เจินจูหยิบกรรไกรขึ้นทันที หลังจากนั้นตบหลังมือของหลี่ซื่อเบาๆ
“ท่านแม่ ท่านกับท่านอาหงยู่ตัดเสื้อผ้ากันไป เื่ข้างนอก ข้าจัดการเองเ้าค่ะ”
นางหันไปยิ้มปลอบใจหลี่ซื่อ
สีหน้าของหลี่ซื่อซีดขาวเล็กน้อยแต่ก็ฝืนยิ้มออกมา
ตำแหน่งที่พวกนางอยู่ตอนนี้เป็ห้องที่อยู่ด้านข้างห้องโถงทางหลังบ้าน เป็ห้องที่เมื่อก่อนเจินจูตั้งใจเก็บไว้ให้ชายชรากับหญิงชราสกุลหู
ตัดผ้าทำการเย็บปักถักร้อยจำเป็ต้องใช้สถานที่ค่อนข้างกว้าง หลี่ซื่อจึงนำสิ่งของมาวางไว้ห้องนี้เป็พิเศษ เวลาที่หวังซื่อหรือจ้าวหงยู่มาจะได้มีพื้นที่เคลื่อนไหวมากหน่อย
พานเสวี่ยหลันพาโหยวอวี่เวยและคนรับใช้จำนวนสองคนเข้ามาภายในห้องโถง
เจินจูมองโหยวอวี่เวยที่บึนปากใบหน้าไม่ร่าเริงอย่างพูดไม่ออกเล็กน้อย
เด็กสาวผู้นี้ราวกับมักท่าทางโกรธเคืองอยู่ตลอด ใบหน้าค่อนข้างงดงามมาก ล้วนจะกลายเป็ใบหน้าซาลาเปาอยู่แล้ว
“คุณหนูโหยว!” เจินจูโน้มกายผงกศีรษะเล็กน้อย
นางพอรู้มารยาทของที่นี่อยู่บ้างเล็กน้อย จึงทำออกไปตามตรงอย่างไม่ได้ใส่ใจ
สาวใช้และหญิงชราข้างหลังโหยวอวี่เวยต่างขมวดคิ้วขึ้น เด็กสาวชนบทช่างไม่รู้จักมารยาทเสียจริงเลย
แต่โหยวอวี่เวยกลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย นางมองซ้ายแลขวา ไม่เห็นเงากายที่คุ้นเคย อดใบหน้าอึมครึมไม่ได้
“น้องสาวสกุลหู วันนี้พี่ห้าได้มาหรือไม่?”
จุ๊ๆ เจินจูจุ๊ปากอยู่ในใจ เด็กสาวยุคโบราณช่างโตก่อนวัยจริงๆ อายุสิบสามสิบสี่ปีก็เริ่มวิ่งตามเด็กชายแล้ว
“ไม่เลย หมู่บ้านพื้นที่เล็กแห่งนี้ของพวกข้าไม่มีอะไรน่าสนุก คุณชายกู้จะมาทำอะไรที่นี่” นางยิ้มอย่างสุขุม เผยเื่กู้ฉีไปตามตรง
โหยวอวี่เวยเบะปากขึ้นอย่างเดือนดาล “เขาออกไปข้างนอกแต่เช้าตรู่ ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว? น้องสาวสกุลหู ครั้งก่อนพี่ห้าไม่ใช่ว่ามาเล่นบ้านเ้าหรือ?”
