“แม่นมซู...…” ท่าทางซ่งอี้เฉินดูเป็กังวลมาก หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ น้ำตาเอ่อคลอ “แม่นมซูเหตุใดถึงเข้าใจเจิ้นผิดเช่นนี้ เสด็จแม่คอยดูแลเอาใจใส่มาตลอด เจิ้นจดจำอยู่ในใจเสมอมาไม่เคยลืมเลย พฤติกรรมขององค์หญิงใหญ่ในวันนี้ เจิ้นคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ตอนนั้นเจิ้นใมาก ไม่คิดว่าเสด็จแม่จะตรัสคำพูดเ่าั้ ทำให้เจิ้น......ไม่รู้ว่า...... ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี......แม่นมซูต้องช่วยอธิบายให้เจิ้นกับไทเฮาเข้าใจให้ชัดเจนด้วยเถิด......”
เมื่อแม่นมซูเห็นสีหน้าวิตกกังวลของฝ่าา และคิดถึงพฤติกรรมที่เชื่อฟังตามปกติของพระองค์ ภายในใจรู้สึกเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงถอนหายใจและพูดว่า “ฝ่าา บ่าวมิกล้าก้าวล่วงพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันแค่อยากจะเตือนฝ่าาว่า อย่าได้ลืมความผูกพันระหว่างมารดากับบุตร ให้คนอื่นที่มีเจตนาแอบแฝงใช้ประโยชน์ ทำให้คนที่รักเ็ปและทำให้ศัตรูพึงพอใจ”
ซ่งอี้เฉินส่ายหัวทันทีและพูดอย่างหนักแน่น “ไทเฮาคือมารดาผู้ให้กำเนิดของเจิ้น เสด็จแม่ไม่มีทางทำร้ายเจิ้นแน่นอน!”
แม่นมซูพยักหน้าและได้ยินเสียงแหบแห้งของไทเฮาดังมาจากห้องบรรทม “ฮ่องเต้มาหรือ......”
เหมือนไทเฮาจะค่อนข้างพึงพอใจกับคำตอบนี้ ดวงตาเ็าของซ่งอี้เฉินแวบขึ้นมา รีบตอบเสียงดังทันที “เสด็จแม่ เป็ลูกเอง”
“เข้ามาเถิด อายเจียมีเื่จะพูดกับเ้าเหมือนกัน” ไทเฮาพูดแช่มช้า น้ำเสียงที่ชราภาพหรือกลิ่นหอมบางอย่างที่คลุมเครือภายในห้องบรรทม เหมือนจะได้กลิ่นเน่าเปื่อยเลือนราง
ซ่งอี้เฉินรีบตอบรับอย่างมีความสุขทันทีและเดินเข้าไปในห้องบรรทม
เครื่องประดับตกแต่งตำหนักอี้คุนจัดวางอยู่มานานหลายปีแล้ว แม้ว่าจะล้ำค่ามาก ทว่าของมีค่าทุกชิ้นดูเก่าจนผิดปกติมาก และไม่รู้ว่าผ่านมากี่มือแล้ว ซ้ำไม่รู้อีกว่าต้องแปดเปื้อนเืคนมากเพียงใด ไข่มุกราตีถูกผ้าคลุมไว้ เหลือเพียงแค่เงามืด บางครั้งมีลมกระโชกแรงพัดเข้ามาในห้อง ผ้าพลิ้วไหวตามสายลม แสงเงาที่ลอดผ่านเหมือนดวงิญญาล่องลอยอยู่กลางอากาศ เห็นแล้วรู้สึกขนลุกซู่น่ากลัวมาก
ด้านหลังม่านลูกปัดคือพระพักตร์ของไทเฮา หลังจากล้างเครื่องสำอางและถอดเครื่องประดับบนศีรษะออกจนหมด พระนางก็เหมือนหญิงชราธรรมดาคนหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ ดวงตาสีเข้มของนางไม่เผยให้เห็นถึงไอสังหาร ซ่งอี้เฉินครุ่นคิดว่าโชคดีที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเขาเองและโชคดีที่นางกำลังพักผ่อน ไม่ดุดันเหมือนเมื่อก่อน
