เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องหนังสือแล้ว อ๋องเหยียนก็เอ่ยขึ้น
“่นี้... ข้ามีชื่อเสียงเป็ที่เลื่องลือในหมู่ขุนนาง และชาวบ้าน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจึงเริ่มระแวงข้าไม่น้อย อีกทั้ง... ท่านพ่อตาก็เพิ่งนำชัยกลับมาจากชายแดน ซึ่งยิ่งทำให้พระองค์ทรงหวาดหวั่นว่าข้าจะมีอำนาจเกินควบคุม”
หลินหงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือเงียบงัน สีหน้าเคร่งเครียดขณะใคร่ครวญคำพูดนั้น
อ๋องเหยียนเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวชัดถ้อยชัดคำ
“ดังนั้น ข้าจึงเห็นว่า... เมืองหลวงแห่งนี้ สมควรมีผู้ปกครองคนใหม่เสียที”
“...!”
ดวงตาของหลินหงเบิกโพลง ท่าทีเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
“ท่าน... ท่านคิดจะก่อฏหรือ?!”
อ๋องเหยียนถอนหายใจเบา ๆ พลางหลุบตาลงราวกับแบกรับความหนักอึ้งของโชคชะตาไว้เต็มอก
“หากข้ามีทางเลือกอื่น ข้าคงไม่คิดเดินบนเส้นทางสายนี้”
หลินหงเหลือบตามองไปยังบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ข้างอ๋องเหยียน ใบหน้าคมสันของจ้าวหยางหลงยังคงเรียบนิ่งดุจน้ำแข็งไม่เปลี่ยนแปลง
“อย่าบอกนะว่า... ท่านเป็ผู้ชี้นำให้ท่านอ๋องคิดการใหญ่เช่นนี้?”
จ้าวหยางหลงมิได้มีท่าทีสะทกสะท้าน เพียงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ดวงตาทอดมองอีกฝ่ายโดยปราศจากคลื่นอารมณ์ใด ๆ
“สิ่งที่ควรกล่าวเตือน ข้าก็เตือนไปแล้ว สิ่งที่ควรแนะนำ ข้าก็มิได้ปิดบัง ทุกถ้อยคำ… มีแต่เจตนาเปิดมุมมองหนึ่งให้ท่านอ๋องได้ไตร่ตรอง ส่วนการตัดสินใจนั้น... ล้วนเป็ของท่านอ๋องเอง”
คำพูดนั้นแม้ฟังดูไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้โดยสิ้นเชิง
หลินหงรู้สึกได้ถึงกระแสอึดอัดที่ตีวนในอก เขานิ่งงันไปชั่วครู่ สายตาหรี่ลงด้วยความวิตกกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้นทุกขณะ
แม้จะไม่มีถ้อยคำใดยืนยัน แต่การนิ่งเงียบของจ้าวหยางหลง กลับกดดันมากกว่าการยอมรับเสียอีก...
“แต่คิดการใหญ่ถึงเพียงนี้…” หลินหงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งเครียด “หากพลาดพลั้ง มิใช่เพียงบ้านเมืองจะวุ่นวาย หากแต่ภัยใหญ่จะตกแก่ตระกูลของพวกเราโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านอ๋องแน่ใจหรือว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง?”
อ๋องเหยียนหันกลับมาสบตาอีกฝ่าย สีหน้าสงบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“ท่านพ่อตา...โปรดวางใจเถิด การนี้ ข้าไม่มีวันแพ้” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนกล่าวเนิบช้า
“ยิ่งกว่านั้น... ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ใกล้ถึงกาลอวสานเต็มทีแล้ว”
ถ้อยคำนั้นดังประหนึ่งสายฟ้าฟาดกลางใจ หลินหงถึงกับเบิกตากว้าง สะท้านในอกโดยไม่อาจปิดบัง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เขาเอ่ยถามอย่างตะลึง ร่างแข็งค้างอยู่กับที่
อ๋องเหยียนยกมุมปากเล็กน้อย สีหน้ายามนี้เฉียบขาด และเย็นเยียบ
“อีกไม่นาน... ท่านพ่อตาก็จะทราบเอง” เสียงของเขานุ่มนวลแต่แฝงความน่าหวาดหวั่น ก่อนจะผละสายตาไป เหยียดยิ้มราวกับทุกสิ่งอยู่ในกำมือ
ค่ำคืนนั้น... แม้แสงจันทร์จะสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาเบาบาง หากแต่ในใจของหลินหงกลับมืดมนราวกับอยู่ในม่านหมอกหนาทึบ
เขานอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่เปลือกตากลับไม่ยอมปิดลงแม้แต่วินาทีเดียว
หากแผนของอ๋องเหยียนล้มเหลว มิใช่เพียงชีวิตของเขา หากแต่ทั้งสกุลหลินคงต้องจบสิ้นไปด้วย... ทว่าหากสำเร็จ ตระกูลหลินจะรุ่งเรืองจนนับเป็หนึ่งในใต้หล้า เป็รองก็เพียงราชสกุลเท่านั้น แต่เดิมพันครั้งนี้... สูงเสียจนเขาไม่อาจกลืนคำตัดสินใจลงคอ
เสียงหวานแ่ดังขึ้นข้างกาย
“ท่านพี่... ท่านยังไม่นอนอีกหรือเ้าคะ? วันนี้สีหน้าท่านดูเคร่งเครียดนักภายหลังจากการพูดคุยกับท่านอ๋อง และจ้าวโหว”
จินเยว่หันกายมาหาสามีในความมืด แสงเทียนจากโคมลอยสะท้อนรอยกังวลบนใบหน้าของชายผู้เป็เสาหลักของตระกูล
หลินหงถอนหายใจแ่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ข้าไม่รู้เลย... ว่าสกุลหลินของเราจะถึงคราล่มสลายหรือไม่ หากมันเป็เช่นนั้นจริง ข้าเห็นแต่เพียงอวี่เอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น... ที่อาจพ้นเคราะห์ได้”
จินเยว่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ท่านหมายความว่าเช่นไรเ้าคะ?”
เขาเงียบไปชั่วครู่ ราวกับลังเลใจว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่
แล้วในที่สุด... ก็กล่าวอย่างแ่เบา แต่หนักหนาดุจอสนีบาต
“อ๋องเหยียน... คิดจะก่อฏ”
จินเยว่ถึงกับอุทานเสียงเบา “อะไรกันเ้าคะ!”
“พรุ่งนี้เ้าไปจัดการเื่แต่งงานของอวี่เอ๋อร์” หลินหงเอ่ยต่อโดยไม่รอให้นางซักถาม
“ส่งนางไปแต่งกับสกุลหลี่เสียเถอะ ตระกูลนั้นร่ำรวยเป็อันดับต้น ๆ ในเฉวียนโจว ไม่ข้องเกี่ยวกับราชสำนัก และเมืองหลวง ข้าจึงมั่นใจว่า... อวี่เอ๋อร์จะปลอดภัยภายใต้ชายคาสกุลหลี่ อีกทั้งจนถึงบัดนี้... ก็มีเพียงตระกูลนั้นเท่านั้นที่ส่งสารสู่ขอมาอย่างต่อเนื่อง”
เขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงแ่
“แม้เราจะปฏิเสธไปหลายครั้ง แต่สกุลหลี่ก็ไม่เคยย่อท้อ ทั้งยังกล้าส่งของหมั้นมาถึงเรือนอยู่เสมอ ดูก็รู้ว่าคุณชายหลี่ผู้นั้น... คงมีใจต่อบุตรสาวของเราอย่างแท้จริง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้