“ครั้งก่อนเป็การเดินทางผ่านมาเอาผักพวกแตงและถั่วไป ไม่ใช่การมาเที่ยวเล่น คุณหนูโหยวสามารถเดินดูโดยรอบได้ ที่จริงหมู่บ้านวั้งหลินไม่มีที่น่าสนุกอะไร เป็แค่หมู่บ้านในเขตูเาเล็กมากแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง” เจินจูแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อไป
โหยวอวี่เวยพนักหน้าเห็นด้วยอย่างมาก “นั่นก็ใช่ ที่นี่นอกจากูเาแล้วล้วนเป็ต้นไม้ ดอกไม้ก็มีไม่กี่ดอก ไม่มีอะไรน่าสนุกจริงๆ”
“…”
เจินจูเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก็ไม่สนุกน่ะสิ รีบกลับไปหาพี่ห้าเ้าเถอะ
“พี่ห้าไม่อยู่ ข้าอยู่เล่นบ้านเ้าสักเดี๋ยวแล้วกัน” โหยวอวี่เวยอารมณ์ไม่ดีอยู่บ้าง นางรู้ กู้ฉีน่าจะหลบเลี่ยงนางจึงออกไปข้างนอก
นาง... เป็ที่น่ารำคาญเพียงนี้เลยหรือ?
โหยวอวี่เวยเศร้าซึมอย่างมาก ทำอย่างไรถึงจะทำให้พี่ห้าไม่หลบเลี่ยงนางได้กันนะ?
วันก่อนลูกผู้พี่บอกกับนางว่าทิศตะวันตกของอำเภอไท่ผิงมีวัดผู่หลงอยู่ วิหารยิ่งใหญ่ทิวทัศน์สวยงาม ให้นางชวนพี่ห้าไปเที่ยวด้วยกัน นางรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว สองคนจึงไปฝูอันถังพร้อมกัน พี่ห้าลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรับปากว่าจะไปเป็เพื่อนพวกนางสักรอบ
ผลสุดท้าย เวลาสองวันหลังจากนั้น นางก็หาพี่ห้าไม่เจอแล้ว ไปฝูอันถังก็มีเพียงกู้จงที่คอยต้อนรับนาง ยกน้ำชามารับรองและพูดคุยเป็เพื่อนนาง แล้วค่อยมาส่งนางออกจากร้านด้วยความเคารพนบนอบ
ความหดหู่เต็มไปทั่วใบหน้าเด็กสาว ทำให้เจินจูเกิดความสงสารอยู่บ้าง ความสุขใจที่รู้สึกชอบใครสักคนและไม่เป็ไปดังหวัง ความเ็ปนี้ยากเกินกว่าจะอธิบายได้นัก
พานเสวี่ยหลันยังคงยกชาจิ่งหลงเข้ามาแบบเดิม นี่เป็ใบชาที่ดีที่สุดของสกุลหูแล้ว
โหยวอวี่เวยก็ไม่ได้รังเกียจ ยกถ้วยเครื่องเคลือบลายครามธรรมดาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก “เมื่อครู่ตอนเข้าหมู่บ้านมา เห็นข้างบ้านเ้ากำลังยุ่งอยู่กับงานกัน พวกเขาทำอะไรหรือ?”
เจินจูเห็นนางจ้องตากลมดิก ท่าทางเด็กน้อยแสนอยากรู้อยากเห็น อดยิ้มแล้วกล่าวขึ้นไม่ได้ “กำลังสร้างลานที่พักอยู่ ที่บ้านคนมากจึงเตรียมปลูกขึ้นสองสามห้อง แล้วค่อยเพาะดอกไม้สักนิดปลูกต้นไม้สักหน่อย”
“อ๋อ เ้าอยากเพาะดอกไม้อะไรหรือ? ดอกโบตั๋น ดอกเสาเย่า [1] ดอกกล้วยไม้หรือดอกต้นชา [2]?” โหยวอวี่เวยเกิดความสนใจขึ้น ในลานบ้านของนางก็เพาะดอกไม้มีชื่อเสียงหลากหลายชนิด พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเป็่เวลาที่ดอกไม้นานาชนิดต่างแข่งกันผลิบาน ทัศนียภาพดอกไม้งามบานสะพรั่งไปหมด ทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลอย่างยิ่ง
เจินจูยิ้มหวานขึ้น “ยังไม่รู้เลย ต้องรอให้ลานที่พักสร้างเสร็จแล้ว ค่อยทยอยหาต้นอ่อนมาเพาะ”
“ปลูกพวกดอกเหมยสิ พี่ห้าชอบดอกเหมยในหน้าหนาว” โหยวอวี่เวยโพล่งออกมาฉับพลันโดยไม่คิด ทันทีหลังจากนั้นก็รู้สึกตัวว่ากล่าวอะไรออกไปอย่างขัดเคือง นี่ไม่ใช่ว่าจะพาให้พี่ห้ามาที่บ้านสกุลหูอีกหรือ?