“เสด็จแม่ เป็อย่างไรบ้าง?” ซ่งอี้เฉินสีหน้าเป็กังวลและนั่งบนขอบเตียงอย่างระมัดระวัง
ไทเฮาถอนหายใจแล้วตรัสว่า “โรคเก่าทั้งนั้น อายเจียชราภาพมากแล้ว”
“เสด็จแม่ยังไม่ชราภาพขนาดนั้น คนอื่นบอกว่าตอนที่เราสองคนยืนด้วยกัน เสด็จแม่เหมือนพี่สาวของเจิ้น” ซ่งอี้เฉินพูดเอาอกเอาใจทันที
ไทเฮาทรงมีพระทัยดีขึ้นเมื่อเขาพูดเอาใจเช่นนี้ พระนางตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่องเต้เก่งเื่เอาอกเอาใจจริงๆ เป็ครั้งแรกที่อายเจียได้ยินเ้าพูดเช่นนี้”
ซ่งอี้เฉินยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เจิ้นเอาอกเอาใจคนอื่นไม่เป็พ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่เจิ้นพูดเป็ความจริง”
แม่นมซูก้าวไปข้างหน้า กำลังจะเข้าไปประคองไทเฮา ซ่งอี้เฉินรั้งนางและพูดว่า “เจิ้นทำเอง” ประคองไทเฮาขึ้นนั่งพิง หยิบถ้วยยาจากนางกำนัลป้อนให้ไทเฮา
ไทเฮาแสดงท่าทางพึงพอใจมีความสุข หลังจากดื่มยาแล้ว พระนางเริ่มพูดคุยเื่สำคัญ “อายเจียเสียใจมากที่ิชิ่งพูดออกมาเช่นนี้ เชื่อว่าขุนนางน้อนใหญ่ทุกคนต้องเกิดความสงสัยแน่นอน อายเจียกังวลเื่นี้มานานมากแล้ว......เช่นนั้นใช้โอกาสนี้ให้ฮ่องเต้ลองทำด้วยตัวเองเถิด”
ซ่งอี้เฉินลุกขึ้นทันทีและตรัสว่า “เสด็จแม่ เจิ้น......เจิ้นยังไม่ดีพอพ่ะย่ะค่ะ......”
ไทเฮาถอนหายใจแล้วตรัสว่า “อายเจียเฝ้าดูพระองค์เติบใหญ่ รู้ว่าพระองค์ทรงมีอุปนิสัยเช่นไร ก็เป็เพราะรู้ดีนี่เอง ยิ่งกังวลว่าเมื่อถึงเวลานั้นพระองค์จัดการไม่ดี จะถูกเหล่าขุนนางลบหลู่เอาได้ ฮ่องเต้อยู่ในราชสำนักมาหลายปีย่อมมองออก ขุนนางที่อยู่ท้องพระโรงไม่ง่ายที่จะรับมือ หากมีจุดผิดพลาดแค่เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกเอาเปรียบได้ ใน่หลายปีที่ผ่านมาอายเจียเหมือนเดินบนน้ำแข็งบางๆ ภายในใจเบื่อหน่ายมาก ทว่าสิ่งที่กลัวก็คือจะมีเหมือนตระกูลอวิ๋นขึ้นมาอีก แสดงผลงานยิ่งใหญ่โดดเด่นจนทำให้เชื้อพระวงศ์รู้สึกถูกคุกคาม ถึงเวลานั้นจะรับมือยากขึ้นไปอีก”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เสด็จแม่ควรช่วยลูก” ซ่งอี้เฉินตอบทันที โดยพบว่าลักษณะท่าทางหน้าซื่อใจคดของนางน่าขบขันมาก
“อายเจียสามารถช่วยพระองค์ได้ตอนนี้ ทว่าไม่สามารถช่วยพระองค์ได้ตลอดชีวิต”
พระนางอยากจะช่วยเขาไปตลอดชีวิตเสียมากกว่า ซ่งอี้เฉินตอบในใจ ทว่าเขาส่ายหัวแล้วตรัสว่า “หากเป็เพราะเสด็จพี่หญิงใหญ่ เจิ้นไม่มีทางฟังคำพูดนั้น เมื่อถึงเวลาเจิ้นจะอธิบายกับเหล่าขุนนาง เื่นี้ก็จะยุติลงได้!”
