เมื่อนางมาถึง ท่านย่าหวงก็ถือปิ่นปักผมไว้ในมืออย่างขวัญเสีย ส่วนหลี่เจิ้งก็ขมวดคิ้วเป็ปม หลิวซานกุ้ยจ้องมองหลิวเหรินกุ้ยด้วยสายตาเ็า และยังคงจดจ้องแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
จางกุ้ยฮัวถือไม้กวาดยาวในมือ ขณะที่เฉินซื่อพยายามยื้อนางไว้สุดแรง แล้วเกลี้ยกล่อมให้นางอย่าโมโหเพราะจะเป็อันตรายแก่ครรภ์ในท้อง
“ป้ารอง ลุงรอง หากพวกท่านกล้าทำให้แม่ข้าโมโหและทำให้ครรภ์เป็อันตราย ข้าจะทำให้ครอบครัวของท่านไม่ได้อยู่เป็สุขตลอดไป ข้า หลิวเต้าเซียง พูดได้ก็ทำได้!”
หลิวเหรินกุ้ยหันกลับไปมอง รู้สึกเพียงว่ามีพลังพิฆาตเปล่งออกมาตรงหน้า พลันเกิดความหวาดหวั่น หรือว่าเื่นี้เป็การตัดสินใจที่ผิดพลาด?
เป็ไปได้หรือไม่ว่านางเด็กคนนี้จะเป็ลูกหมาป่า?
“ท่านปู่ ท่านย่า เกิดอะไรขึ้น?” หวงเสียวหู่จ้องหลิวจูเอ๋อร์อย่างถมึงทึง
หลี่เจิ้งถอนหายใจแล้วยื่นจดหมายให้เขาดู “ลุงรองหลิวเขียนจดหมายให้พ่อเ้า และเอ่ยเื่หมั้นหมายของเ้ากับจูเอ๋อร์ ท่านพ่อเ้าเห็นว่าไม่เลว”
หวงเสียวหู่ไม่ได้อ่านมันแต่อย่างใด จากนั้นเก็บเข้าไปไว้ในอก “ท่านปู่ ท่านเคยบอกเอง นั่นคือความเห็นของท่านพ่อ ไม่ใช่ความเห็นข้า รองเท้าจะใส่แล้วสบายเท้าหรือไม่ มีเพียงตัวเองที่รู้”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าไปหาท่านย่าหวง จากนั้นหยิบปิ่นปักผมมาจากมือของนาง “ท่านย่า ท่านเองก็เคยบอกว่าหม้อแบบไหนก็คู่ควรกับฝาแบบนั้น หม้ออย่างข้านั้นยอมรับแค่ฝาอย่างชิวเซียงเท่านั้น จดหมายของพ่อข้ามาช้าเกินไป ข้าได้หมั้นหมายไปแล้ว อีกอย่าง พ่อข้าก็ไม่ได้รับปากทันที เขาเพียงแต่บอกว่าไม่เลว”
เมื่อหลี่เจิ้งกับท่านย่าหวงได้ยินดังนั้น ความหดหู่เศร้าหมองก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีประกายแห่งความหวังกลับมา
“ฮ่าๆ คลื่นลูกใหม่พัดคลื่นลูกเก่าจริงๆ ยายเฒ่า ข้าคงแก่แล้ว เมื่อครู่ คงตาฝาดไป”
หลี่เจิ้งเอื้อมมือมาลูบเคราแพะของตนเองแล้วหัวเราะลั่น
จางกุ้ยฮัวโยนไม้กวาดในมือของนางออกไปและพูดอย่างมีความสุขว่า “ข้าเองก็โมโหจนสับสนไป”
หลิวซานกุ้ยเก็บไม้กวาดของนางแล้วโยนออกไป จากนั้นหันไปวางท่าทางกับหลิวเหรินกุ้ย “พี่รอง อย่าให้ข้าลงมือเลย คนในหมู่บ้านต่างก็ดูอยู่ ข้าว่าจูเอ๋อร์ก็มีการสั่งสอนที่ไม่เลว ต่อไปคงได้หมั้นหมายกับคู่ครองที่ดีเชียวล่ะ”