ดอกเหมยในหน้าหนาว? ช่างสันโดษและเงียบเหงานัก มีสภาพของปัญญาชนที่เข้มข้นเสียจริง
แต่กูฉีร่างกายไม่แข็งแรงนั่น สามารถไปชมดอกเหมย่เวลาที่หนาวที่สุดของเดือนสิบสองได้ด้วยหรือ? เกรงว่าไปหนึ่งรอบคงแลกมาด้วยชีวิตน้อยๆ ของเขาเลยกระมัง
“ดอกเหมยน่ะหรือ สูงส่งและสันโดษ ไม่ค่อยเหมาะกับหมู่บ้านของพวกข้าหรอก หากให้ข้าเลือก ข้าชอบปลูกดอกท้อมากกว่า ฤดูใบไม้ผลิดอกบาน ฤดูใบไม้ร่วงออกผลสุกงอม ดอกท้อบานสะพรั่งผลท้อหวานฉ่ำ ทั้งชื่นชมได้ทั้งทานได้ ปลูกหนึ่งผืนทั่วทั้งหมู่บ้านก็มีผลท้อทานได้แล้ว” เจินจูกล่าวออกมาจนตัวเองล้วนรู้สึกลังเลใจขึ้น อืม... แบ่งพื้นที่ออกมาหนึ่งแปลง ปลูกป่าท้อหนึ่งผืนก็ไม่เลว
“ต้นเถาเยาว์เยาว์ ดอกเถาลกเพา [3]” โหยวอวี่เวยพยักหน้าเห็นด้วย “ดอกท้อก็น่าชมเช่นกัน”
เมื่อเห็นเจินจูเลี่ยงการแนะนำดอกเหมยของนาง สายตาโหยวอวี่เวยที่มองนางจึงนุ่มนวลขึ้นมาเล็กน้อย
“กุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยกับต้นหวายม่วงบนกำแพงบ้านเ้าบานได้สวยงามนักเชียว สีสันสดใสเกสรดอกไม้งดงาม มองอยู่ไกลๆ ล้วนชมความงามได้สุขใจนัก” รถม้าเดินเข้ามาบนถนนอิฐสีฟ้า นางเลิกม่านออกมองไป สีนวลชมพูและสีม่วงอ่อนเต็มทั่วกำแพงสวยงามเป็พิเศษ
เจินจูยิ้มบางๆ ทิวทัศน์ที่งดงามมักดึงดูดสายตาของทุกคนได้เสมอ
สองคนพูดคุยกันเื่ชนิดของต้นกล้าดอกไม้อยู่พักหนึ่ง
จู่ๆ นอกห้องโถงก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบแว่วเข้ามา
“เจินจู ท่านแม่ของเ้าเป็ลมไปแล้ว ท่านอาหงยู่ให้เ้ารีบไป” พานเสวี่ยหลันวิ่งเข้ามาอย่างเหงื่อไหลทั่วทั้งศีรษะ
เจินจูใบหน้าถอดสี หยัดกายยืนขึ้นทันที หมู่นี้ร่างกายของหลี่ซื่อดีมาโดยตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงเป็ลมไปได้
“พี่สาวเสวี่ยหลัน ท่านไปหาหัวหน้างานหลิ่ว ให้เขาไปเชิญท่านหมอหลินในหมู่บ้านมาที ด่วนที่สุด!”
