“บังอาจ!” กู่อวี่เสวียนถลึงตาด้วยความขุ่นเคือง รู้สึกอับอายเล็กน้อยที่นางกำนัลมากล่าวต่อหน้าเช่นนี้
คล้ายจะเพิ่งรู้ตัว ว่าได้เอ่ยสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรออกไป ชุนเหินจึงรีบทิ้งตัวลงคุกเข่าสำนึกผิดทันที “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ องค์หญิงโปรดลงโทษด้วย หม่อมฉัน...”
กู่อวี่เสวียนพูดขัดเสียงขุ่น “ลุกขึ้น แล้วก็อย่าพูดจาพล่อยๆ อีก น่ารำคาญนัก!”
ชุนเหินลุกขึ้น ก่อนเดินคอตกไปยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย
...
เวลาล่วงเลยมาพักใหญ่
ยามนี้ กู่อวี่เสวียนกำลังเดินวนอยู่ในตำหนักด้วยความร้อนรน เพราะไม่ว่าจะครุ่นคิดอย่างไรก็นึกไม่ออก ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยโจวชิงหวาได้?
ในเมื่อคิดไม่ออก ก็ไปหาท่านพี่ซึ่งๆ หน้านี่แหละ!
นางจึงตัดสินใจไปพบกู่หังจิ่นด้วยตัวเอง เพื่อขอให้พระเชษฐาทรงประทานอภัยโทษ
แต่แทนที่จะสมหวังดั่งตั้งใจ กลับทำให้เสด็จพี่โมโหยิ่งกว่าเดิม
ดวงตาแข็งกร้าวที่มองมา ทำเอาบรรดาข้าราชบริพารถึงกับตัวสั่นไปตามๆ กัน
นี่เป็ครั้งแรก ที่กู่อวี่เสวียนได้เห็นท่าทีอันโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ นางจึงเกรงกลัวจนลืมวัตถุประสงค์หลัก ซึ่งทำให้ตนต้องมาสถานที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น
เมื่อเห็นขนิษฐามีท่าทางดั่งกระต่ายตระหนก กู่หังจิ่นก็ชะงัก เอามือปิดหน้า ก่อนทิ้งตัวลงนั่งด้วยความอ่อนล้า
“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เ้ากลับไปก่อนเถอะ!”
แม้กู่อวี่เสวียนไม่อยากจะยอมแพ้ แต่ด้วยความกลัวที่มากกว่า นางจึงล้มเลิกความคิดที่จะร้องขอชีวิตให้โจวชิงหวา “เช่นนั้น เสด็จพี่โปรดดูแลพระวรกายด้วย เสวียนเอ๋อร์ขอตัวก่อน”
กู่หังจิ่นที่ยังคงก้มหน้า โบกมือให้นางเล็กน้อยเป็เชิงตอบรับ
...
บัดนี้ หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกกระวนกระวายจนไม่อาจนิ่งเฉยได้ จึงนั่งรถม้าไปหากู่อวี่เสวียนที่จวนทันที
และแน่นอนว่า ที่นางมาในครั้งนี้ ก็เพราะอยากจะขอร้ององค์หญิงใหญ่ ให้ช่วยพาตนเข้าไปเยี่ยมโจวชิงหวาในคุกหลวง
แต่ยามเช้าตรู่เช่นนี้ องค์ใหญ่ทรงยังไม่ตื่นบรรทม นางจึงรอที่ห้องโถงของตำหนักอย่างใจเย็น
ไม่นาน กู่อวี่เสวียน พร้อมด้วยนางกำนัลห้าหกคนก็ปรากฏตัวขึ้น
ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลานั้น แม้จะถูกแต่งแต้มแต่ก็ไม่อาจปกปิดรอยคล้ำใต้ดวงตาได้ เห็นทีว่าเมื่อคืนนี้ องค์หญิงก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกัน
หนีเจียเอ๋อร์ลุกขึ้นทำความเคารพทันที “คารวะองค์หญิงใหญ่”
เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย ภาพแววตาอันแสนอ่อนโยนของโจวชิงหวาก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ หญิงสาวตรงหน้านี้ คือสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่เขารัก
พอคิดเช่นนั้น กู่อวี่เสวียนก็อดมิได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด จึงมิได้เอ่ยปากให้หนีเจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น หากแต่เดินทอดน่องไปรอบๆ ก่อนเอ็ดบ่าวรับใช้เบาๆ ว่าพื้นยังสกปรกอยู่ ทำให้เหล่าข้ารับใช้ต่างพากันเข้ามาปัดกวาดอย่างขะมักเขม้น
หลังจากยืนจนเมื่อยขบ นางก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วโบกมือไล่นางกำนัล “พวกเ้าออกไปให้หมด”
พอทุกคนออกไปแล้ว กู่อวี่เสวียนก็เหลือบตาไปมองหนีเจียเอ๋อร์ที่กำลังค้อมตัวอยู่ แล้วจึงเอ่ยปาก “ตามสบายเถอะ”
หนีเจียเอ๋อร์ยืดตัวขึ้น ก่อนกล่าวอย่างจริงใจ “ที่องค์หญิงใหญ่ช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ในวันนั้น ทั้งยังดูแลเราทั้งสองเป็อย่างดี แต่พวกเรากลับจากมาโดยมิได้ร่ำลา หม่อมฉันรู้สึกละอายใจจริงๆ เพคะ”
กู่อวี่เสวียนเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “ข้าแค่จะช่วยโจวชิงหวา แต่เ้าดันอยู่ด้วยต่างหาก หึ! หากตอนนั้นมีเพียงเ้า ข้าคงจะนั่งดูเ้าถูกฆ่า โดยไม่ช่วยให้เปลืองแรงเป็แน่”
หลังจากเจอหน้ากันมาหลายต่อหลายครั้ง หนีเจียเอ๋อร์ก็เข้าใจดี ว่าองค์หญิงผู้นี้มีนิสัยเช่นไร นางคลี่ยิ้มบางๆ แล้วจึงพูด “ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ แต่องค์หญิงใหญ่ก็ได้ช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้...”
