สวี่จือได้รับแจ้งว่าบิดามารดาและพี่ชายคนโตกลับมาแล้ว
นางตั้งสติมิได้อยู่ครู่หนึ่ง บิดามารดาของนางมิใช่ว่าถูกทำร้ายจนตกตายไปแล้วหรือ? พี่ชายของนางมิใช่ถูกคนพวกนั้นทำร้ายจนขาหักหรอกหรือ? พวกเขากลับมาได้อย่างไร?
สวี่จือในตอนนี้อยากจะเห็นบิดามารดาและพี่ชายมากที่สุด นางอยากเห็นรูปลักษณ์ของท่านพ่อท่านแม่ว่าหน้าตาเป็อย่างไร นางยิ่งอยากจะเห็นว่าขาของพี่ชายยังดีอยู่หรือไม่
เด็กน้อยหลังจากได้รับแจ้งก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทางแปลกๆ มองไปทางประตูเรือนตาปริบๆ ฮูหยินผู้เฒ่าไปปักธูปบูชาเสร็จก็กลับมานั่งรอเช่นกัน พอเห็นท่าทางของแม่นางน้อย ในใจก็พลันบังเกิดความอบอุ่นขึ้นมา
เมื่อคืนสวี่จือพักอยู่ที่ด้านในของห้องกั้นเล็กๆ ในห้องฮูหยินผู้เฒ่า หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแม่นางน้อยหลับไปแล้วถึงได้กลับมานอนที่ห้องของตนเอง ทว่าหลังจากนอนลงไปแล้ว ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนมิหลับ นางครุ่นคิดตลอดคืนว่าต่อไปจะทำอย่างไร ยังต้องพิจารณาแทนแม่นางผู้นี้ด้วย เด็กดีเช่นนี้ จะต้องจัดการอนาคตให้นางอย่างดีที่สุดถึงจะถูก
เพราะตลอดคืนมิค่อยได้นอน ยามเช้าเมื่อรับสำรับเช้า ท้องของฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก สวี่จือสังเกตุเห็นว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยดี จึงเดินไปเติมโจ๊กให้กับฮูหยินผู้เฒ่าหนึ่งถ้วย หลังจากเติมเสร็จแล้วก็มานั่งจ้องตาปริบๆ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากให้เด็กคนนี้เสียน้ำใจ จึงทานอาหารที่หลากหลายพวกนั้นรวมถึงกินโจ๊กจนหมด สวี่จือเห็นฮูหยินผู้เฒ่าทานโจ๊กเข้าไปแล้วก็แย้มยิ้มออกมา ดวงตากลมโตแดงก่ำเพราะว่าร้องไห้มาตลอดสองวัน ตอนนี้ยิ้มออกมาแล้ว ดวงตาจึงโค้งจนกลายเป็พระจันทร์เสี้ยว นั่นทำให้อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นไม่น้อย
ป้าเสิ่นเห็นว่าสวี่จือสามารถโน้มน้าวให้ฮูหยินผู้เฒ่าทานข้าวได้จนหมด ในใจก็รู้สึกดีใจมาก จึงหยิบช้อนขึ้นมาเตรียมจะป้อนข้าวสวี่จือบ้าง แต่เด็กน้อยมิยินยอม นางเริ่มตักข้าวในถ้วยตรงหน้าของตัวเองและทานจนหมดเกลี้ยง นางเคยอดอยากมาก่อน เป็ธรรมดาที่จะให้ความเคารพกับอาหาร ไม่ยอมให้เปลืองข้าวแม้แต่เม็ดเดียว สุดท้ายจึงกินข้าวในถ้วยจนหมดเกลี้ยง
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วในใจพลันรู้สึกทุกข์ คงมีเพียงเด็กที่ไม่มีบิดามารดาคอยอยู่ให้ความรักเท่านั้นถึงจะทำเื่เช่นนี้ได้ดีเยี่ยงนี้ เพราะทำเช่นนี้ถึงจะสามารถได้รับความเอ็นดูจากผู้คนรอบกายได้ ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจแล้ว จากนี้ไปจะต้องหาคนมาดูแลแม่นางน้อยผู้นี้ให้ดี ถึงแม้ตนเองจะจากไปไว ก็จะต้องปูทางในอนาคตไว้ให้เด็กผู้นี้อย่างดีที่สุด