เจินจูฝืนควบคุมจิตใจให้สงบลง แล้วบอกให้พานเสวี่ยหลันไปหาหลิ่วฉางผิง
พานเสวี่ยหลันรีบรับคำ เร่งฝีเท้าออกไปนอกประตูลานบ้าน
“คุณหนูโหยว ท่านแม่ร่างกายไม่ค่อยดี ข้าขอไม่อยู่เป็เพื่อนแล้ว” เจินจูหันไปค้อมกายทางโหยวอวี่เวยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ข้าไปดูด้วยกันกับเ้าแล้วกัน” โหยวอวี่เวยหยัดกายยืนขึ้น
ตามมารยาทแล้ว นางควรจะไปทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับผู้าุโก่อน แต่นางถูกปล่อยตามอำเภอใจเสียจนเหลิงมาโดยตลอด ระเบียบมารยาทมักต้องให้สาวใช้และเมอเมอคอยตักเตือน
ส่วนจื่อผิงกับเมอเมอหวังล้วนไม่เห็นสกุลหูอยู่ในสายตา รู้สึกว่าแค่พื้นที่ชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่ง คุณหนูของพวกนางให้เกียรติมาเป็แขกได้ก็น่าจะทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจมากแล้ว จึงจะอยากให้คุณหนูของพวกตนไปทักทายไถ่ถามความเป็อยู่ของฟู่เหรินชนบทคนหนึ่งได้ที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น ฟู่เหรินผู้นี้เมื่อก่อนยังเคยเป็สาวรับใช้ระดับสองที่ไม่อยู่ในสายตาผู้หนึ่งของจวนสกุลเฉินอีก เมอเมอหวังกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงเรียบๆ ธรรมดาแวบหนึ่งอย่างไม่ให้ผิดสังเกต
“ไม่เป็ไรหรอก คุณหนูโหยว ท่านแม่ข้าร่างกายไม่ค่อยดี รอให้ท่านหมอมาจับชีพจรก่อน ที่บ้านค่อนข้างคับแคบพวกท่านอยู่ที่นี่พักผ่อนสักครู่เถอะ” เจินจูส่ายหน้าปฏิเสธ การที่หลี่ซื่อเป็ลมไป มากน้อยอย่างไรคงเกี่ยวข้องกับการมาถึงของพวกนาง ไม่ควรให้เมอเมอหวังผู้นี้ออกมาปรากฏต่อหน้าท่านแม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจนางเลย
“คุณหนูโหยว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน พวกท่านตามสบายเลย” เจินจูโค้งกายเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องโถงไป
เห็นว่าเงากายของนางเลี้ยวหายไปตรงมุมโค้งแล้ว จื่อผิงบ่นด้วยความไม่พอใจ “คุณหนู ครอบครัวพวกนางไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว มีที่ไหนทิ้งแขกไว้แล้วตนเองก็หนีไป ช่างเป็ยัยเด็กบ้านนอกนัก ไม่รู้จักมารยาทจริงๆ”
