ภรรยานายพรานตัวน้อยกับระบบร้านค้ามือสอง [แปลจบแล้ว]

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
ลด
เพิ่ม
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     หลินหวั่นชิวรีบกล่าวว่า “ห่างเพียงเท่านี้ อย่าเสียเวลาเลย เ๽้าไปทำธุระเถิด ข้าไปร้านตำราประเดี๋ยวก็กลับมา”

        หวางกุ้ยเซียงลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองต้องอยู่ที่ร้านปักเย็บอีกสักพัก ร้านตำราเองก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกล ด้วยเหตุนี้จึงตอบตกลง

        หลินหวั่นชิวรีบไปที่ร้านตำรา กิจการของร้านตำราไม่ค่อยดีนัก พนักงานเห็นนางเข้ามาก็ถามอย่างกระตือรือร้น “พี่สะใภ้๻้๵๹๠า๱ซื้อสิ่งใดหรือ? พวกข้าขายทั้งหมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าสำหรับเค่อจวี่ล้วนมีหมด”

        คนที่เข้าร้านตำรา ในครอบครัวต้องมีคนเรียนหนังสือเป็๞แน่ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าร้านตำราจะไม่เคยมีสตรีมา พนักงานไม่ได้ดูถูกหลินหวั่นชิวเพราะแต่งตัวซอมซ่อหรือเป็๞สตรีแต่อย่างใด

        ผมของหลินหวั่นชิวถูกมัดเป็๲มวยไว้ด้านหลัง นี่คือทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้ว พนักงานถึงได้เรียกนางว่าพี่สะใภ้

        หลินหวั่นชิวกล่าวว่า “ข้าขอถามเ๯้าสักข้อเถิด ที่นี่รับซื้อตำราหรือไม่?” นางไม่ชินอย่างมากที่ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้ แต่ในเมื่อเป็๞ธรรมเนียมของยุคนี้ หลินหวั่นชิวพยายามทำท่าทีให้เป็๞ธรรมชาติ

        พนักงานตอบว่า “หากเป็๲ตำราดีย่อมรับอยู่แล้ว”

        หลินหวั่นชิวไม่ชักช้า หยิบตำราออกมาจากอกเสื้อแล้วคลี่เศษผ้าที่ห่อไว้ให้พนักงานดู “ผู้ชายของ…สามีของข้าบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าตำราพกพา พกติดตัวไปที่ใดได้ง่าย หยิบออกมาอ่านได้ทุกเมื่อ”

        พนักงานไม่เคยเห็นตำราขนาดเล็กเช่นนี้มาก่อน มีขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น

        เขาลองเปิดดู ช่างน่าแปลก อักษรด้านในนี้เล็กกว่าตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันขนาดเล็กมาก อีกทั้งลายมือยังสวยงาม

        ที่สำคัญคือเข้าเล่มได้ดีมาก มองไม่เห็นเชือก ต่างจากวิธีการเข้าเล่มทั่วไป

        ถือเป็๞ตำราดี แต่พนักงานไม่กล้าตัดสินใจเอง เขารีบกล่าวกับหลินหวั่นชิวว่า “เชิญพี่สะใภ้นั่งรอประเดี๋ยว ข้าจะไปเชิญเถ้าแก่”

        พูดจบก็พาหลินหวั่นชิวไปนั่งด้านข้าง และช่วยรินน้ำชาให้นาง

        ผ่านไปสักพัก เถ้าแก่ก็เดินออกมา

        หลินหวั่นชิวพอจะรู้ในใจอยู่แล้วว่า นางต้องตรวจดูอย่างละเอียดก่อนถึงได้เสียเวลา

        มิเช่นนั้นแค่กวาดสายตามองก็จบแล้ว

        เถ้าแก่เป็๲ชายวัยกลางคน รูปร่างปานกลาง สวมชุดผ้าแพรแขนยาวลายอักษรมงคล เขาสาวเท้าเข้ามายาวๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แววตามีความเฉียบแหลมของนักธุรกิจ

        “พี่สะใภ้ท่านนี้ ข้าแซ่หลิว ควรเรียกท่านว่าอย่างไร?”

        “ครอบครัวสามีข้าแซ่เจียง” หลินหวั่นชิวตอบตามธรรมเนียมของยุคนี้

        “ที่แท้ก็สะใภ้ตระกูลเจียง ผู้ใดเป็๞คนคัดตำราเล่มนี้หรือ?”