ปรากฏว่าหลังทานข้าวเสร็จไม่นาน พวกเขากลับได้รับข่าวที่ส่งมาจากเรือนหน้า ว่าคุณชายสามและครอบครัวถูกคนของจวนจิ้งเป่ยโหวพามาส่ง ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจเป็อย่างยิ่ง นางกอดสวี่จือไว้แนบอกหลังจากบอกเื่นี้กับนางแล้ว เด็กน้อยเองก็ใเช่นกัน ก่อนที่ต่อมาจะเปลี่ยนเป็ดีใจแทน เป็เพราะบิดามารดากลับมาแล้วหรือไม่ก็สุดจะรู้ แต่ระหว่างนั้นจะต้องเกิดเื่ที่ตัวนางไม่รู้แน่นอน
เื่ที่คุณชายสามกลับมาที่จวนนั้น โหวเย่เพียงแค่ให้คนมาส่งข่าวแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น แต่เื่นี้ก็ยังอยู่ในสายตาของคนมากมายในจวน ทุกคนต่างรับรู้แล้วว่าครอบครัวคุณชายสามกลับมาแล้ว อีกทั้งยังถูกคนของจวนจิ้งเป่ยโหวพามาส่งด้วย บางคนคิดว่าคุณชายสามช่างโชคดีเสียจริง ม้าล้มตายก็แล้ว รถม้าตกแม่น้ำไปก็แล้ว คนกลับมิเป็อันใดเลย บางคนรู้สึกว่าการที่คุณชายสามกลับมาช่างเป็เื่ที่ดีจริงๆ หากได้ไปรับตำแหน่งราชการ ต่อไปในเรือนก็จะมีขุนนางที่มาจากการสอบ เื่ดีเช่นนี้มีไม่มากนัก จวนโหวมากมายในเมืองหลวง มีกี่ครอบครัวกันที่จะเหมือนกับคุณชายสาม ั้แ่เด็กก็สามารถ สอบถงเซิง [1] ได้ หลังจากนั้นก็พากเพียรพยายามที่จะสอบเข้าราชการต่อ อย่างที่รู้กัน ราชวงศ์นี้อยู่มาหลายสิบปีแล้ว คนที่ไม่ใช่ขุนนางจะไม่สามารถใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ได้
สวี่เหรา จางจ้าวฉือและสวี่ตี้ถูกคนพาเข้ามาในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเป็เรือนสามทางเข้า หลังจากเข้ามาแล้ว จะพบห้องโถงสามห้อง มีทางเดินที่เชื่อมกับประตูเรือนและห้องโถง ผ่านโถงไปจะมีฉากกั้นสีขาวกั้นอยู่ เดินผ่านฉากกั้นอีกครู่หนึ่งจะเป็ห้องหลักทั้งห้าของฮูหยินผู้เฒ่า
สวี่จือได้ยินคนด้านนอกแจ้งว่าคุณชายสามมาถึงแล้ว ร่างเล็กๆ ของตนเองก็ปีนลงจากเก้าอี้สูงในทันที ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับแม่นมเสิ่นใขึ้นมาวูบหนึ่ง กลัวว่าแม่นางน้อยจะตกลงมา แต่ทว่าแม่นางน้อยกลับยืนอยู่ที่พื้นได้อย่างมั่นคง พร้อมก้าวเท้าเล็กๆ ไปที่หน้าประตู ประจวบเหมาะกับพวกสวี่เหราที่เดินเข้าประตูมาพอดิบพอดี
สวี่จือมองบุรุษและสตรีแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนเอง ก่อนจะมองพี่ชายที่ตามอยู่ข้างกายของสองบุรุษสตรีคู่นี้ ด้วยใบหน้าครั้งยังเป็เด็กจึงดูแปลกตาอยู่เล็กน้อย ก่อนที่นางจะทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาเม็ดโตไหลทะลักออกมา จางจ้าวฉือทนมองเด็กหญิงร้องไห้ต่อหน้าต่อตาตนเองมิได้ จึงเข้าไปดึงมากอดไว้แนบอก นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางแล้วเช็ดน้ำตาให้ไปด้วย
