สายลมอุ่นยามต้นวสันตฤดูปีที่เก้า
ความหนาวเย็นที่ยังไม่คลายไปแทรกตัวอยู่ในสายลมอ่อน ลมหนาวพัดโชยให้สั่นสะท้าน
วันนี้ราชสำนักประกาศว่าเป็ ‘วันปะาล้างสกุลจวนราชครูหลิ่ว’ บนถนนหลวงั้แ่กำแพงวังไปถึงจวนราชครูหลิ่วล้วนถูกผู้คนห้อมล้อมเอาไว้แน่นขนัดไปหมดเสียตั้งนานแล้ว
ขันทีในเครื่องแบบสีน้ำเงินหลายคนยืนอยู่นอกประตูวัง หนึ่งในนั้นเป็คนที่ค่อนข้างสูงอายุซึ่งถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางเหล่าขันทีประหนึ่งเป็ดาวล้อมเดือน สองมือของเขากำลังถือราชโอการแห่งราชสำนักและอ่านประกาศเสียงก้อง “ข้าได้รับพระบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ ทรงมีพระบัญชาเป็การพิเศษให้หยวนเซิ่งชิงบุตรชายแม่ทัพใหญ่รักษาแคว้น นำกำลังทหารรักษาแคว้นไปยังจวนหลิ่ว เพื่อคุมตัวไปปะาทั้งครอบครัว รับพระบัญชา! คุณชายหยวน ยังไม่รีบรับพระบัญชาและกล่าวว่าเป็พระมหากรุณาธิคุณอีกรึ?”
“เป็พระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ !” ชายหนุ่มชุดดำที่นั่งคุกเข่าหนึ่งข้าง เข้าไปรับราชโองการมา แผ่นหลังที่หยัดตรงนั้นราวกับไผ่เขียวสูงยาวต้นหนึ่งที่ตั้งตระหง่านท้าลมหนาวแดดกล้า
ขบวน ‘ยิ่งใหญ่เอิกเกริก’ จากไป ผู้คนที่มาห้อมล้อมดูก็ค่อยๆ แยกย้ายกันออกไป ภายนอกจวนแม่ทัพคงเหลือเพียงชาวบ้านจำนวนน้อยนิดที่ชี้ไปยังร่างของชายหนุ่มซึ่งยังคงนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง
“เวรกรรมหนอ เวรกรรมแท้ๆ!”
“ข้าว่านะ จะต้องเป็เพราะเ้าหนุ่มนี่หลงลืมบุญคุณบุตรสาวท่านราชครูหลิ่วเป็แน่ คิดถึงยามนั้นทั้งสองคนรักใคร่กันหนักหนา จนทำให้ใครๆ พากันอิจฉาไปหมด เฮ้อ”
พ่อบ้านเดินเข้าไปหา กำลังจะประคองเหยวนเซิ่งชิงขึ้นมา
แต่เขากลับยังคงคุกเข่าอยู่กับที่ไม่ยอมเขยื้อน ไม่มีทีท่าว่า้าลุกขึ้นแม้แต่น้อย
จวบจนชายท่าทีองอาจผู้หนึ่งออกมาจากจวนแม่ทัพ เดินเช่นดาบยาวและหนา[1] เข้ามาข้างกายชายหนุ่ม
“เื่ในวันนี้เป็ที่แน่นอนทั้งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้มาแต่แรกแล้ว ต่อให้ในใจเ้าจะไม่ยินยอมเป็หมื่นเท่าก็จำต้องจัดการเื่นี้ให้พ่อเป็อย่างดี! หาไม่แล้วจุดจบของทั้งครอบครัวราชครูหลิ่วก็จะต้องเป็จุดจบของบ้านเราในวันพรุ่ง!”
ได้ฟังคำเขา หยวนเซิ่งชิงลุกขึ้นมา เหม่อมองไปแสนไกล แต่ยังคงขบกรามออกคำสั่ง “ออกเดินทาง!”
