พิธีจบการศึกษาผ่านไปเกินครึ่งเดือนแล้ว การที่ซูอินกลับมาเหยียบที่โรงเรียนอีกครั้งทำให้ได้รับความสนใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การเปลี่ยนแปลงจากน้ำพุในห้วงมิติค่อยๆ เป็ไปตามลำดับ เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ดูจากภายนอกเธอแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงดวงตาที่สดใสมากขึ้น ทำให้ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม เพราะเรียนจบแล้ววันนี้เธอจึงไม่ได้ใส่เครื่องแบบนักเรียน แต่เลือกสวมชุดกระโปรงที่เคยซื้อเมื่อก่อนหน้านี้
ซึ่งก็คือชุดเดรสกระโปรงสีฟ้าขาวเอวสูงที่หลิงเมิ่งอิจฉานั่นเอง
ชุดเดรสในห้างสรรพสินค้าที่ถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันช่างมี “พลังทำลายล้าง” ชุดนักเรียนแบบขาดลอย เมื่อใส่แล้วทำไมให้ความแตกต่างกันอย่างมาก
เห็นผลลัพธ์ทันตา คนที่เดินขวักไขว่อยู่ในโรงเรียนมีนักเรียนชายจำนวนไม่น้อยอดไม่ได้ที่จะหันมามองซูอิน พวกเขากระทำการต่างๆ โดยไม่รู้ตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธอ ตอนที่เดินขึ้นบันไดมีชายร่างสูงสวมรองเท้าบาสเกตบอลไนกี้เข้ามาขวางหน้าเพื่อรั้งเธอไว้
“หลิง…ซูอิน ฮาย~”
ซูอินเงยหน้า นักเรียนชายท่าทางนักเลงคนนี้เธอรู้สึกเหมือนกับเคยเจอที่ไหนมาก่อน
ซึ่งคนที่เตือนความจำของเธอก็คืออวี๋ฉิงที่อยู่ข้างๆ “สื่อเสียง ทำไมวันนี้มาโรงเรียนได้ล่ะ”
ซูอินนึกออกแล้ว เขาคือนักเรียนอันธพาลในโรงเรียน จากความทรงจำของเธอเหมือนกับว่าพ่อของเขาจะมีตำแหน่งค่อนข้างสำคัญในเมืองผิง เมื่อมีแบ็กอัปดี เขาจึงโดดเรียน ทะเลาะวิวาท ละเมิดกฎระเบียบอันเข้มงวดของโรงเรียนทดลองหลายครั้ง
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจท่าทีตื่นเต้นที่อีกฝ่ายแสดงออกทางสายตา แต่เด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาจากพ่อแม่ที่ร่ำรวยเช่นนี้ เหมือนอยู่คนละโลกกับเธอ
ซูอินพยักหน้า “สวัสดี พวกเรามีธุระที่ต้องไปทำ ไปห้องสำนักงานก่อนนะ”
ทิ้งไว้เพียงประโยคนั้น เลี่ยงการเอ่ยชื่อของนักเรียนชายที่ไม่ซ้ำใคร แล้วเดินขึ้นบันได
นักเรียนสื่อเสียงที่ถูกทิ้งโดยไม่ลังเล : …
อวี๋ฉิงที่ถูกซูอินคล้องแขนเดินไปอีกครั้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ โดยไม่สนใจสื่อเสียงที่อยู่ตรงจุดพักบันไดไม่ไกลนัก เธอเอ่ยชื่นชมเพื่อน “อินอิน ทำได้ดีมาก!”
อินอินตอบกลับด้วยท่าทีเรียบเฉย “ฉันไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อย”
สื่อเสียงที่หันมามองได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี
เป็เพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งเก้าปี ั้แ่ประถมจนถึงมัธยมต้น ยังไม่สนิทอีกหรือ…
ตอกย้ำซ้ำเติมตรงกลางใจ!