สวี่จือถูกจางจ้าวฉือกอดเข้าไปในอ้อมอก ร่างกายพลันแข็งทื่อ ที่แท้การถูกมารดาแท้ๆ กอดให้ความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง ไม่แย่เลยจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วขอบตาก็ชื้นน้ำ สวี่เหรารีบท้วงจางจ้าวฉือ “ไปทักทายท่านย่ากันก่อนเถิด”
จางจ้าวฉือเปลี่ยนมาอุ้มสวี่จือเอาไว้ แล้วตามสวี่เหรากับสวี่ตี้เข้าไปหยุดตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าจากนั้นจึงคุกเขาคำนับหน้าผากจรดพื้น ฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่งให้ลุกขึ้นมา นางสำรวจทุกคน เมื่อเห็นว่าครอบครัวนี้มิมีาแใด นางถึงค่อยวางใจ
สวี่เหราเอ่ยขึ้น “หลานผิดไปแล้วขอรับ ที่ทำให้ท่านย่าต้องกังวลใจ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขัด “พวกเ้าสามารถเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าดีแล้ว เสี่ยวจิ่วมาพักที่นี่ได้หนึ่งคืนแล้ว รอพวกเ้ามารับกลับไป ครอบครัวได้มาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาย่อมเป็เื่ที่ดี เอาล่ะๆ มาเยี่ยมข้า ให้ข้าได้เห็นว่าพวกเ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว พวกเ้ารีบกลับไปพักเถิด ให้ความอบอุ่นแก่เสี่ยวจิ่วให้มาก หลายวันมานี้นางร้องไห้จนตาบวมไปหมดแล้ว”
จางจ้าวฉือคำนับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความเคารพ ก่อนจะเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ ข้าขอบคุณท่านมากจริงๆ เ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “เหลนข้าทั้งคน ข้าทำเช่นนี้ย่อมสมควรแล้ว อยู่ที่นี่ก็มิมีสิ่งใดให้ทำอยู่แล้ว พวกเ้ารีบกลับไปเถิด”
สวี่เหราพาภรรยา และบุตรธิดาไปทำความเคารพโหวฮูหยิน จากนั้นจึงกลับไปที่เรือนของตนเอง
ถึงเวลารับสำรับเย็นแล้ว ครานี้โรงครัวใหญ่ส่งอาหารมาฉลองเสียเต็มโต๊ะ สวี่เหรากับจางจ้าวฉือหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว จางจ้าวฉืออุ้มสวี่จือขึ้นมา ทั้งสี่คนนั่งพูดคุยกันอยู่บนตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ข้างหน้าต่างในห้องนอน
สวี่ตี้มองสวี่จือที่กลมและขาวเหมือนก้อนข้าวเหนียวนุ่มๆ หัวใจของเขาก็อ่อนยวบยาบ
สวี่จือเห็นพี่ชายกำลังมองมาที่ตนเอง ก็เม้มปากกลั้นหัวเราะ ก่อนจะร้องเรียกท่านพี่ สวี่ตี้รับคำ ก่อนจะจับมือของสวี่จือไว้ “จือเอ๋อร์ ต่อไปนี้เกอเกอ [2] จะปกป้องเ้าให้ดี มิให้เ้าถูกผู้ใดรังแกได้แน่นอน”
สวี่จือพยักหน้ารับ ก่อนที่สวี่เหราจะเอ่ยขึ้น “ลูกสาวของเรานี่ดีจริงๆ หน้าตาก็น่ารัก นิสัยก็ดี จือเอ๋อร์ พรุ่งนี้พ่อจะออกไปทำธุระข้างนอก ลูกอยากกินสิ่งใด อยากเล่นอันใดบอกพ่อ พ่อจะเอากลับมาให้ลูก ดีหรือไม่?”