        “สามีข้า” หลินหวั่นชิวโกหกหน้าตาย “ข้าค่อนข้างรีบ ท่านรีบบอกมาเถิดว่าจะให้ราคาเท่าไร หากราคาเหมาะสม วันหน้าข้าจะนำมาส่งให้ท่านอีก แต่หากไม่เหมาะสม เช่นนั้นข้าก็คงเข้าไปในอำเภอ ที่นั่นมีร้านตำราอยู่มาก”

        ตอนแรกเ๯้าของร้านทำท่าทีจะมีลูกไม้สักเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินหลินหวั่นชิวพูดเช่นนั้นก็รีบเอ่ยว่า “เ๯้าดูสิ ตำรานี่เล็กเกินไป อ่านแล้วปวดตา…”

        หลินหวั่นชิวลุกขึ้นทันที “เถ้าแก่หลิวไม่ถูกใจก็คืนมาให้ข้าเถิด อย่ามัวเสียเวลาเลย”

        เถ้าแก่หลิวคิดไม่ถึงว่าหลินหวั่นชิวจะลุกขึ้นและทำท่าจะก้าวออกไปเช่นนี้ นี่…การซื้อขายต้องเกิดจากการเจรจา มีที่ใดกันแค่ตกลงไม่ลงรอยก็ยกเลิก!

        “ไอโยว ข้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่ถูกใจ ข้าเพียงจะสื่อว่า…”

        “ถูกใจแต่ยังจับผิด? ข้าไม่ได้เขลานะ อักษรตัวเล็กเขียนเช่นนี้เขียนยากกว่าอักษรตัวใหญ่มาก ช่างเถิดๆ ไม่ต้องมาวางท่ากับข้า ท่านพูดมาเลยว่าให้ราคาเท่าไร ถ้าเหมาะสมข้าจะขายให้ แต่ถ้าไม่เหมาะสมคงต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้”

        เถ้าแก่หลิวเป็๲นักธุรกิจมานาน ถูกหลินหวั่นชิวที่ไม่ออกไพ่ตามหลักเหตุผลการเจรจาทั่วไปทำเอาเขาไปไม่ถูก

        “เอาเช่นนี้ ข้าให้เล่มละหนึ่งตำลึงเงิน…ราคานี้สูงมากแล้ว”

        หลินหวั่นชิวถามด้วยรอยยิ้ม “คัมภีร์ตรีอักษรเล่มละหนึ่งตำลึงเงิน ตำราร้อยแซ่เล่มละหนึ่งตำลึงเงิน ตำราพันอักษรเล่มละสองตำลึงเงิน นี่เป็๲ราคาฉบับพิมพ์ ไม่ใช่คัดด้วยมือ เถ้าแก่ ท่านเอาเปรียบเพราะเห็นว่าข้าเป็๲สตรีชาวบ้านธรรมดาไม่รู้เ๱ื่๵๹เช่นนั้นหรือ?”

        หลินจินเป่าเรียนอยู่ที่โรงเรียนส่วนตัว หลินหวั่นชิวเคยได้ยินหลินซย่าจื้อบ่นว่าค่าเล่าเรียนเท่าไร ค่าหมึกกระดาษเท่าไร ค่าตำราแต่ละเล่มเท่าไร

        ดังนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนหนังสือได้ ครอบครัวฐานะปานกลางหลายบ้านต้องอุทิศเงินทั้งครอบครัวเพื่อส่งคนคนหนึ่งเรียน

        หลินหวั่นชิวแต่งกายไม่ค่อยดี ทว่ากลับไม่อาจปิดบังคุณสมบัติอันไม่ธรรมดาของนางได้ ท่าทีก็เหนือกว่าเถ้าแก่ร้าน

        นี่เหมือนสตรีชาวบ้านธรรมดาอย่างไร?

        เถ้าแก่หลิวมีความรู้สึกเกิดขึ้นมาชั่วขณะว่าสตรีสาวตรงหน้าอาจเป็๞ฮูหยินจากตระกูลใหญ่สูงศักดิ์

        เขายิ้มและกล่าวว่า “สะใภ้ตระกูลเจียง ราคาคิดเช่นนี้ไม่ได้ พวกข้าทำการค้าต้องมีกำไรไม่ใช่หรือ?”

        “รีบบอกราคา หากท่านชักช้าอีกข้าคงต้องขอตัวก่อน” คำพูดของหลินหวั่นชิวสื่อความหมายว่า ขืนเ๯้ายังให้ราคาไม่ดีอีก ข้าจะไม่ทำธุรกิจด้วยแล้ว

        เถ้าแก่หลิวกัดฟันพูดว่า “ราคาขาดตัว ห้าตำลึง…”

        “ยี่สิบตำลึง ตำราเล่มนี้เป็๞ของข้าแล้ว!”

        เถ้าแก่หลิวเพิ่งจะพูดว่าห้าตำลึง จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปงามในชุดผ้าแพรคนหนึ่งเดินเข้ามา

        เขาจ้องตำราในมือเถ้าแก่หลิวก่อนที่จะแย่งไปแบบไม่เกรงใจ ล้วงก้อนเงินสองก้อนจากกระเป๋าตรงแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะน้ำชา

        ลูกค้ารายใหญ่!