ทหารรักษาแคว้นในชุดเต็มยศยี่สิบกว่าคนเดินตามหลังเขาจากถนนหลวงมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ด้วยท่าทีองอาจ
เสียงแตรสัญญาณแสนโศกดังมาจากลานปะาทางทิศตะวันออก ซึ่งนี่ก็คือสัญญาณเตือนว่าการปะากำลังจะเริ่มขึ้น
หยวนเซิ่งชิงเงยหน้าขึ้นมอง จวนของราชครูหลิ่วที่ในวันวานเคยมีผู้คนพลุกพล่าน เวลานี้กลับรกร้างทรุดโทรม บนแผ่นป้ายคำขวัญที่ทำจากไม้แดงนั้น เพียงไม่กี่วันก็มีหยากไย่และปุยสีขาวของต้นหลิวเกาะอยู่เต็มไปหมด
“ปังๆ” เสียงดังใกล้เข้ามา ผู้คนในจวนหลิ่วเกือบร้อยชีวิตล้วนสวมเสื้อผ้าป่านสีขาว นั่งสงบอยู่ในลานบ้าน รอคนที่จะมาพาตัวไป
หลิ่วจิ้งนั่งอยู่กับพื้นติดกับมารดาของนาง อีกข้างหนึ่งคือราชครูหลิ่วที่ไว้หนวดเครายาวถึงลำคอ เขาดูมีท่าทีผ่อนคลาย ถือตำรากลอนอยู่ในมือและอ่านด้วยท่าทีราวกับว่ามิใช่เป็เื่น่ายินดีหรอกหรือ บางคราวยังเหลือบตามาที่หลิ่วจิ้งสองแม่ลูกด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูแต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม
“มาถึงแล้ว” ราชครูหลิ่ววางหนังสือในมือลง ปัดเสื้อผ้าในขณะที่หลิ่วจิ้งประคองให้เขาลุกขึ้นยืน
“คุณชายหยวนมาเยือน อย่าได้ถือโทษที่ข้ามิได้ไปต้อนรับ” ราชครูหลิ่วพูดพลางประสานมือคำนับ แขนเสื้อยาวๆ ของเขาถูกหลิ่วจิ้งที่อยู่ข้างๆ ดึงทึ้งจนยับยู่ยี่ นางขบฟัน ถลึงตาหนักๆ ใส่ชายที่เดินเข้ามาตรงหน้า
หยวนเซิ่งชิงเข้าไปประคองราชครูหลิ่ว กล่าวว่า “ท่านลุงอย่ากระทบกระเทียบผู้เยาว์เลยขอรับ วันนี้ข้ามาด้วยพระบัญชาของฮ่องเต้ เชิญขอรับ ท่านราชครู” เขาชี้ไปยังเหล่าทหารรักษาแคว้นในชุดเกราะที่ข้างนอกจวนอย่างมีนัยยะ
ราชครูหลิ่วในวัยเช่นนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายที่เขา้าเอ่ย เขาสะบัดแขนเสื้อเพื่อปัดมือของบุตรสาวออก
หลิ่วจิ้งกลับเข้าไปคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้แน่นอีกหนทั้งดวงตาแดงก่ำ “ท่านพ่อ ข้าไม่อยากให้ท่านตาย!”
“บังอาจ! กลับไปเดี๋ยวนี้!” คิ้วของราชครูหลิ่วขมวดเข้ามา ทำเอาหลิ่วจิ้งใจนขาอ่อนและทรุดตัวลงกับพื้น
แต่เล็กจนโต นางเคยต้องทนทุกข์มากมายเท่านี้แต่เมื่อใด?
ครอบครัวของนางต้องมาพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงอย่างปัจจุบันทันด่วน มารดาของนางล้มป่วยหนักภายในเวลาชั่วข้ามคืน บิดาก็กำลังจะถูกคุมตัวไปตัดหัวประจานที่ลานปะา
ชีวิตของนางจะต้องมามีจุดจบเช่นนี้จริงหรือ?