สวี่จือตอบกลับไปว่า “ท่านพ่อเ้าคะ จือเอ๋อร์ไม่มีสิ่งใดที่้า ขอแค่ท่านพ่อสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เท่านี้ก็เพียงพอแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อสวี่เหรากับจางจ้าวฉือได้ยินเช่นนี้แล้ว ในใจก็ทั้งเ็ปทั้งเอ็นดู เลี้ยงลูกสาวกับเลี้ยงลูกชายไม่เหมือนกันจริงๆ
สวี่เหรากล่าว “เช่นนั้นพรุ่งนี้ตอนที่พ่อออกเดินทางจะดูตามถนน จะแวะซื้อพวกปิ่นปักผมดอกไม้ให้จือเอ๋อร์ และซื้อพวกขนมกลับมาด้วยดีหรือไม่?”
จางจ้าวฉือกล่าวสำทับ “หากท่านพี่ผ่านร้านขายผ้า ก็ซื้อผ้าสีสวยๆ ติดมือมาด้วยนะเ้าคะ ข้าจะทำชุดให้จือเอ๋อร์สักสองตัว”
สวี่จือคิดมาตลอดว่าเงินในครอบครัวไม่พอใช้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยขัด “ท่านแม่เ้าคะ ไม่ต้องทำเสื้อผ้าตัวใหม่ให้ข้าหรอกเ้าค่ะ ท่านพ่อจะต้องเสียเงินนะเ้าคะ”
จางจ้าวฉือรู้ว่าตอนที่เ้าของร่างเดิมแต่งงาน สินเดิมในเรือนมีอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่กลับมีทั้งสมุนไพรราคาแพงมากมาย ทั้งยังมีตั๋วเงินอยู่อีก นี่ยังไม่รวมถนนทำเลทองเส้นที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง และยังมีร้านค้าอีกหลายแห่ง ร้านพวกนี้หากปล่อยเช่าออกไป แค่ค่าเช่าของทุกปีก็เป็เงินไม่น้อยเลยทีเดียว
สกุลจางล้วนเป็คนที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ในอดีตเคยเป็ตระกูลที่ร่ำรวย ดังนั้นทุกคนต่างคิดว่าสกุลจางเป็เพียงตระกูลแพทย์ที่ตกอับ ความจริงแล้วพวกเขาไม่รู้เลยว่าลูกหลานในครอบครัวนี้ไม่เพียงแค่ขายสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังมีเรือทะเลอีกหลายลำใน
จางจ้าวฉือยิ้มขณะอุ้มสวี่จือเข้ามาในอ้อมกอดของตนเอง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ลูกเป็แม่นางน้อย จะต้องแต่งตัวดี กินดี เล่นดีสิถึงจะถูก เงินในเรือนน่ะพอใช้อยู่แล้ว อีกทั้งั้แ่นี้ไป ท่านพ่อกับแม่ของลูกจะต้องเริ่มทำงานหาเงินเอาไว้ให้มาก เมื่อถึงยามแต่งงาน จือเอ๋อร์ของพวกเราจะได้ออกเรือนไปอย่างงดงามสมเกียรติอย่างไรเล่า”
สวี่จือได้ยินดังนั้นแล้วก็จ้องมารดาของตัวเองนิ่ง จางจ้าวฉืออดใจไม่ไหวก้มหน้าลงไปหอมแก้มสวี่จือฟอดหนึ่ง นั่นกลับทำให้สวี่จือหน้าแดง จางจ้าวฉือหัวเราะลั่น ก่อนจะให้สวี่เหราหยิบกล่องเครื่องประดับจากโต๊ะเครื่องแป้งของตนเองมา หลังจากเปิดออกมาแล้วด้านในเป็เพียงเครื่องประดับเงินที่เห็นได้ทั่วไป จางจ้าวฉือใช้มือลูบมุมทั้งสี่ของกล่อง มิรู้ว่าลูบไปโดนตรงที่ใด ตอนนั้นเองที่ฝาปิดตรงก้นกล่องร่วงลงมา ด้านในมีตั๋วเงินหลายใบวางอยู่ สวี่จือมองตามไป ตั๋วเงินหลายใบล้วนเป็จำนวนเงินเกินพันตำลึง ลองคำนวนดูแล้วคงได้หลายหมื่นตำลึง
จางจ้าวฉือเอาตั๋วเงินมาจัดเรียง ก่อนจะพูดกับสวี่จือที่ตะลึงค้างไปแล้วว่า “ดูสิลูก พวกเรามีเงินนะ ตอนที่แม่แต่งงาน เพราะว่าจะต้องแต่งงานกับพ่อของพวกเ้า ท่านตาและพวกลุงๆ ของลูกจึงได้เตรียมสินเดิมเอาไว้ให้สิบกว่าอย่าง อีกทั้งยังให้ตั๋วเงินพวกนี้เอาไว้ให้แม่ติดตัวด้วย แล้วก็ร้านในเมืองหลวงอีกหลายร้าน จือเอ๋อร์เอ๋ย ครอบครัวของพวกเรามิได้ขาดแคลนเงินหรอก หากเ้าอยากได้อยากซื้อสิ่งใดก็บอกกับแม่ แม่สามารถซื้อให้เ้าได้ทั้งหมด”
สวี่จือฟังถึงตรงนี้ ในหัวสมองพลันวุ่นวายไปหมด เดิมทีท่านแม่ของตนมีเงินมากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ เหตุใดนางถึงไม่เคยรู้เลย ในจวนนี้ยังมีคนอื่นที่รู้ว่าท่านแม่ของนางมีเงินมากขนาดนี้หรือไม่? ตอนนั้นที่ท่านพ่อกับท่านแม่ตายจากไป เงินพวกนี้ไปอยู่ที่ใดกัน?