หวงเสียวหู่เอ่ยต่อ ก่อนจะหันขวับแล้วเดินจากไป “พวกท่านคุยกันต่อเถิด ข้าจะไปหาน้องชิวเซียง”
หลี่เจิ้งกระแอมไอและเอ่ย “เหรินกุ้ย ข้ารู้ว่าเ้าชอบพอหลานชายคนโตของข้า แต่ข้ามีหลานชายคนโตเพียงคนเดียว เขา้าสิ่งใดก็ต้องได้ ไม่มีสิ่งใดที่เขาไขว่คว้าไม่ได้ ดังนั้นเื่นี้ก็จบเพียงแค่นี้เถิด วันรุ่งขึ้น ข้าจะส่งจดหมายไปบอกกล่าวกับต้าเม่าให้รู้ชัดเอง เื่ในวันนี้เป็เื่ส่วนตัวระหว่างครอบครัวของข้ากับครอบครัวของซานกุ้ย เกรงว่าคงไม่รั้งพวกเ้าไว้ต่อ”
นี่เป็การขับไล่
“เชอะ ความสัมพันธ์พี่น้องอะไรกัน ข้าไม่เคยเห็นพี่ชายที่มาเป็อุปสรรคขัดขวางน้องชายเช่นนี้ ฮึ พาภรรยามาแย่งคู่หมั้นของหลานสาวแท้ๆ ซานกุ้ย ต่อไปข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่รองเ้าอีกต่อไป”
จางกุ้ยฮัวอาศัยโอกาสนี้สลัดครอบครัวนี้ไปให้พ้นๆ
ดวงตาของหลิวซานกุ้ยเ็า ก่อนจะพูดว่า “ฮึ ในสายตาของเขา ก็ต้องลูกสาวตนเองสำคัญกว่า ข้าเองก็เป็พ่อคน ย่อมต้องคิดเหมือนเขา พี่รอง บ้านข้าไม่ยินดีต้อนรับพวกท่านอีกต่อไป หากว่ายังมาอีกและทำให้ลูกเมียข้าโกรธ ข้าจะขับไล่ไสส่งพวกท่านออกไป อย่าถือโทษโกรธข้าที่เป็น้องว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เลย”
หลิวเหรินกุ้ยรังแกเขาได้ แล้วเหตุใดเขาจึงเอาคืนบ้างไม่ได้
สุดท้าย ครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยทั้งหมดก็ออกจากบ้านหลิวเต้าเซียงอย่างคอตก
เชอะ คงคิดว่าแน่สินะ!
หลิวเต้าเซียงจ้องมองเงาด้านหลังของครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยด้วยดวงตาที่เป็ประกาย
ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวหลิวเต้าเซียงจึงไม่ต้อนรับครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยอีกต่อไป แต่ฝั่งนั้นก็ยังมีหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงมาขออาศัยมื้อข้าวที่บ้านของนางอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่ว่าที่บ้านหลิวเต้าเซียงเลี้ยงสุนัขไว้ เพียงแค่ไม่กี่เดือนก็หัดเฝ้าประตูเป็แล้ว เมื่อได้ยินเสียงสุนัขเห่าแต่ไกล สองพี่น้องก็จะวิ่งออกมาหน้าประตู จากนั้นก่อนที่ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยจะมาถึงหน้าบ้านก็ปิดประตูอย่างแรง เหลือไว้เพียงฝุ่นผงคลุ้งเต็มหน้าเขา