สองสาวที่เดินไปเบื้องหน้าไม่ได้สังเกตสถานการณ์ที่อยู่เื้ั พวกเธอควงแขนกันเดินมาถึงห้องสำนักงาน เคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไป
เมื่อกล่าวถึงการกรอกหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อ อันที่จริงมันคือการมารับแบบฟอร์มและคู่มือที่โรงเรียน ใน่เวลานี้ยังไม่มีการมอบหมายหน้าที่ให้เขตการศึกษาเป็ผู้ดูแล โรงเรียนมัธยมเล็กๆ ในเมืองจะรับนักเรียนเข้าศึกษาด้วยตนเอง โรงเรียนมัธยมปลายหลายสิบแห่งในเมืองผิงมีการบอกข้อดีข้อเสียและขอบเขตคะแนนไว้ในคู่มืออย่างชัดเจน นักเรียนจะนำสองสิ่งนี้กลับบ้านและปรึกษาผู้ปกครอง
จะต้องกรอกให้เรียบร้อยในระยะเวลาที่กำหนด จากนั้นจึงนำกลับมาส่งที่โรงเรียนอีกครั้ง
เมื่อเข้ามาในห้องสำนักงาน ซูอินพบว่านอกจากครูที่ปรึกษาหลินซิ่ว ยังมีอีกหนึ่งคนอยู่ด้วย
เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นคนนี้ที่ใดสักที่หนึ่งและคุ้นหน้ามาก แต่เธอมั่นใจว่าไม่ใช่ครูของโรงเรียนทดลองอย่างแน่นอน
“คุณครูหวัง นี่คือนักเรียนที่สอบได้อันดับหนึ่งของปีนี้ค่ะ นักเรียนซูอินของพวกเรา”
หลินซิ่วแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “นักเรียนซูอิน นี่คือคุณครูหวังจากโรงเรียนลำดับที่หนึ่งเขตเมืองผิง เธอเป็รูมเมตของครูตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย และเป็ครูในห้องเรียนโอลิมปิกในปีนี้ของพวกเธอ”
หญิงสาวท่าทางเคร่งขรึมซึ่งนั่งอยู่ข้างคุณครูหลินมองมาที่เธอ ขยับแว่นลงเล็กน้อยก่อนมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
อวี๋ฉิงที่อยู่ข้างๆ เหมือนจะรู้บางอย่างมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อเข้ามาในห้องจึงปล่อยมือและดึงแขนเสื้อของซูอินเล็กน้อยพร้อมส่งสายตาบางอย่าง
ซูอินมองไปเบื้องหน้าก่อนจะโค้งตัวและเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “คุณครูหวัง สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีนักเรียนซูอิน ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกัน ตอนสอบขึ้นชั้นมัธยมปลายครูมาที่โรงเรียนทดลองเพื่อคุมสอบวิชาคณิตศาสตร์”
แบบนี้นี่เอง ซูอินนึกออกแล้ว มิน่าล่ะเธอถึงได้รู้สึกคุ้นหน้า คุณครูหวังเป็ครูคุมสอบวิชาคณิตศาสตร์คนนั้นนั่นเอง แต่ว่าในตอนนั้นเธอสนใจแค่ปฏิกิริยาที่น่าเวทนาของหลิงเมิ่งที่ถูกเธอเติมน้ำพุแห่งจิติญญาลงไปในเครื่องดื่ม และหลังจากทำข้อสอบเสร็จเธอก็รีบส่ง ไม่ได้สนใจครูคุมสอบเลย
ในเวลานั้นเธอยุ่งอยู่กับการดูอสังหาริมทรัพย์ เพราะนึกถึงการรื้อถอนที่จะเกิดขึ้น ตอนนี้เมื่อกลับมานึกดู การสอบครั้งใหญ่เช่นนั้น การส่งกระดาษคำตอบก่อนดูจะไม่ค่อยทำตามระเบียบสักเท่าไร
เป็เหตุให้เธอก้มศีรษะด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก
เหมือนว่าคุณครูหวังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะไม่สังเกตในจุดนี้สักเท่าไรก่อนจะเอ่ยออกมา “พูดตรงๆ ตอนนั้นที่เธอส่งกระดาษคำตอบก่อนเวลา ครูใมากว่าจะเป็เด็กอีกคนที่ทำข้อสอบไม่ได้และยอมแพ้หรือเปล่า แต่เมื่อได้ดูคำตอบของเธอจึงล้มเลิกความคิด ข้อสอบในปีนี้ค่อนข้างยาก ยากกว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะข้อสุดท้ายซึ่งเป็โจทย์สำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอไม่เพียงทำข้อสอบนั้นได้ในเวลาอันสั้น ยังทำได้คะแนนเต็ม ฉันคิดว่าเธอต้องเป็นักเรียนที่ดีที่สุดในห้องเรียนโอลิมปิกของพวกเราแน่นอน!”