ยิ่งสวี่จือคิด ทั้งตัวก็ยิ่งหนาวเหน็บ นางรู้สึกตรงหน้าของตนเองเหมือนมีตาข่ายขนาดใหญ่ ตนอยากจะสลัดมันออก ทว่ายิ่งดีดดิ้นเท่าไหร่ ตาข่ายนั่นก็ยิ่งรัดตนแน่นขึ้นเท่านั้น
สวี่ตี้พบความผิดปกติของสวี่จือก่อน จึงรีบจับมือของนาง “จือเอ๋อร์ เ้าเป็อันใดไปหรือ?”
สวี่เหรากับจางจ้าวฉือเห็นท่าทางของสวี่จือก็ใ สวี่เหราพูดกับภรรยาของตน “รีบเก็บของพวกนี้เข้าไปก่อน เ้าดูสิ ทำลูกใแล้ว”
จางจ้าวฉือรีบเก็บตั๋วเงินเข้าไปในกล่องดังเดิม สวี่จือมองท่านแม่ของตนเอง ตั๋วเงินหลายหมื่นตำลึง นางม้วนมันลวกๆ แล้วเก็บมันเข้าไปในกล่องเครื่องประดับแล้วปิดฝา จากนั้นก็ยัดมันเข้าไปด้านข้าง แค่มองก็รู้ว่ามิค่อยได้ใส่ใจเงินพวกนี้มากนัก
สวี่จือไม่สามารถระบายความกังวลของตนเองออกมาได้ นางเคยเป็คนที่ยากจนที่สุดในจวน เคยไม่มีเงินในมือไปจ่ายโรงครัว ทำให้ต้องกินอาหารเย็นๆ อยู่หลายเดือน ขนาดตอนเช้ายังเป็แค่หมั่นโถวที่ทั้งเย็นทั้งแข็งสองก้อน เดิมทีนางยังคิดว่าบิดาของตนเองเป็บุตรอนุของจวน มิใช่คนที่ได้รับความรัก ท่านแม่เองก็ได้ยินมาว่าเป็แม่นางจากตระกูลแพทย์ที่ตกอับ เพียงเพราะว่าในตอนนั้นโหวเย่ได้ถูกบิดาของนางช่วยเหลือเอาไว้งานแต่งครั้งนี้จึงเกิดขึ้นมา ผู้ใดจะไปคิดว่ามารดาของตนเองจะเป็คนร่ำรวยขนาดนี้ แต่ว่าตอนนั้นหลังจากที่บิดามารดาจากไปแล้ว เหตุใดไม่เห็นญาติทางฝั่งท่านยายสักคนเลย แม้แต่ท่านพี่เหตุใดถึงไม่รู้ถึงเงินสินเดิมของท่านแม่ด้วย
จางจ้าวฉืออุ้มสวี่จือ ก่อนจะเอ่ย “ เด็กดี ก็แค่เงินเท่านั้น เ้าอย่ากลัวไปเลย”
สวี่เหราเอ่ยสำทับไปอีกว่า “จือเอ๋อร์ ลูกเห็นเงินพวกนี้ที่แม่ของลูกซ่อนเอาไว้แล้ว แต่เงินพวกนี้จะต้องเอาไปซื้อของถึงจะเรียกว่าเงินได้นะ เอามาวางไว้ในเรือน ต่างอะไรกับแค่ม้วนกระดาษที่ไร้ประโยชน์กัน? ใช่หรือไม่?”