หลิวซุนซื่อด่าเสียงแหลมอยู่ข้างนอก หลิวเต้าเซียงก็ตอกกลับไปว่า บ้านนางไม่ยินดีต้อนรับยังจะหน้าด้านมาอีก กระทั่งหลานเขยก็กล้าแย่ง ไร้ยางอายเหลือเกิน ครอบครัวนางไม่มีญาติเช่นนี้
เื่การปล้นลูกเขยของหลิวซุนซื่อไม่ได้แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านสามสิบลี้ เพราะบ้านของหลิวเต้าเซียงมีลำธารกั้นกับตัวหมู่บ้าน ตอนที่ทั้งสองฝั่งมีปากเสียงกันจึงไม่มีใครได้ยิน
ยามเดือนหกดอกบัวลอยเต็มบึง แดงสลับเขียวแลดูสดชื่น
เริ่มยามเฉินในวันนี้ ชาวนาที่ยุ่งกับงานไร่นากำลังแบกจอบเดินย่ำทุ่งนาเขียวขจีกลับไปทานอาหารเช้าที่บ้าน ขณะนั้นเองทางไปตำบลก็มีเสียงม้าดังขึ้น ชาวบ้านได้ยินเสียงเช่นนี้น้อยครั้งจึงหันขวับไปมองทางถนนด้วยดวงตาฉายแววสงสัยใคร่รู้
“นั่นมันอะไรกัน? ไม่เหมือนลานี่นา”
“ไม่เหมือนวัวเช่นกันกัน”
“นี่พวกเ้าช่างไม่รู้เลย นั่นคือล่อต่างหาก”
“ข้าว่าไม่เหมือน ข้าเคยเห็นล่อมาก่อน แต่ที่เป็รถลากข้างหลังน่าจะเป็ล่อ!”
“นี่ ดูสิ รถคันนั้นจอดที่ปากทางหมู่บ้านเรา”
ฝูงชนมองไปและเห็นใครบางคนออกมาจากรถม้า แล้วตรงไปที่บ้านของหลี่เจิ้ง
“ข้าว่าคงจะมาหาหลี่เจิ้ง”
“มีเพียงครอบครัวของเขาเท่านั้นที่สามารถมีแขกสูงศักดิ์เช่นนี้ได้”
เมื่อพูดถึงฝั่งของบ้านหลี่เจิ้ง ท่านย่าหวงกำลังนั่งปักดอกไม้อยู่บนบันไดและมีไก่ประมาณยี่สิบตัวที่มุมลานบ้านกำลังแข่งกันขัน
“เหอะๆ วางไข่ให้เยอะๆ ล่ะ ต้องเก็บให้ครบสองร้อยใบ ข้าจะได้ส่งไปให้หลานชายคนโตกิน ได้ข่าวจากจดหมายที่ลูกชายคนโตส่งมา เ้าเด็กนั่นคงลำบากไม่น้อย ว่ากันว่าบุ๋นไม่เก่งก็ต้องเก่งทางบู๊ ต้องบำรุงร่างกายเขาให้ดี”
ขณะที่ท่านย่าหวงกำลังบ่นพึมพำกับตนเองก็มีคนเคาะประตูบ้าน
“ใคร!”
“ท่านป้า ข้า้าถามทาง”
ที่แท้ก็คนถามทางนี่เอง
ท่านย่าหวงวางเข็มกับด้ายในมือลง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดออกก็เห็นชายหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายละเอียดสีน้ำตาล หากดูให้ดี เขามีมารยาทนอบน้อมอยู่บ้าง
“เ้ากําลังตามหาใครอยู่?”
“เรียนถามท่านป้า ไม่ทราบว่านี่คือหมู่บ้านสามสิบลี้หรือไม่?”
ท่านย่าหวงไตร่ตรองในใจ คนในหมู่บ้านไม่มีบ้านไหนที่มีแขกสูงศักดิ์นี่นา อ้อ นอกจากผู้หญิงใจร้ายหลิวฉีซื่อ ใช่แล้ว ผู้หญิงใจร้ายนั่นไปตัวเมืองจังหวัดไม่ใช่หรือ?
“ถูกต้อง เ้าตามหาผู้ใดหรือ?”
ผู้มาเยือนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่านายท่านหลิว หลิวซานกุ้ยย้ายไปอยู่ที่ใด?”