เนื่องจากเป็ครูที่ปรึกษาของนักเรียนรุ่นที่จบการศึกษา ทำให้หลินซิ่วเลี่ยงที่จะเข้าเป็ผู้คุมสอบ จึงไม่รู้ว่าข้อสอบออกอะไรบ้าง รู้แค่ว่าซูอินได้คะแนนสูง โดยไม่รู้เลยว่าจะออกสอบด้วยโจทย์แบบนี้
หวังเหวินชิงเป็คนมีนิสัยเย่อหยิ่ง พักอยู่ห้องเดียวกับเธอสี่ปีและเป็เพื่อนสนิทกัน ไม่มีอะไรที่หลินซิ่วไม่รู้ คนนิสัยเย่อหยิ่งแต่มาหาเธอที่นี่เพื่อแสดงความ้าในตัวซูอิน ทำให้เธอใมาก เมื่อฟังเื่นั้นจบ ความใของเธอก็ย้ายไปอยู่ที่ซูอิน
ปกติเด็กคนนี้เป็เด็กเรียนดี แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนี้
ในตอนที่เธอตั้งใจจะเอ่ยบางอย่าง ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก มีนักเรียนอีกคนเดินเข้ามา
“เหวินชิง ซูอิน ฉันมีธุระ พวกเธอเข้าไปคุยกันต่อข้างในเถอะ”
เมื่อได้รับสายตาของอวี๋ฉิงที่บอกว่า “พยายามคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดีนะ” ซูอินจึงเดินตามคุณครูหวังเข้าไปในห้องสำนักงานที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งมีไว้สำหรับประชุมผู้ปกครอง
ห้องประชุมผู้ปกครองเป็ห้องขนาดเล็กที่แยกออกมา มีการตกแต่งเหมือนห้องรับแขกขนาดเล็ก
หวังเหวินชิงหลงใหลในการสอนและงานวิจัย เธอไม่ใช่คนมีนิสัยละมุนละม่อม เมื่อนั่งลงจึงเข้าประเด็นทันที พูดถึงข้อดีมากมายของห้องเรียนโอลิมปิก จากนั้นแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนราวกับบอกว่า หากมีสิ่งใด้าเรียกร้องก็บอกมาได้เลย หากสิ่งที่้าอยู่ในเงื่อนไขขอบเขตที่กำหนด เธอก็จะตอบตกลง
ห้องเรียนโอลิมปิกคือห้องเรียนที่มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ฟรี ค่ากินค่าอยู่ มีทุนการศึกษาแยกให้อีก เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดถึงข้อตกลงเหล่านี้แล้ว จะยัง้าอะไรอีก
เธอรอที่จะมีรายชื่อเข้าไปอยู่ในห้องเรียนนั้นถึงสองชาติภพ จนซูอินอยากตอบตกลงเสียตอนนี้เลย
เมื่อได้โอกาสพูด เธอกลับไม่รีบเอ่ยออกไป
ตอนนี้เธอเป็นักเรียนที่สอบได้อันดับหนึ่ง โรงเรียนหลายแห่งส่งตัวแทนมาเรียกเธอเข้าเรียน หากมีของถูกแล้วไม่รีบคว้าไว้ก็เป็ไข่ตะพาบน้ำ[1]!