สวี่ตี้ฟังแล้วก็หัวเราะออกมา “มีผู้ใดเขาปลอบลูกแบบพวกท่านกันบ้าง ข้าว่าจือเอ๋อร์ของพวกเราดีจะตาย จือเอ๋อร์ เงินพวกนี้ของท่านแม่ต่อไปจะเป็ของเ้าทั้งหมด เ้าอยากจะใช้มันทำสิ่งใดก็ใช้ เ้าอยากจะซื้อสิ่งใดพวกเราก็จะไปซื้อ ดีหรือไม่? พี่เป็บุรุษ ต่อไปจะต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว พี่ไม่แย่งเ้าหรอก”
จางจ้าวฉือมองสวี่ตี้ด้วยความรังเกียจเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “อยากจะแย่ง? นั่นก็ต้องดูว่าข้าให้โอกาสเ้าหรือไม่เ้าถึงจะแย่งได้น่ะ? ทำไม สวี่ตี้เ้าเป็บุรุษไม่คิดจะหาเงินเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงพ่อแม่กับน้องสาวเลยหรือ คิดจะมาแย่งสินเดิมของแม่เ้ากับน้องหรือ?”
สวี่ตี้รีบเอ่ย “ท่านแม่ขอรับ นี่ท่านถึงขั้นใส่ร้ายข้าเลยหรือ? จากความสามารถของข้า ข้ายังจะไม่สามารถหาเงินมาได้หรือ? ท่านรอก่อนเถิด ถึงตอนนั้นข้าจะต้องหาเงินมาให้ได้มากๆ จะทำให้ท่านเป็ฮูหยินที่ร่ำรวยที่สุด ให้จือเอ๋อร์เป็แม่นางน้อยที่มีเงินมากที่สุด ต่อไปหาครอบครัวเหมาะสมมาแต่งงานด้วย หากบุรุษของนางไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะให้จือเอ๋อร์ใช้เงินทุ่มเขาให้ตาย ท่านว่าเป็อย่างไรขอรับ?”
จางจ้าวฉือหัวเราะไปตำหนิไป “ยิ่งพูดยิ่งเกินจริงไปมาก ดูเ้าพูดเข้าสิ อันใดก็มิรู้ น้องสาวของเ้าเพิ่งจะแค่ไม่กี่หนาวเ้าก็คิดจะให้นางแต่งงานแล้วหรือ จือเอ๋อร์ของพวกเราต่อไปจะต้องอยู่ข้างกายพ่อแม่อีกหลายปี ข้าไม่อยากจะให้ลูกสาวของข้าแต่งงานให้คนอื่นหรอกนะ”
สวี่จือไม่รู้ว่าเหตุใดหัวข้อเื่ถึงได้กลายมาเป็เื่ที่นางจะแต่งงานกับคนอื่น อีกทั้งดูจากบิดามารดาและพี่ชาย พูดคุยกันเสียเป็จริงเป็จัง โดยเฉพาะท่านแม่ ที่พูดประเมินความสามารถของแม่ว่าสามารถอย่างนั้นอย่างนี้รอบหนึ่ง สุดท้ายความคิดในใจกลับสรุปได้ว่า ลูกสาวอยู่ข้างกายนางย่อมปลอดภัยที่สุด เื่หาครอบครัวสามีมาแต่งงานอันใดพวกนี้ ต่อไปหากยื้อได้ก็ยื้อ แต่หากไม่สามารถยื้อได้ก็หาดีๆ ขอแค่ดีกับลูกสาวของตนเอง ไม่ต้องสนใจว่าเขาทำสิ่งใด หากไม่สามารถหาเงินได้ ก็ยังมีนางอยู่มิใช่หรือ ลูกสาวมีเงินแล้ว ยังจะมีชีวิตที่ไม่ดีอยู่อีกหรือ?