“จื่อผิง! หุบปาก” โหยวอวี่เวยถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง ท่านแม่คนเขาเป็ลมไป ยังอยู่พูดคุยสนุกสนานเป็เพื่อนแขกได้ เช่นนั้นก็แปลกแล้ว ทำไมนางถึงได้พาสาวใช้ไม่มีสมองเพียงนี้ออกจากเมืองหลวงมาด้วยกันได้นะ หากรู้เร็วกว่านี้พาจื่อยู่ตามมาด้วยดีกว่า
ล้วนโทษสาวใช้น่าตายผู้นี้ ก่อนออกมาจากเมืองหลวงประจบสอพลอนางไม่หยุดปาก นางอุปนิสัยไม่ยั้งคิดพลั้งรับปากไปว่าจะพานางออกจากเมืองหลวงมาด้วยโดยไม่ตั้งใจ ที่จริงพอนางกล่าวออกไปแล้วก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก
จื่อยู่ดีกว่าตั้งเท่าไร พูดจานุ่มนวลมีระเบียบรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เรียนรู้มารยาทได้เหมือนคุณหนูของจวนท่านโหวเสียยิ่งกว่านางนัก จื่อผิงแย่กว่านางมาก นอกจากอ้าปากพูดจาให้คนชื่นชอบแล้ว อะไรอย่างอื่นล้วนเทียบจื่อยู่ไม่ได้เลย
นางล้วนคิดถึงใบหน้าเล็กของจื่อยู่ที่คำพูดและการกระทำอยู่ในกรอบขึ้นมาหน่อยแล้ว
“คุณหนู คุณชายห้าสกุลกู้ไม่อยู่ที่นี่ แล้วสกุลหูก็ยังมีธุระเร่งด่วนอีก พวกเราอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่เช่นนั้นกลับจวนนายท่านรองก่อนเถอะเ้าค่ะ” เมอเมอหวังเดินมาข้างหน้ากล่าวโน้มน้าวเบาๆ
“อืม รออีกสักเดี๋ยว” โหยวอวี่เวยสองมือเท้าคาง “รอให้ท่านหมอมาก่อน แล้วดูว่าเป็อะไร”
เมอเมอหวังขมวดคิ้ว กำลังจะอ้าปากโน้มน้าวอีกที
นอกประตูลานบ้าน แว่วเสียงอื้ออึงเข้ามา
“ท่านหมอหลิน ท่านเร็วหน่อยขอรับ”
หลิ่วฉางผิงจูงท่านหมอหลินพุ่งพรวดพราดเข้ามาในบ้านสกุลหู
“โอ๊ย ฉางผิง ช้าหน่อย… คนชราอย่างข้าอายุมากแล้ว ทนการฉุดรั้งเช่นนี้ของเ้าไม่ไหว” ท่านหมอหลินกลับไม่เร่งรีบแต่ไม่ช้า ไม่กี่วันมานี้เขาเคยเห็นหลี่ซื่อ เห็นแววตานางมีกำลังวังชาดี สีหน้าแดงชุ่มชื่น สภาพร่างกายดีมากนัก ไม่เหมือนมีท่าทีให้ป่วยกะทันหันได้เลย
เมื่อเขาเห็นหลี่ซื่อที่นอนอยู่บนเตียง การคาดคะเนในใจก็มั่นใจไปแล้วสองสามส่วน
ท่ามกลางสายตากระสับกระส่ายของทุกคน เขาจับชีพจรให้นางอย่างเชื่องช้า
“หรงเหนียง!” หูฉางกุ้ยพุ่งเข้ามาจากนอกห้อง สีหน้าขาวซีดศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ชัดว่าพอได้ยินข่าวก็รีบวิ่งกลับมาเลย
“ท่านพ่อ” เจินจูดึงหูฉางกุ้ยที่พุ่งไปข้างหน้าไว้ทันที “ท่านหมอหลินกำลังจับชีพจรอยู่ ท่านรอสักครู่นะเ้าคะ”
หูฉางกุ้ยถึงได้เห็นท่านหมอหลินจับชีพจรให้หลี่ซื่ออยู่ขอบเตียง เขาปิดปากหายใจเข้าลึกๆ ทันที มองคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเป็กังวล