แล้วจะขออะไรดีนะ
เงินหรือ ไม่ๆๆ ตอนนี้เธอไม่ได้ขาดแคลนเงิน ถึงจะบอกว่าข้อเสนอของห้องเรียนโอลิมปิกนั้นดีมาก ครูที่ปรึกษาก็เดินทางมาหาด้วยตนเอง หาก้าเงินเธอคงรู้สึกละอายใจ
แล้วจะขออะไรได้อีกล่ะ
สมองครุ่นคิดเร็วมาก ไม่นานเธอก็นึกออก
“คุณครูหวังคะ เื่ชื่อเสียงของห้องเรียนโอลิมปิกหนูก็เคยได้ยิน และอยากเข้าเรียนมาตลอด ครั้งนี้คุณครูเดินทางมาด้วยตนเองทำให้หนูปลื้มใจมาก ข้อเสนอมากมายขนาดนี้ อันที่จริงไม่ควรร้องขออะไรแล้ว”
พูดแบบนี้แสดงว่ามีสิ่งที่ร้องขอสินะ
หวังเหวินชิงพยักหน้า ยังคงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นเคย “ไม่เป็ไร แน่นอนว่าการที่ครูพูดแบบนี้เท่ากับว่า หากเธอมีอะไรจะร้องขอก็บอกได้เลย”
“อันที่จริงก็มีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณครูหลินเคยเล่าสถานการณ์ของหนูให้คุณครูฟังหรือเปล่าคะ”
“เื่ที่ว่าบ้านของเธอฐานะไม่ดีใช่ไหม”
ดูท่าทางหล่อนน่าจะรู้เื่นี้ ซูอินจึงพยักหน้า “นั่นเป็เพียงส่วนหนึ่ง ห้องเรียนโอลิมปิกไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน เื่ฐานะจึงไม่มีปัญหา สิ่งที่หนูอยากพูดก็คือเื่การอุ้มลูกผิดคนเมื่อสิบหกปีก่อน ครอบครัวที่เลี้ยงดูหนูในตอนนั้นค่ะ”
“มีอะไรหรือ”
“อันดับแรก ทะเบียนบ้านและเอกสารประจำตัวนักเรียนของหนูยังอยู่ในมือของพวกเขาค่ะ”
“ไม่มีปัญหา เื่ทะเบียนบ้านครูไม่ค่อยแน่ใจ แต่หลังจากยืนยันสถานะของนักเรียนแล้ว กระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่จัดสรร ขอแค่เธอยินยอมและส่งเอกสารยินยอมเข้าศึกษาต่อ พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ามายุ่ง”
ซูอินโล่งใจไปหนึ่งเปลาะ เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังมั่นใจว่าจะบอกถึงสิ่งที่ตนเอง้า
“สิ่งที่จะร้องขออาจจะเกินไปสักหน่อยนะคะ”
“อืม เธอพูดมา”
ท่าทีตรงไปตรงมาของคุณครูหวังทำให้ซูอินกล้าที่จะบอก เธอเรียบเรียงคำพูดก่อนจะค่อยๆ กล่าวออกไป
“คืออย่างนี้ค่ะ พ่อแม่ทางสายเืของหนูเป็ชาวนา ฐานะไม่ดี มีข้อแตกต่างจากตระกูลหลิงมาก บุตรสาวของตระกูลหลิงถูกอุ้มผิดตัวไปใช้ชีวิตในชนบท คงมีชีวิตที่ลำบากมาก หลังจากที่รู้ความจริง สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติต่อหนู…ด้วยความเกลียดชัง ผลการเรียนของบุตรสาวตระกูลหลิงไม่ค่อยดี แต่ด้วยอำนาจด้านการเงินและความสัมพันธ์ทางสังคมที่แข็งแกร่งของตระกูลหลิง ก็คงจะใช้ความสัมพันธ์นั้นส่งเธอเข้าเรียนที่โรงมัธยมลำดับที่หนึ่งประจำเมืองอย่างแน่นอน ตัวหนูอาจจะใจแคบที่คิดเล็กคิดน้อย หากเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ชีวิตสามปีของหนูอาจจะถูกรบกวนจนไม่สามารถเรียนได้อย่างสบายใจ ดังนั้นหนูหวังว่า หากเป็ไปได้ คุณครูหวังสามารถแจ้งฝ่ายรับสมัครนักเรียนให้จัดการด้วยความยุติธรรม และไม่รับเธอเข้าเรียนได้ไหมคะ”
--------------------------------------------------------------------------
[1] มีของถูกแล้วไม่รีบคว้าเอาไว้ก็เป็ไข่ตะพาบน้ำ เป็สำนวนจีน ใช้ในความหมายเมื่อมีของถูกหรือของฟรีแล้วไม่คว้าเอาไว้ก็คงโง่มาก