ครอบครัวสวี่สี่คนพูดคุยกันจนพระจันทร์สีนวลขึ้นบนท้องนภา เมื่อเห็นว่าเวลาดึกมากเกินไปแล้ว ด้านนอกยังมีสาวใช้คอยดูแลอยู่ พวกนางคอยดูแลอยู่ในเรือนของคุณชายสาม เพียงแค่หลังจากเ้านายทานอาหารเสร็จก็จะช่วยต้มน้ำร้อนให้ครอบครัวคุณชายสามอาบเท่านั้น มิได้ทำอย่างอื่นอีก คุณชายสามกับคุณนายสามมิใช่คนที่ชอบให้ผู้อื่นมาคอยดูแลรับใช้ ดังนั้นคนในเรือนของคุณชายสาม ถึงแม้ตำแหน่งในจวนจะไม่สูงมาก แต่หากกล่าวถึงเื่ระดับการทำงาน และระดับความปลอดภัยในการทำงานที่นี่ล้วนสูงทั้งสิ้น
จางจ้าวฉือล้างหน้าล้างเท้าให้สวี่จือ และนำน้ำมันหอมมาทาที่ใบหน้าให้ ก่อนจะพาไปนอนบนเตียงแล้วห่มผ้าให้
คืนนั้นสวี่ตี้ไปนอนที่ห้องทางปีกตะวันออก สวี่จือกลับนอนอยู่ในห้องนอนของพ่อกับแม่ เมื่อครั้งสวี่จือยังเยาว์ ก็นอนอยู่บนเตียงกับท่านแม่เช่นนี้ ส่วนสวี่เหราจะนอนบนตั่งในห้องตำราฝั่งตะวันตก จนกระทั่งสวี่จืออายุสี่หนาวครอบครัวนี้ก็ยังนอนกันเช่นนี้
สวี่เหราไปจัดที่นอนในห้องตำรา หลังจากนั้นจึงมาดูสวี่จือที่นอนหลับไปแล้ว
เด็กน้อยตัวขาวกลม นอนหลับอยู่ในผ้าห่มผืนนุ่ม อาจเป็เพราะความง่วงงุน ดวงตาข้างหนึ่งเปิด ข้างหนึ่งปิด ท่าทางดูเหนื่อยและง่วงมากแล้ว มิรู้ว่าเหตุใดถึงไม่ยอมนอน สายตาเอาแต่จดจ้องท่านแม่ที่ดูยุ่งวุ่นวายตลอด
หลังจากจางจ้าวฉืออาบน้ำเสร็จแล้ว นางก็รีบมากอดสวี่จือ เด็กน้อยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของมารดา ดวงตาก็ปิดสนิท แถมยังส่งเสียงดังฟี่ๆ ออกมาเบาๆ อีกด้วย
เชิงอรรถ
[1] การสอบถงเซิง (童生 Tóngshēng) คล้ายกับการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในปัจจุบัน ผู้สมัครสอบในระดับนี้ทุกคน ไม่ว่าจะมีอายุมากน้อยเท่าใดก็ตาม จะเรียกว่า "ถงเซิง" (ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า "นักศึกษาเด็ก") ดังนั้นจึงเรียกการสอบในระดับนี้ว่า "การสอบถงเซิง" การสอบถงเซิงเป็การสอบในระดับท้องถิ่นซึ่งแบ่งย่อยออกเป็ 3 ระดับด้วยกัน คือ การสอบระดับอำเภอ การสอบระดับจังหวัด และการสอบย่วนซื่อ ซึ่งจัดโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง ในการสอบ 3 ระดับนี้ การสอบระดับอำเภอถือว่าสำคัญที่สุด การจัดสอบระดับอำเภอจะดำเนินการโดยขุนนางประจำอำเภอต่างๆ หากผู้เข้าสอบสอบผ่านในระดับนี้ก็จะได้รับเลือกเป็ "เซิงหยวน" (บัณฑิตระดับอำเภอ) หรือมักเรียกกันทั่วไปว่า ซิ่วไฉ (秀才 Xiùcái)
[2] เกอเกอ (哥哥 Gēgē) พี่ชาย