขอแยกบ้านค่ะ!"
แยกบ้าน!
คำคำนี้เปรียบเสมือนะเิลูกใหญ่ที่ทิ้งลงกลางวง ในยุคนี้การแยกบ้านของหญิงสาวยังไม่แต่งงานเป็เื่ใหญ่มาก แต่สำหรับสถานการณ์นี้ ทุกคนกลับรู้สึกว่ามันคือทางรอดเดียวของเธอ
"ถ้าหนูยังอยู่ที่นั่น สักวันหนูคงตายโดยไม่รู้ตัว สมบัติแม่หนูไม่้าคืนก็ได้ (โกหก) แต่หนูขอชีวิตตัวเองคืนเถอะค่ะ!" เธอโขกศีรษะลงกับพื้นดิน เสียงดังก้องกังวาน บาดลึกเข้าไปในใจคนดู
ลุงผู้ใหญ่บ้านเม้มปากแน่น มองดูสภาพเด็กสาวที่น่าเวทนา สลับกับมองจางชุ่ยที่ยืนตัวสั่นด้วยความกลัวความผิด
"ได้! ฉันจะเป็พยานให้เอง!" ลุงผู้ใหญ่บ้านประกาศกร้าว "จางชุ่ย! ไปตามสามีแกกับย่าแกมา! วันนี้เราจะชำระความกันให้จบที่ลานบ้านนี่แหละ!"
จางชุ่ยเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น รู้ตัวแล้วว่าหายนะที่แท้จริงกำลังจะมาเยือน
ส่วนหลินซีที่ก้มหน้าอยู่ ริมฝีปากที่เปื้อนฝุ่นดินกลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
รอยยิ้มที่งดงามแต่งดงามดุจดอกป็อปปี้สีเื
‘แยกบ้านเป็แค่ก้าวแรก จางชุ่ย หลินเจียว นรกที่แท้จริง มันเพิ่งจะเริ่มต่างหาก’
เธอลุกขึ้นยืนช้าๆ โดยมีป้าหวังและชาวบ้านช่วยประคอง แววตาที่มองไปยังสองแม่ลูกนั้นว่างเปล่าไร้ความปรานี แต่ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เมื่อจางชุ่ยถลึงตาใส่ด้วยความแค้นเคือง ร่างบางของหลินซีกลับสะดุ้งโหยงจนตัวโยน ราวกับถูกแส้ที่มองไม่เห็นฟาดลงกลางหลัง
มือเรียวที่ผอมจนเห็นกระดูกรีบยกขึ้นกอดตัวเองแน่น ขาทั้งสองข้างสั่นระริกประดุจลูกนกเปียกฝนที่ตกจากรัง เธอก้าวถอยหลังไปซุกตัวอยู่ข้างหลังป้าหวังอย่างคนขวัญเสีย พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
"อย่า อย่ามองหนูแบบนั้น "
เสียงของเธอสั่นเครือและแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ท่ามกลางความเงียบของฝูงชน มันกลับดังก้องไปทั่วหัวใจคนฟัง
"หนูกลัวแล้ว แม่จ๋า หนูกลัวแล้ว" หลินซีละล่ำละลักพูด พลางยกมือไหว้ปลกๆ น้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไหลกลับพรั่งพรูออกมาอีกระลอก อาบสองแก้มที่ตอบซีด "หนูจะไม่พูดเื่สร้อยทองแล้ว หนูจะไม่พูดเื่เงินเดือนพ่อแล้ว ฮึก อย่าตีหนูอีกเลยนะ แค่นี้หนูก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว"
พูดจบ เธอก็ไอออกมาอย่างรุนแรงจนตัวงอ มือข้างหนึ่งกุมที่หน้าอก อีกข้างกุมที่ท้องน้อย แสดงอาการเ็ปแสนสาหัสจากการถูกทำร้ายภายใน ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วกลับไร้สีเืจนน่ากลัวว่าจะล้มพับไปได้ทุกเมื่อ
"โธ่ อาซีลูกแม่" ป้าหวังเห็นสภาพนั้นแล้วน้ำตาไหลพราก รีบโอบกอดเด็กสาวเอาไว้แน่นราวกับแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบ "ไม่ต้องกลัว! วันนี้มีคนทั้งหมู่บ้านอยู่ตรงนี้ ใครหน้าไหนก็ทำร้ายหนูไม่ได้!"
"ใช่! ดูสภาพเด็กมันสิ สั่นเป็เ้าเข้าขนาดนี้ จิตใจต้องบอบช้ำขนาดไหน!" ชาวบ้านคนหนึ่งะโขึ้นด้วยความเวทนาและโกรธแค้น
"จางชุ่ย! แกมันไม่ใช่คน! แกทำกับเด็กตาดำๆ แบบนี้ได้ยังไง!"