ไทเฮามองเขาใบหน้ายิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งแล้วตรัสว่า “ฮ่องเต้ไม่้าให้อายเจียพักผ่อนแล้วจริงๆ หรือ?”
หัวใจของซ่งอี้เฉินบีบรัดและตรัสตอบอย่างเสียไม่ได้ “เสด็จแม่ตรัสเช่นนี้ เจิ้นไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร เจิ้นไม่อยากเป็บุตรอกตัญญู ทว่าหากเจิ้นทำอะไรผิดไป ปวงประชาจะต้องเดือดร้อน”
“เป็ไปได้อย่างไร โรคระบาดที่เขตเหอเป่ยในครั้งนี้ฝ่าพระบาททรงจัดการได้ดีมาก” ไทเฮาแย้มยิ้มเล้กน้อย คำพูดนี้ไม่รู้ว่าเป็การหยั่งเชิงหรือคำชมจากใจจริง
“เจิ้นแค่เป็ห่วงความปลอดภัยของพสกนิกร เมื่อมียารักษา จะให้คนส่งไปอย่างเร่งด่วน...…”
“ต่อไปฮ่องเต้ควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะจัดการสิ่งใด ความคิดเห็นของคนอื่นยากหยั่งรู้ได้ ตอนนี้ปวงประชาไม่เป็อันใดถือว่าเป็โชค หากเทียบยามีปัญหา อาจจะเป็อันตรายได้”
ซ่งอี้เฉินพยักหน้าแล้วตรัสว่า “พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะจดจำคำสั่งสอนของเสด็จแม่!”
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อิชิ่งเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาแล้ว เมื่อครู่อายเจียกลับตำหนักครุ่นคิดอย่างรอบคอบ แม้อายเจียจะไม่รู้ความตั้งใจแอบแฝงของนาง ทว่าคำพูดของนางบางคำก็ถูกต้อง อายเจียควรให้พระองค์จัดการด้วยตัวเอง เพื่อที่ต่อไปจะค่อยๆ ถ่ายอำนาจทุกสิ่งให้ฮ่องเต้"
เมื่อซ่งอี้เฉินได้ยินคำพูดนี้และกำลังจะตรัส ไทเฮาทรงสังเกตเห็นจึงยื่นมือออกไปหยุดเขาแล้วตรัสว่า “พระองค์อย่าปฏิเสธเลย ไม่ต้องกังวล อายเจียจะคอยช่วยพระองค์อยู่ด้านข้าง เช่นนั้นเื่นี้ เราก็ตกลงกันตามนี้”
ซ่งอี้เฉินเผยสีหน้ายอมรับอย่างช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงตอบรับคำด้วยท่าทีนอบน้อม
ไทเฮานิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “กรมโยธาและกรมการคลัง ทั้งสองแห่งนี้ พระองค์ควรเรียนรู้ปกครองพวกเขาก่อน เริ่มจากง่ายๆ แล้วค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น”
ซ่งอี้เฉินคุกเข่าคำนับเพื่อปกปิดสายตาเ็าของเขา
เขารู้มานานแล้วว่าไทเฮาไม่ได้ใจดีนัก ไม่ได้มีความคาดหวังในใจ พฤติกรรมของไทเฮาเป็ไปตามที่เขาคาดไว้
กรมโยธาและกรมการคลังอยู่ในมือของเขาอย่างลับๆ มานานแล้ว ทว่าสิ่งที่ไทเฮาไม่ทรงทราบก็คือพระนางคิดว่าองค์หญิงใหญ่เป็คนควบคุมทั้งสองกรมนี้
ไทเฮาทรงมอบทั้งสองกรมที่ไม่ได้เป็ของนางให้กับฮ่องเต้ ไทเฮาไม่รู้จริงๆ หรือว่ามีองค์หญิงใหญ่รออยู่ตรงนั้น หรือพระนางแค่แสร้งทำเป็ไม่รู้?
