หลินหวั่นชิวรีบกล่าวว่า “ห่างเพียงเท่านี้ อย่าเสียเวลาเลย เ้าไปทำธุระเถิด ข้าไปร้านตำราประเดี๋ยวก็กลับมา”
หวางกุ้ยเซียงลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองต้องอยู่ที่ร้านปักเย็บอีกสักพัก ร้านตำราเองก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกล ด้วยเหตุนี้จึงตอบตกลง
หลินหวั่นชิวรีบไปที่ร้านตำรา กิจการของร้านตำราไม่ค่อยดีนัก พนักงานเห็นนางเข้ามาก็ถามอย่างกระตือรือร้น “พี่สะใภ้้าซื้อสิ่งใดหรือ? พวกข้าขายทั้งหมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าสำหรับเค่อจวี่ล้วนมีหมด”
คนที่เข้าร้านตำรา ในครอบครัวต้องมีคนเรียนหนังสือเป็แน่ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าร้านตำราจะไม่เคยมีสตรีมา พนักงานไม่ได้ดูถูกหลินหวั่นชิวเพราะแต่งตัวซอมซ่อหรือเป็สตรีแต่อย่างใด
ผมของหลินหวั่นชิวถูกมัดเป็มวยไว้ด้านหลัง นี่คือทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้ว พนักงานถึงได้เรียกนางว่าพี่สะใภ้
หลินหวั่นชิวกล่าวว่า “ข้าขอถามเ้าสักข้อเถิด ที่นี่รับซื้อตำราหรือไม่?” นางไม่ชินอย่างมากที่ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้ แต่ในเมื่อเป็ธรรมเนียมของยุคนี้ หลินหวั่นชิวพยายามทำท่าทีให้เป็ธรรมชาติ
พนักงานตอบว่า “หากเป็ตำราดีย่อมรับอยู่แล้ว”
หลินหวั่นชิวไม่ชักช้า หยิบตำราออกมาจากอกเสื้อแล้วคลี่เศษผ้าที่ห่อไว้ให้พนักงานดู “ผู้ชายของ…สามีของข้าบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าตำราพกพา พกติดตัวไปที่ใดได้ง่าย หยิบออกมาอ่านได้ทุกเมื่อ”
พนักงานไม่เคยเห็นตำราขนาดเล็กเช่นนี้มาก่อน มีขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น
เขาลองเปิดดู ช่างน่าแปลก อักษรด้านในนี้เล็กกว่าตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันขนาดเล็กมาก อีกทั้งลายมือยังสวยงาม
ที่สำคัญคือเข้าเล่มได้ดีมาก มองไม่เห็นเชือก ต่างจากวิธีการเข้าเล่มทั่วไป
ถือเป็ตำราดี แต่พนักงานไม่กล้าตัดสินใจเอง เขารีบกล่าวกับหลินหวั่นชิวว่า “เชิญพี่สะใภ้นั่งรอประเดี๋ยว ข้าจะไปเชิญเถ้าแก่”
พูดจบก็พาหลินหวั่นชิวไปนั่งด้านข้าง และช่วยรินน้ำชาให้นาง
ผ่านไปสักพัก เถ้าแก่ก็เดินออกมา
หลินหวั่นชิวพอจะรู้ในใจอยู่แล้วว่า นางต้องตรวจดูอย่างละเอียดก่อนถึงได้เสียเวลา
มิเช่นนั้นแค่กวาดสายตามองก็จบแล้ว
เถ้าแก่เป็ชายวัยกลางคน รูปร่างปานกลาง สวมชุดผ้าแพรแขนยาวลายอักษรมงคล เขาสาวเท้าเข้ามายาวๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แววตามีความเฉียบแหลมของนักธุรกิจ
“พี่สะใภ้ท่านนี้ ข้าแซ่หลิว ควรเรียกท่านว่าอย่างไร?”
“ครอบครัวสามีข้าแซ่เจียง” หลินหวั่นชิวตอบตามธรรมเนียมของยุคนี้
“ที่แท้ก็สะใภ้ตระกูลเจียง ผู้ใดเป็คนคัดตำราเล่มนี้หรือ?”