        หลินหวั่นชิวตบโต๊ะ “ได้ ข้าขายให้ท่าน!”

        เถ้าแก่หลิว “…”

        เช่นนี้จะทำธุรกิจได้อย่างไร!

        หลินหวั่นชิวเก็บเงินลงในแขนเสื้อ อาศัยแขนเสื้อเป็๲ที่กำบังเก็บเงินเข้าช่องเก็บของในเสียนอวี๋

        “แม่นาง ช่วยทำตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าให้ข้าเช่นนี้อีกหนึ่งชุด แต่กระดาษที่ใช้ต้องเป็๞กระดาษอย่างดี ข้าให้ทั้งหมดสองร้อยตำลึง เ๯้าสนใจหรือไม่?”

        สองร้อยตำลึง ธุรกิจใหญ่!

        หลินหวั่นชิวตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบตกลงทันที นางถามว่า “ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าต้องใช้เวลาในการคัด คาดว่าสามีข้าต้องใช้เวลาสองเดือนจึงจะเสร็จ แล้วก็ หากเ๯้า๻้๪๫๷า๹กระดาษแบบกำหนดเฉพาะ…เช่นนั้นเ๯้าคงต้องเป็๞ฝ่ายจัดหาให้ พวกข้าไม่ออกเงิน อีกเ๹ื่๪๫ พี่ชาย ครอบครัวสามีข้าแซ่เจียง”

        บุรุษหนุ่มหัวเราะคำโตเมื่อฟังจบ “น่าสนใจ ข้ามีนามว่าตู้ซิวจู๋ แม่นางตระกูลเจียง ตกลงตามนี้ เถ้าแก่หลิว เอากระดาษสูซวน[1]เป่าหลินของสกุลกัวมาให้นางร้อยแผ่น ลงบัญชีข้า”

        “อ้า…” เถ้าแก่หลิวขานรับ ธุรกิจนี้ทำเอาเขาจุกอก

        หลินหวั่นชิวรับกระดาษเสร็จก็พูดว่า “คุณชายตู้ อีกสองเดือนข้าจะมาส่งมอบสินค้าที่นี่วันนี้ดีหรือไม่?”

        ตู้ซิวจู๋พยักหน้า “ได้ ตกลงตามนี้”

        เมื่อตู้ซิวจู๋ถือตำราตรีร้อยพันเล่มนั้นจากไป หลินหวั่นชิวจึงหันไปยิ้มให้เถ้าแก่หลิว “ตกลงตามที่ท่านบอก เล่มละห้าตำลึงเงิน แน่นอนว่าท่านสามารถสั่งตำราอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่นตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า”

        ซื้อขายเพียงครั้งเดียวแบบตู้ซิวจู๋จะเจอก็ต่อเมื่อโชคดี หากคิดจะซื้อขายระยะยาวต้องพึ่งร้านตำรา

        เถ้าแก่หลิวคิดว่าหลังจากที่ธุรกิจนี้ถูกตู้ซิวจู้แย่งชิงไป ตัวเองจะอดเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลินหวั่นชิวยังยินดีร่วมทำธุรกิจกับเขาต่อ

        “น้องสะใภ้ช่างเป็๞คนตรงไปตรงมายิ่งนัก! ได้ ตกลงตามนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะเอาตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าชุดหนึ่งก่อน คิดราคาเล่มละห้าตำลึงเงิน ข้าจะไม่ปิดบังเ๯้า ตำราเช่นนี้ไม่มีผู้ใดในตำบลซื้อ ลองเอามาชุดหนึ่งก่อน ข้ารับจากเ๯้าแล้วต้องส่งไปขายที่อื่น ข้าลองเสี่ยงรับมาขายดู หากเถ้าแก่ใหญ่ถูกใจ ข้าค่อยสั่งเพิ่มดีหรือไม่” เถ้าแก่หลิวดีใจจนเปลี่ยนคำเรียกหลินหวั่นชิว

        หลินหวั่นชิวมีหรือจะไม่ตกลง นางคิดไม่ถึงเช่นกันว่าปัญหาด้านการเงินจะแก้ไขง่ายเช่นนี้ มิน่าเล่า คนยุคนี้ถึงได้ชอบพูดว่า คุณค่าอื่นใดจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้

         

        เชิงอรรถ

        [1]กระดาษซวน(宣纸) หรือกระดาษข้าว เป็๞กระดาษที่มีต้นกำเนิดในสมัยโบราณของจีน มีเนื้อนุ่ม เหมาะสำหรับการเขียนอักษรและวาดภาพ เนื่องจากวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน กระดาษซวนจึงแบ่งได้เป็๞ เซิงซวน(生宣) สูซวน(熟宣) และปั้นเซิงซวนสูซวน(半生半熟宣)

         

 

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้