คิดว่าไทเฮาคง้าใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ประการแรกเพื่อทดสอบความสามารถของเขา และประการที่สอง เพื่อแย่งอำนาจควบคุมทั้งสองกรมกลับมาจากองค์หญิงใหญ่ ด้วยวิธีนี้พระนางไม่ได้สูญเสียสิ่งใดเลย
การมีน้ำใจต่อผู้อื่น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เบื้องหน้าก็ยังต้องเสแสร้งไปตามน้ำ ความตื้นตันใจต่อน้ำพระทัยนี้ต้องมี การหลั่งน้ำตาแสดงความซาบซึ้งใจก็ต้องมีเช่นกัน
ไทเฮาทรงพอพระทัยกับท่าทีของฮ่องเต้มาก เหมือนนางครุ่นคิดสิ่งใดได้บางอย่างจึงถามพระองค์อีกครั้งว่า “งานเลี้ยงวันประสูติยังไม่จบ เหตุใดพระองค์ถึงทิ้งเหล่าขุนนางมาที่นี่?”
ซ่งอี้เฉินตรัสด้วยท่าทีนอบน้อม “ลูกเป็ห่วงเสด็จแม่ พอดีหมอหลวงวินิจฉัยว่าเหลียงเจาอี๋ตั้งครรภ์ ลูกจึงมาบอกข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ” เขาตรัสเหมือนเป็เื่ปกติ ไม่ได้จริงจังกับเื่นี้มากนัก
ไทเฮาตรัสเสียงเบา และไม่มีท่าทีตื่นเต้นนัก “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็กำชับให้หมอหลวงดูแลนางให้ดี หลังจากประสูติองค์ชายแล้ว เลื่อนตำแหน่งให้นางอีกครั้ง เื่ทายาทในวังหลวงเกิดได้ยาก คราวนี้อย่าทำให้อ้ายเจียมีความสุขไปเปล่าๆ ”
ซ่งอี้เฉินพยักหน้าและจับมือไทเฮา “เสด็จแม่วางใจได้ ลูกจะมอบหลานชายให้พระองค์ได้อุ้มโดยเร็วที่สุดแน่นอน”
ไทเฮาแย้มยิ้ม ยกมืออีกข้างขึ้นและตบหลังมือเขา “คนเดียวไม่พอ ดูอย่างเหลียงเจาอี๋ตอนนี้สิ เป็ความที่พระองค์มอบความโปรดปรานให้นางสนมทั่วถึงกันถึงได้หลุดมาสักคน”
ซ่งอี้เฉินรีบตอบรับและตรัสว่า “โรคระบาดที่เขตเหอเป่ยถูกกำจัดแล้ว เช่นนั้นคืนนี้ลูกไปหาเห้อเป่าหลินดีหรือไม่?”
ไทเฮาส่ายศีรษะ “ทางเซียวเป่าหลิน ฮ่องเต้เองก็ยังไม่ได้ไปกระมัง?”
รอให้ซ่งอี้เฉินพยักหน้า ไทเฮาก็พูดอีกครั้ง “เช่นนั้นคืนนี้ไปหาเซียวเป่าหลินเถิด”
ซ่งอี้เฉินประหลาดใจมาก “เพราะเหตุใด?”
ไทเฮากับพระสนมเซียวกุ้ยเฟยไม่เคยติดต่อกันเลยในตอนนั้น ต่อมาตระกูลเซียวไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ไทเฮาหลังจากเซียวกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ ต่อมายังเคยช่วยเหลือมาครั้งหนึ่ง ทว่าสำหรับไทเฮาแล้ว ตระกูลเซียวไม่ใช่สุนัขที่เชื่องนัก ดังนั้นใน่หลายปีที่ผ่านมานางพยายามลดอำนาจของตระกูลเซียว
ทว่าต่อมา ลี่เจาอี๋เข้าไปวังหลวง จากนั้นนางก็มอบตำแหน่งให้กับเซียวเป่าหลินด้วยพระองค์เอง ถึงตอนนี้ พระนาง้าให้เขาไปหาเซียวเป่าหลิน จุดนี้ผิดปกติมาก
ซ่งอี้เฉินครุ่นคิดในใจอยู่หลายครั้ง พบอยู่คำตอบเดียว เป็ไปได้ที่ตระกูลเซียวเสนอเงื่อนไขที่เหมาะสม ส่งผลให้ไทเฮาตัดสินใจร่วมมือกับพวกเขาอีกครั้ง