“หืม พวกเ้ารู้ว่าแยกครอบครัว แต่กลับไม่รู้ว่าย้ายไปที่ใดอย่างนั้นหรือ?” ท่านย่าหวงฉลาดหลักแหลม จึงมีความระมัดระวังตัว
“ท่านป้าคิดมากเกินไปขอรับ คนที่นั่งอยู่บนรถคือนายท่านของข้า นายท่านของข้าเป็น้องชายของภรรยานายท่านหลิว นี่เป็การกลับมาเยี่ยมญาติครั้งแรก นายท่านข้ามาด้วยความรีบร้อน จึงไม่รู้ว่านายท่านหลิวพักอยู่ที่ใด ได้ยินว่าเขาแยกครอบครัวออกมาพักเอง ซึ่งนายท่านข้าสืบถามมา”
ท่านย่าหวงดีใจมากแล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “เ้านายของเ้าชื่ออะไร”
ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งมุดออกมาจากรถม้า ชูสองมือขึ้นอย่างสง่างาม เจิดจ้าจนดวงตาของท่านย่าหวงเกือบบอด เฮ้อ หากว่าอายุน้อยกว่านี้หลายสิบปี เกรงว่านางคงต้องพลิกมาจีบผู้ชายก่อนแน่นอน!
ผู้มาเยือนคือจางอวี้เต๋อ เขาพินิจว่าหญิงชราตรงหน้าคงอายุพอกันกับมารดาของตน จึงเอ่ย “ข้าน้อยจางอวี้เต๋อ ท่านพี่ข้าได้แต่งกับบุตรชายคนที่สามของตระกูลหลิวแห่งหมู่บ้านสามสิบลี้เมื่อสิบสองปีก่อน”
“เ้าคือน้องชายของกุ้ยฮัว!” ท่านย่าหวงเผยความสุขผ่านดวงตา
“ผู้น้อยเอง!” จางอวี้เต๋อเป็คนช่างสังเกต เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของท่านย่าหวงไม่ได้เสแสร้ง จึงคาดคะเนในใจ
ท่านย่าหวงรีบสาวเท้าออกจากประตู เพียงแต่บอกให้เขารอสักครู่ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปทางฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ “กุ้ยฮัว กุ้ยฮัว พี่สะใภ้เฉิน ลูกชายเ้ากลับมาแล้ว”
“ลูกชายของใครกลับมาแล้ว?”
แม่บ้านที่กำลังซักผ้าอยู่แถวนั้นได้ยิน จึงลุกพรวดขึ้นพร้อมกับค้อนไม้ที่ถืออยู่
ค้อนไม้ใช้สำหรับซักผ้า หลังจากชุบผ้าในน้ำให้เปียก จากนั้นโรยผงตั๊กแตนน้ำผึ้งจีน แล้วใช้ขอนไม้ทำเป็กระบองไม้ที่ยาวประมาณสองไม้บรรทัด แล้วทุบเสื้อผ้า เพียงไม่นานเสื้อผ้าก็จะสะอาด
ท่านย่าหวงตอบด้วยใบหน้าที่มีความสุข “ก็น้องชายกุ้ยฮัวน่ะสิ เด็กหนุ่มหน้าตาดีเชียวล่ะ ไม่รู้ว่าลูกสาวบ้านไหนจะมีบุญกันนะ!”
ผู้หญิงคนหนึ่งชี้ไปที่รถม้าและถามว่า “เ้า เ้าหมายถึง...”
ท่านย่าหวงขัดจังหวะนาง “ใช่ เมื่อต้นปีเขาส่งจดหมายกลับมาไม่ใช่หรือ บอกว่าหลายปีนี้มัวแต่ทำการค้าข้างนอก ข้าว่า กุ้ยฮัวมีวาสนาดีแล้วล่ะ”
ทุกคนรู้ว่าครอบครัวฝั่งจางกุ้ยฮัวมีกันอยู่แค่สองพี่น้อง เมื่อน้องชายได้ดี แล้วจะทนดูพี่สาวทุกข์ยากได้อย่างไร
“โอ้ เมล็ดพันธุ์อย่างกุ้ยฮัว ในที่สุดก็ได้เจอดินดี”
“พูดอะไรกัน ข้าว่าฮวงจุ้ยของตระกูลหลิวไม่ค่อยดี ไม่เห็นหรือพอพวกนางเพิ่งแยกบ้าน น้องชายก็ส่งจดหมายมา ข้าว่าก่อนหน้านี้เพราะถูกบางอย่างกดทับไว้”
“หลิวฉีซื่อนั่นก็จิตใจโเี้เกินไป ข้าว่าต่อไปนางแก่ตัวลง ไม่รู้จะตกอยู่สภาพไหน!!”