ผ่านไปสักพัก ท่านหมอหลินถึงได้ปล่อยมือที่จับชีพจรออก เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มกับหูฉางกุ้ย “ฉางกุ้ยเอ๋ย ยินดีด้วย เ้าจะเป็พ่อคนอีกแล้ว”
คำพูดหนึ่งประโยคทำเอาทุกคนตะลึงงัน
หูฉางกุ้ยอ้าปากค้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อ ไม่กี่ปีก่อนหลี่ซื่อเคยแท้งลูก ตอนนั้นก็เป็ท่านหมอหลินที่ตรวจชีพจรให้ บอกว่าเป็เพราะเืลมบกพร่อง [4] ทำงานหนักเกินไปผนวกกับบำรุงร่างกายไม่เพียงพอ ต่อไปจะตั้งครรภ์ขึ้นมาอีกก็ยากแล้ว
ความคิดที่จะเลี้ยงบุตรเพิ่มอีกคนหนึ่งของพวกเขาได้เลิกหวังไปนานแล้วเช่นกัน
่ก่อนหน้านี้ที่ผิงซั่นกำเนิดออกมา หลี่ซื่อก็แอบอิจฉาอยู่ข้างใน ครั้นกลางดึกไร้ผู้คนยังแอบร้องไห้อยู่สองสามหน หูฉางกุ้ยทำได้เพียงปลอบใจอย่างไร้เสียง
คิดไม่ถึงเลย ความแปลกใจระคนดีใจเหนือความคาดหมายจะมาได้กะทันหันเช่นนี้
หูฉางกุ้ยฉีกยิ้มขึ้นทันที
นางจะมีน้องชายหรือน้องสาวแล้ว? เจินจูมองหลี่ซื่อที่นอนเงียบเชียบอยู่บนเตียง ก็ใช่มารดาเพิ่งสามสิบต้นๆ จะตั้งครรภ์คลอดอีกหนึ่งชีวิตใหม่ออกมาก็เป็เื่ปกติอย่างมาก
“ฉางกุ้ย เ้าหมอนี่ใช้ได้เลยนี่ จะเป็พ่อคนอีกแล้ว เื่มงคลอย่างยิ่งเลยเชียว” หลิ่วฉางผิงหัวเราะแล้วตบแผ่นหลังของหูฉางกุ้ย
“พี่หูรอง ยินดีด้วยยิ่งนัก!” จ้าวหงยู่ก็ยิ้มแล้วแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน
หูฉางกุ้ยเอาแต่ฉีกยิ้มซื่อๆ อยู่ตลอด
ท่านหมอหลินกำชับ ่นี้หลี่ซื่อคิดมากเกินไป ง่ายต่อการส่งผลเสียที่ม้าม [5] ให้พวกเขาพูดโน้มน้าวมากหน่อย รักษาท่าทีที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ไว้
เจินจูมาส่งท่านหมอหลินถึงหน้าประตูลานบ้าน ท่านหมอไม่รับค่าตรวจของครอบครัวพวกเขา
เจินจูจึงเอาเนื้อแพะพะโล้หนึ่งถ้วยใหญ่จากห้องครัวใส่ในตะกร้า ให้เขาเอากลับไปเพิ่มปริมาณบนโต๊ะอาหาร
ท่านหมอหลินยินดีจนต้องพยักหน้าออกมา กล่าวหยอกเย้าว่ารอให้เด็กครบเดือนต้องเลี้ยงอาหารด้วย กับข้าวของสกุลหูเชิญชวนให้คนอยากลิ้มลองยิ่งนัก
เจินจูหัวเราะแล้วรับปาก
จ้าวหงยู่ถือโอกาสเสนอตัวกลับไปบ้านเก่าสกุลหูช่วยพวกเขาแจ้งข่าวดีเอง เจินจูยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ
หลี่ซื่อยังไม่ได้สติ หูฉางกุ้ยดูแลอยู่ในห้อง