นางเอามือปิดปากไว้ และขัดขืนคำสั่งของบิดาต่อหน้าธารกำนัลเป็ครั้งแรกในชีวิต สองมือเข้าไปกอดขาเอาไว้แน่น เอ่ยทั้งน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ท่านพ่อ หากจิ้งเอ๋อร์เหลือรอดเพียงผู้เดียว มิสู้ให้ลูกไปที่ลานปะากับท่านยังดีเสียกว่า! เพื่อมิให้สกุลหลิ่วของเราอยู่ขวางหูขวางตาฮ่องเต้สารเลวที่้าให้พวกเราตายไปจนหมดให้จงได้!”
“เพี๊ยะ!”
“ลูกสารเลว! ผู้ใดอนุญาตให้เ้าเอ่ยคำเนรคุณเพียงนี้ออกมา?”
หลิ่วจิ้งถูกตบหน้าอย่างจังเต็มฝ่ามือจนตาของนางพร่าลาย ทั้งเสียงสะท้อนดังอยู่ในหัว
“ท่านพี่เ้าคะ ท่านพี่อย่าตีลูกอีกเลย จิ้งเอ๋อร์เป็ลูกสาวเพียงคนเดียวของเรานะเ้าคะ ข้าขอร้องท่านพี่เถิดเ้าค่ะ” นางเฝิงขืนร่างที่กำลังป่วยรั้งราชครูหลิ่วที่กำลังจะสั่งสอนหลิ่วจิ้งไปอีกฝ่ามือหนึ่ง พลางร่ำไห้ด้วยความเ็ป
หยวนเซิ่งชิงปล่อยสองมือลงข้างกาย แม้ใบหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใด แต่สองมือกลับกำหมัดแน่น
เพราะเสียงร่ำไห้ของนางเฝิง ชั่วพริบตานั้น เหล่าบ่าวไพร่และสาวใช้ในจวนหลิ่วจึงมีอารมณ์ร่วมกับนาง พากันเอามือปิดหน้าร้องไห้โฮกันขึ้นมายกใหญ่ ทั่วทั้งจวนอันใหญ่โตจึงมีแต่เสียงร่ำไห้ด้วยความโศกา
หลังที่หยัดตรงของราชครูหลิ่วพลันทิ้งตัวโค้งลงมาอย่างหนักอึ้ง คล้ายว่าชราลงไปหลายสิบปีในพริบตาเดียว
ดวงตาสุกสว่างดังดวงไฟทั้งคู่ของราชครูหลิ่วจับจ้องไปยังหยวนเซิ่งชิง ผู้ซึ่งไร้อารมณ์ใดๆ บนใบหน้า และยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เป็คราแรกในชีวิตที่เขาต้องก้มหัวอันสูงศักดิ์ของตนแก่ผู้ที่อยู่ในรุ่นลูกหลานคนหนึ่ง “วันนี้บุตรสาวของข้าร่างกายไม่สู้ดี จึงพูดจาเลอะเลือนไปบ้าง ต้องขอให้คุณชายหยวนโปรดอย่านำความนี้ออกไป ผู้เฒ่าเช่นข้าต้องขอรบกวนท่านแล้ว”
ยามมองไปยังบิดาของตนที่ทั้งชีวิตนี้สอนสั่งกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชามานับไม่ถ้วน แต่ยามนี้ต้องมาก้มหัวอย่างต่ำต้อยให้กับคนสารเลวจอมเนรคุณ หลิ่วจิ้งกุมแก้มตน ขณะจับจ้องไปยังหยวนเซิ่งชิงด้วยสายตาที่มิได้ปิดบังแววแห่งความเกลียดชังไว้แม้แต่น้อย
คนในจวนหลิ่วล้วนสวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งตัว แต่กลับมีเขาเพียงคนเดียวที่สวมชุดดำเข้ามา ไม่รู้เช่นกันว่าเป็เหตุบังเอิญหรือว่าจงใจทำ นี่แสดงเจตนาว่าเตรียมจะส่งศพคนชัดๆ!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิ่วจิ้งยิ่งขบกรามแน่น ปลายลิ้นปิดอยู่ที่เพดานบน กลิ่นคาวเืสดพลันกระจายอยู่ภายในปากนาง
หยวนเซิ่งชิง ในชั่วยามนี้ ในวันนี้เ้ากลับทำเช่นนี้กับข้า! ไม่กลัวว่าจะได้รับผลกรรมในภายภาคหน้าหรอกหรือ?