“ใครจะรู้ แม่สามีอย่างหลิวฉีซื่อก็ลำเอียงเกินไป นอกจากกุ้ยฮัวที่จิตใจดี อีกสองคน เหอะๆ ข้าว่าไม่ได้เื่”
“ตอนนี้ดีแล้ว หลิวฉีซื่อคงจะอิจฉาตาร้อนอีกแล้ว”
“ได้ยินมาว่านางไปที่ตัวเมืองจังหวัด ยังไม่กลับมาอีก!”
......
คําพูดของคนเหล่านี้เข้าหูของจางอวี้เต๋อโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว มือที่ไพล่หลังนั้นกำหมัดแน่น หลังมือถึงกับมีเส้นเอ็นปูด ความดุดันก่อตัวพุ่งทะยานขึ้นฟ้า
หลิวฉีซื่อ!
จางอวี้เต๋อกัดฟันกรอด
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตนเองตอนที่จะออกจากประตูบ้าน ซูจื่อเยี่ยมาพบเขาอย่างกะทันหัน
ทั้งสองพบกันที่ขอบสระบัว กลิ่นหอมของดอกบัวจางๆ โชยมา ซูจื่อเยี่ยที่สูงโปร่งและหล่อเหลายืนหันหน้าไปทางลม
“แม่ทัพ!”
“เ้ามาแล้วหรือ!”
ดวงตาเ็าของซูจื่อเยี่ยมองไปที่จางอวี้เต๋อที่เพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก
เขาเอื้อมมือออกไปและโบกมือให้จิ้นอี้ที่อยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณให้นำกล่องเล็กๆ มาให้จางอวี้เต๋อ
“นี่คือตั๋วเงินสองหมื่น ให้ข้าได้เชยชมความสามารถของเ้าหน่อย”
ตั๋วเงินสองหมื่นไม่ถือว่ามากนัก ซูจื่อเยี่ยยังสามารถให้เขาได้มากกว่านี้
จางอวี้เต๋อรู้ดีว่านี่เป็การทดสอบจากซูจื่อเยี่ยที่มอบให้เขา
“แม่ทัพวางใจได้ ข้าจักนำกำไรกลับมาให้ท่านเป็เท่าตัว”
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้า จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงก็อย่าใช้
ตอนนี้เขาไว้ใจจางอวี้เต๋อ เขาย่อมไม่ระแวง จึงให้คนมอบตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงให้แก่เขาโดยตรง
“ข้ารู้ว่าเ้ามีสมบัติส่วนตัวอยู่บ้าง เ้าใช้จ่ายได้ตามสบาย นอกจากนี้ข้าจะยกผลกำไรให้เ้าส่วนหนึ่ง”
จางอวี้เต๋ออิ่มเอมใจ กำไรหนึ่งส่วนนับว่าไม่น้อยแล้ว เพราะซูจื่อเยี่ยจัดแจงให้เขาออกเรือไป สมบัติส่วนตัวเขามีไม่มากนัก แต่จางอวี้เต๋อนั้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าคนต่างชาติชอบผ้าไหม ใบชา เครื่องใช้กระเบื้อง หรือสัตว์ปีกต่างๆ ของดินแดนราชวงศ์โจว ”
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเปล่งประกาย “ใช่ เกาะชายฝั่งทะเลมีอาหารทะเลและไข่มุกมากมาย แต่กลับขาดแคลนสินค้าท้องถิ่นของเรา ด้วยเหตุนี้ ครั้งนี้ข้าจึงเตรียมของตากเค็มแห้งไว้จำนวนมากและสัตว์ปีกเป็ๆ อีกจำนวนหนึ่ง”
-----