“สามีข้า” หลินหวั่นชิวโกหกหน้าตาย “ข้าค่อนข้างรีบ ท่านรีบบอกมาเถิดว่าจะให้ราคาเท่าไร หากราคาเหมาะสม วันหน้าข้าจะนำมาส่งให้ท่านอีก แต่หากไม่เหมาะสม เช่นนั้นข้าก็คงเข้าไปในอำเภอ ที่นั่นมีร้านตำราอยู่มาก”
ตอนแรกเ้าของร้านทำท่าทีจะมีลูกไม้สักเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินหลินหวั่นชิวพูดเช่นนั้นก็รีบเอ่ยว่า “เ้าดูสิ ตำรานี่เล็กเกินไป อ่านแล้วปวดตา…”
หลินหวั่นชิวลุกขึ้นทันที “เถ้าแก่หลิวไม่ถูกใจก็คืนมาให้ข้าเถิด อย่ามัวเสียเวลาเลย”
เถ้าแก่หลิวคิดไม่ถึงว่าหลินหวั่นชิวจะลุกขึ้นและทำท่าจะก้าวออกไปเช่นนี้ นี่…การซื้อขายต้องเกิดจากการเจรจา มีที่ใดกันแค่ตกลงไม่ลงรอยก็ยกเลิก!
“ไอโยว ข้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่ถูกใจ ข้าเพียงจะสื่อว่า…”
“ถูกใจแต่ยังจับผิด? ข้าไม่ได้เขลานะ อักษรตัวเล็กเขียนเช่นนี้เขียนยากกว่าอักษรตัวใหญ่มาก ช่างเถิดๆ ไม่ต้องมาวางท่ากับข้า ท่านพูดมาเลยว่าให้ราคาเท่าไร ถ้าเหมาะสมข้าจะขายให้ แต่ถ้าไม่เหมาะสมคงต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้”
เถ้าแก่หลิวเป็นักธุรกิจมานาน ถูกหลินหวั่นชิวที่ไม่ออกไพ่ตามหลักเหตุผลการเจรจาทั่วไปทำเอาเขาไปไม่ถูก
“เอาเช่นนี้ ข้าให้เล่มละหนึ่งตำลึงเงิน…ราคานี้สูงมากแล้ว”
หลินหวั่นชิวถามด้วยรอยยิ้ม “คัมภีร์ตรีอักษรเล่มละหนึ่งตำลึงเงิน ตำราร้อยแซ่เล่มละหนึ่งตำลึงเงิน ตำราพันอักษรเล่มละสองตำลึงเงิน นี่เป็ราคาฉบับพิมพ์ ไม่ใช่คัดด้วยมือ เถ้าแก่ ท่านเอาเปรียบเพราะเห็นว่าข้าเป็สตรีชาวบ้านธรรมดาไม่รู้เื่เช่นนั้นหรือ?”
หลินจินเป่าเรียนอยู่ที่โรงเรียนส่วนตัว หลินหวั่นชิวเคยได้ยินหลินซย่าจื้อบ่นว่าค่าเล่าเรียนเท่าไร ค่าหมึกกระดาษเท่าไร ค่าตำราแต่ละเล่มเท่าไร
ดังนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนหนังสือได้ ครอบครัวฐานะปานกลางหลายบ้านต้องอุทิศเงินทั้งครอบครัวเพื่อส่งคนคนหนึ่งเรียน
หลินหวั่นชิวแต่งกายไม่ค่อยดี ทว่ากลับไม่อาจปิดบังคุณสมบัติอันไม่ธรรมดาของนางได้ ท่าทีก็เหนือกว่าเถ้าแก่ร้าน
นี่เหมือนสตรีชาวบ้านธรรมดาอย่างไร?
เถ้าแก่หลิวมีความรู้สึกเกิดขึ้นมาชั่วขณะว่าสตรีสาวตรงหน้าอาจเป็ฮูหยินจากตระกูลใหญ่สูงศักดิ์
เขายิ้มและกล่าวว่า “สะใภ้ตระกูลเจียง ราคาคิดเช่นนี้ไม่ได้ พวกข้าทำการค้าต้องมีกำไรไม่ใช่หรือ?”
“รีบบอกราคา หากท่านชักช้าอีกข้าคงต้องขอตัวก่อน” คำพูดของหลินหวั่นชิวสื่อความหมายว่า ขืนเ้ายังให้ราคาไม่ดีอีก ข้าจะไม่ทำธุรกิจด้วยแล้ว
เถ้าแก่หลิวกัดฟันพูดว่า “ราคาขาดตัว ห้าตำลึง…”
“ยี่สิบตำลึง ตำราเล่มนี้เป็ของข้าแล้ว!”
เถ้าแก่หลิวเพิ่งจะพูดว่าห้าตำลึง จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปงามในชุดผ้าแพรคนหนึ่งเดินเข้ามา
เขาจ้องตำราในมือเถ้าแก่หลิวก่อนที่จะแย่งไปแบบไม่เกรงใจ ล้วงก้อนเงินสองก้อนจากกระเป๋าตรงแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะน้ำชา
ลูกค้ารายใหญ่!