หลิ่วจิ้งมองไปยังคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล นางอยากจะร้องถามเขาเหลือเกินว่าเหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่จิตใต้สำนึกกลับยับยั้งสิ่งที่นางคิดจะทำเอาไว้ ทุกสิ่งเป็เพียงเื่เปล่าประโยชน์ ถือเสียว่านางตาบอดมองคนผิดก็แล้วกัน!
นางเฝิงกอดร่างที่กำลังสั่นสะท้านของหลิ่วจิ้งไว้แน่น กระซิบว่า “จิ้งเอ๋อร์ อีกประเดี๋ยว ยามแม่หาเื่เ้าหนุ่มหยวนนั่น เ้าห้ามลืมเด็ดว่าต้องฉวยโอกาสหนีไป ในห้องหนังสือของท่านพ่อเ้ามีทางลับอยู่ เ้าเคยไปครั้งยังเด็ก จำไว้ว่าต้องหลบอยู่ในนั้น ไม่เกินสามวันก็จะมีคนจากตระกูลเฝิงมาช่วยเ้า” นางไล้ผม หลิ่วจิ้งอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ จับปอยผมข้างแก้มของนางไปทัดไว้หลังหู
ทั้งแววตาที่เปี่ยมล้นด้วยความอาวรณ์และรักใคร่
น้ำตาของหลิ่วจิ้งท้วมท้นออกมาจากดวงตา นางจับจ้องไปยังมารดาอย่างอาลัยอาวรณ์
ทันใดนั้น นางเฝิงก็ใช้แรงทั้งหมดผลักหลิ่วจิ้งเข้าไปกลางกลุ่มคน ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปชนหยวนเซิ่งชิงที่ยืนอยู่ห่างออกไปหนึ่งฉื่อ[2]
หยวนเซิ่งชิงรีบเงยหน้าขึ้นมอง แววตาเย็นเยือกจ้องเขม็งไปยังหลิ่วจิ้งที่ออยู่ข้างหลังมารดาเฝิงของนาง จนนางขนลุกเหงื่อท่วมไปทั้งตัว
เขาขมวดคิ้วพลางขยับหลบไปทางขวา
แต่กลับคล้ายว่านางเฝิงคาดเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องหลบไปดังนี้ นางจึงพุ่งตัวเขาชนต้นเสากลมที่มีมาั้แ่เริ่มสร้างจวนหลิ่วดัง ‘ปัง’
“หว่านเอ๋อร์!” สีหน้าของราชครูหลิ่วตื่นตระหนกเป็ล้นพ้น รีบพุ่งตัวเข้าโอบแม่เฝิงไว้ในอ้อมอก
ในเวลานั้นเอง แม่เฝิงเหลียวไปมองหลิ่วจิ้งที่กำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวใช้บ่าวไพร่ ขยิบตาให้นาง
_______________________________
เชิงอรรถ
[1] เดินเช่นดาบยาวและหนา เป็สำนวนจีน หมายถึง เดินฉับๆ ด้วยท่าทีเด็ดเดียว ทะนงองอาจ
[2] ฉื่อ เป็หน่วยวัดความยาวแบบจีนโบราณ มีความยาวประมาณ 1 ฟุต แตกต่างกันไปในแต่ละยุค