เจินจูกำลังคิดจะกลับห้องครัวไปเคี่ยวโจ๊กข้าวขาวให้มารดาของนางเสียหน่อย พอผ่านห้องโถงถึงได้พบว่า เ้านายและคนรับใช้สามคนสกุลโหยวยังอาศัยอยู่ในนั้น
“…”
เชิงอรรถ
[1] ดอกเสาเย่า (芍药) คือ สมุนไพรชนิดหนึ่งออกดอก่เดือนพฤษภาคม ดอกของพืชชนิดนี้มีขนาดใหญ่และสวยงาม สีดอกมีทั้งม่วงอมแดง ขาวอมแดง และสีขาว ส่วนรากใช้เป็ยาสมุนไพร ช่วยเื่บรรเทาอาการปวด ทำให้เืลมเดินสะดวก
[2] ดอกต้นชา (茶花) หรือดอกแต้ฮั้งฮวย หรือดอกคาร์มีเลีย
[3] ต้นเถาเยาว์เยาว์ ดอกเถาลกเพา ในนิยายหมายถึง ดอกท้อเบ่งบานเป็พุ่ม สว่างไสวงดงามตา เป็หนึ่งในกลอนโบราณจีนผลงานชื่อ “周南·桃夭 (โจวหนาน·เถาเยาว์)” มีสามบท บทละสี่บรรทัด คือ 1. ต้นเถาเยาว์เยาว์ ดอกเถาลกเพา สาวเข้าอาวาห์ ศรีสง่าเรือนเหย้า 2. ต้นเถาเยาว์เยาว์ ผลเถาดาดาษ สาวเข้าอาวาห์ ศรีสง่านิวาสน์ 3. ต้นเถาเยาว์เยาว์ ใบเถาหนั่นหนา สาวเข้าอาวาห์ ศรีสง่าคามณิกา (1. 桃之夭夭,灼灼其华。之子于归,宜其室家。2. 桃之夭夭,有蕡其实。之子于归,宜其家室。3. 桃之夭夭,其叶蓁蓁。之子于归,宜其家人。) นำคำแปลภาษาไทยมาจาก Facebook: กิตติพิรุณ (แปลโดย: อาจารย์ยง อิงคเวทย์ เชื่อกันว่ากลอนบทนี้ เป็การอวยพรการแต่งงานของหญิงสาว ความหมายของกลอนคือ 1. ดอกท้อผลิบานนับสิบล้านดอก สีสันสวยสดงดงามแดงดุจเปลวเพลิง สาวน้อยผู้นี้ต้องออกเหย้าเรือน ผนึกรวมสู่ครอบครัวสามีอย่างสุขสมดุจมหาสมุทร 2. ดอกท้อผลิบานนับสิบล้านดอก ผลิผลทั้งใหญ่และหวานเป็ยวงเหลือคณนา สาวน้อยผู้นี้ต้องออกเหย้าเรือน ให้กำเนิดบุตรอันล้ำค่าโดยไวลูกหลานฟูเฟื่อง 3. ดอกท้อผลิบานนับสิบล้านดอก ใบเขียวเบ่งบานไหวพลิ้วลู่ตามลม สาวน้อยผู้นี้ต้องออกเหย้าเรือน ครอบครัวสามีสุขสันต์แล้วยังอยู่เย็นเป็สุข ความหมายโดยรวมของกลอนคือ หญิงสาวจะแต่งงานออกเรือนและถูกอวยพรว่าจะได้แต่งงานออกเรือนแล้ว กำลังจะกลายเป็ครอบครัวที่มีความรักใคร่ปรองดองกันดี ชายหญิงที่แต่งงานกันก็จะกลายมาเป็ครอบครัวให้กันและกัน และสุดท้ายบ่งบอกว่าการที่หญิงสาวผู้นี้แต่งงานออกไป นับเป็จุดเริ่มต้นของการสร้างครอบครัว
[4] เืลมบกพร่อง คือ กลไกการเปลี่ยนแปลงของโรคที่เกิดจากเืและลมบกพร่อง ทำให้หน้าที่ในการสร้างเืผิดปกติ
[5] ในตำราเรียนของแพทย์แผนจีนได้ระบุไว้ว่า ความเครียดได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออวัยวะม้าม มีผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้