หลินหวั่นชิวตบโต๊ะ “ได้ ข้าขายให้ท่าน!”
เถ้าแก่หลิว “…”
เช่นนี้จะทำธุรกิจได้อย่างไร!
หลินหวั่นชิวเก็บเงินลงในแขนเสื้อ อาศัยแขนเสื้อเป็ที่กำบังเก็บเงินเข้าช่องเก็บของในเสียนอวี๋
“แม่นาง ช่วยทำตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าให้ข้าเช่นนี้อีกหนึ่งชุด แต่กระดาษที่ใช้ต้องเป็กระดาษอย่างดี ข้าให้ทั้งหมดสองร้อยตำลึง เ้าสนใจหรือไม่?”
สองร้อยตำลึง ธุรกิจใหญ่!
หลินหวั่นชิวตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบตกลงทันที นางถามว่า “ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าต้องใช้เวลาในการคัด คาดว่าสามีข้าต้องใช้เวลาสองเดือนจึงจะเสร็จ แล้วก็ หากเ้า้ากระดาษแบบกำหนดเฉพาะ…เช่นนั้นเ้าคงต้องเป็ฝ่ายจัดหาให้ พวกข้าไม่ออกเงิน อีกเื่ พี่ชาย ครอบครัวสามีข้าแซ่เจียง”
บุรุษหนุ่มหัวเราะคำโตเมื่อฟังจบ “น่าสนใจ ข้ามีนามว่าตู้ซิวจู๋ แม่นางตระกูลเจียง ตกลงตามนี้ เถ้าแก่หลิว เอากระดาษสูซวน[1]เป่าหลินของสกุลกัวมาให้นางร้อยแผ่น ลงบัญชีข้า”
“อ้า…” เถ้าแก่หลิวขานรับ ธุรกิจนี้ทำเอาเขาจุกอก
หลินหวั่นชิวรับกระดาษเสร็จก็พูดว่า “คุณชายตู้ อีกสองเดือนข้าจะมาส่งมอบสินค้าที่นี่วันนี้ดีหรือไม่?”
ตู้ซิวจู๋พยักหน้า “ได้ ตกลงตามนี้”
เมื่อตู้ซิวจู๋ถือตำราตรีร้อยพันเล่มนั้นจากไป หลินหวั่นชิวจึงหันไปยิ้มให้เถ้าแก่หลิว “ตกลงตามที่ท่านบอก เล่มละห้าตำลึงเงิน แน่นอนว่าท่านสามารถสั่งตำราอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่นตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า”
ซื้อขายเพียงครั้งเดียวแบบตู้ซิวจู๋จะเจอก็ต่อเมื่อโชคดี หากคิดจะซื้อขายระยะยาวต้องพึ่งร้านตำรา
เถ้าแก่หลิวคิดว่าหลังจากที่ธุรกิจนี้ถูกตู้ซิวจู้แย่งชิงไป ตัวเองจะอดเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลินหวั่นชิวยังยินดีร่วมทำธุรกิจกับเขาต่อ
“น้องสะใภ้ช่างเป็คนตรงไปตรงมายิ่งนัก! ได้ ตกลงตามนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะเอาตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าชุดหนึ่งก่อน คิดราคาเล่มละห้าตำลึงเงิน ข้าจะไม่ปิดบังเ้า ตำราเช่นนี้ไม่มีผู้ใดในตำบลซื้อ ลองเอามาชุดหนึ่งก่อน ข้ารับจากเ้าแล้วต้องส่งไปขายที่อื่น ข้าลองเสี่ยงรับมาขายดู หากเถ้าแก่ใหญ่ถูกใจ ข้าค่อยสั่งเพิ่มดีหรือไม่” เถ้าแก่หลิวดีใจจนเปลี่ยนคำเรียกหลินหวั่นชิว
หลินหวั่นชิวมีหรือจะไม่ตกลง นางคิดไม่ถึงเช่นกันว่าปัญหาด้านการเงินจะแก้ไขง่ายเช่นนี้ มิน่าเล่า คนยุคนี้ถึงได้ชอบพูดว่า คุณค่าอื่นใดจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้
เชิงอรรถ
[1]กระดาษซวน(宣纸) หรือกระดาษข้าว เป็กระดาษที่มีต้นกำเนิดในสมัยโบราณของจีน มีเนื้อนุ่ม เหมาะสำหรับการเขียนอักษรและวาดภาพ เนื่องจากวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน กระดาษซวนจึงแบ่งได้เป็ เซิงซวน(生宣) สูซวน(熟宣) และปั้นเซิงซวนสูซวน(半生半熟宣)