หลินซีซุกหน้าลงกับไหล่ของป้าหวัง แอบซ่อนรอยยิ้มเย็นะเืไว้ภายใต้หน้ากากของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
ในขณะที่ร่างกายภายนอกสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่ภายในใจเธอกลับนิ่งสงบและกำลังหัวเราะเยาะ
‘ร้องไห้เข้าไป สงสารฉันเข้าไป ยิ่งพวกคุณเวทนาฉันมากเท่าไหร่ โซ่ตรวนที่ล่ามคอจางชุ่ยก็จะยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น!’
เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองลอดผ่านกลุ่มผมที่ยุ่งเหยิง สบตากับจางชุ่ยที่ยืนหน้าซีดปากสั่นทำอะไรไม่ถูก
แววตาของหลินซีในยามนี้ช่างดูเปราะบาง น่าทะนุถนอม และวิงวอนขอชีวิต
แต่สำหรับจางชุ่ยและหลินเจียวที่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของนางมารร้ายตนนี้ แววตานั้นกลับเปรียบเสมือน คำพิพากษาปะาชีวิต จากมัจจุราชที่กำลังแสยะยิ้มกวักมือเรียกพวกนางลงขุมนรก!
ภายใต้ม่านน้ำตาที่ไหลพราก ั์ตาดำขลับของหลินซีกลับสงบนิ่ง ว่างเปล่า และเยือกเย็นจนน่าขนลุก มันสื่อความหมายสั้นๆ ชัดเจนว่า 'พวกแก จบเห่แล้ว'
ความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจแล่นปราดไปทั่วร่างของจางชุ่ย แข้งขาที่เคยหยัดยืนอย่างอวดดีบัดนี้อ่อนเปลี้ยจนพยุงกายไม่อยู่ นางทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นฝุ่นอย่างหมดสภาพ ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก นางอยากจะะโออกไปให้ทุกคนได้ยิน
อยากกรีดร้องให้โลกรู้ว่า
“นังเด็กนี่มันตอแหล! มัน มันคือปีศาจ!”
แต่เพียงที่อ้าปาก
แค่ก!
เืสด ๆ พุ่งกระเซ็นออกมาจากลำคอเป็สาย นางกระอักออกมาเฮือกหนึ่งอย่างรุนแรง จนลมหายใจแทบขาดห้วง สีหน้าซีดเผือดกลายเป็ขาวโพลนไร้เืฝาดก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสั่นเทาไม่หยุด
"พอได้แล้ว!"
เสียงตวาดก้องกังวานของลุงผู้ใหญ่บ้านดังผ่าวงล้อมเข้ามา ตัดบทละครฉากใหญ่ลงทันควัน ใบหน้าของชายชราแดงก่ำด้วยความโกรธจัดเมื่อเห็นสภาพ เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ที่ตัวสั่นงันงกอยู่ในอ้อมแขนชาวบ้าน
"คนเจ็บก็เจ็บปางตาย คนทำผิดยังหน้าด้านไม่สำนึก เื่นี้ต้องเอาให้ถึงที่สุด! ไอ้หนุ่ม! เอ็งรีบไปตามตาแก่หลินกับแม่เฒ่ามาที่นี่เดี๋ยวนี้ บอกว่าผู้ใหญ่บ้านจาง เรียกตัวด่วน! ถ้าไม่มา หรือมาช้าแม้แต่นาทีเดียว ฉันจะให้คนไปแจ้งตำรวจข้อหา พยายามฆ่าและยักยอกทรัพย์!"
คำว่า ตำรวจ และคุกตาราง เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกบาลคนฟัง ในยุค 80 ที่กฎหมายเริ่มเข้มงวด คำคำนี้น่ากลัวยิ่งกว่าภูตผีปีศาจสำหรับชาวบ้านตาดำๆ
จางชุ่ยหน้ามืดวูบ แทบจะเป็ลมล้มพับไปจริงๆ ส่วนหลินเจียวร้องไห้โฮออกมาด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น
ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหล หลินซีซุกหน้าลงกับอกเสื้อของป้าหวัง ไหล่บางยังคงสั่นไหวจากการสะอื้นฮัก แต่ภายใต้ความมืดมิดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ริมฝีปากที่แห้งผากของเธอกลับยกขึ้นเป็รอยยิ้มเย็นเยียบ
วันนี้เธอได้เปลี่ยนสถานะจากเหยื่อ มาเป็ผู้คุมเกมโดยสมบูรณ์แล้ว
และกระดานนี้ เธอจะเป็คนเดินหมากกินรวบแต่เพียงผู้เดียว!