ขณะที่เอ่ย หญิงสาวก็โค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่ทรงเมตตา ช่วยชีวิตหม่อมฉันเอาไว้เพคะ”
กล่าวจบ หนีเจียเอ๋อร์ก็ยิ้มกว้างอย่างจริงใจ เพื่อแสดงไมตรีจิตต่อกู่อวี่เสวียน
เมื่อหญิงสาวแสดงท่าทีเช่นนี้ มีหรือที่องค์หญิงใหญ่จะใจร้ายหักหน้าอีกฝ่ายได้ลง กลับรู้สึกละอายใจ จนไม่กล้ากลั่นแกล้งเสียมากกว่า
แต่ทิฐิก็สูงเกินกว่าจะยอมรับไมตรีง่ายๆ นางจึงแสร้งทำเป็เท้าคาง พลางเบนสายตาไปมองด้านนอกทันที
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หนีเจียเอ๋อร์ก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ของตน “องค์หญิงใหญ่ พระองค์คงจะทราบเื่ของโจวชิงหวาแล้ว ดังนั้นที่หม่อมฉันมาในวันนี้ ก็เพราะมีเื่อยากจะขอร้อง ให้ท่านช่วยพาหม่อมฉันเข้าไปเยี่ยมเขาในคุกหลวงเพคะ”
กู่อวี่เสวียนเชิดคางขึ้น “น่าขันนัก เราสนิทกันถึงขนาดที่ข้าต้องช่วยเ้าเชียวหรือ?” นางยืดตัว เปลี่ยนอิริยาบถ พลางกอดอก แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “หากช่วยเ้า เสด็จพี่ต้องโกรธข้าแน่”
หนีเจียเอ๋อร์ยืดตัวตรง ก่อนกล่าว “แต่องค์หญิงใหญ่ก็คงไม่อยากเห็นโจวชิงหวาต้องมารับโทษที่ตนมิได้ก่อ แม้วันนี้หม่อมฉันจะมิได้มาขอร้อง พระองค์ก็คงหาทางช่วยเขา มิใช่หรือเพคะ?”
แม้รู้ว่าอีกฝ่ายถามเพื่อหยั่งเชิง แต่แววตาของกู่อวี่เสวียนก็ยังวูบไหวไปชั่วขณะ แล้วหลบสายตาของหนีเจียเอ๋อร์
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไปพักใหญ่
ตอนนั้นเอง กู่อวี่เสวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าช่วยก็ได้ แต่เ้าต้องฟังคำพูดข้า”
หนีเจียเอ๋อร์ได้แต่ลอบถอนหายใจ จริงๆ แล้วองค์หญิงใหญ่ก็เป็ผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยนมากๆ คนหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไรก็เท่านั้น
หนีเจียเอ๋อร์สืบเท้าไปข้างหน้าสองก้าว พลางกล่าวเสียงหนักแน่น “หม่อมฉันจะเชื่อฟังพระองค์เพคะ”
กู่อวี่เสวียนลุกขึ้น เดินนำออกไป “ตามข้ามา”
หนีเจียเอ๋อร์จึงตามไปติดๆ
แต่เมื่อทั้งสองมาถึงคุกหลวง ไม่ว่ากู่อวี่เสวียนจะพูดอย่างไร ผู้คุมก็ไม่ยอมให้พวกนางเข้าไป บอกเพียงว่า หากมิได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจย่างกรายเข้าไปด้านในได้!
กู่อวี่เสวียนโมโหจนหน้าดำหน้าแดง แล้วกระแทกเท้าด้วยความหงุดหงิด
หนีเจียเอ๋อร์จึงดึงตัวนางมาอยู่ข้างๆ “องค์หญิงใหญ่โปรดระงับโทสะ เช่นนั้นเราไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อขอประทานอนุญาตกันก่อนเถิดเพคะ”
ด้วยตอนนี้ นี่คือทางออกเดียวของพวกนาง
...
เมื่อมาถึงตำหนักเจิ้งเหอ ขันทีก็บอกกับพวกนางว่า ฮ่องเต้ทรงไปพำนักที่ตำหนักบูรพามาั้แ่เมื่อคืนวาน ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเฝ้าอีกด้วย
กู่อวี่เสวียนเริ่มท้อใจ
“เ้าเห็นหรือไม่? ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วย แต่เป็เพราะเสด็จพี่หังไม่ยอมให้เข้าพบ เช่นนี้แล้ว จะช่วยเ้าได้อย่างไร!”
ได้ยินเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็ยิ่งใจเต้นไม่เป็ส่ำ หรือว่าฝ่าาจะทรงเชื่อ ว่าโจวชิงหวาเป็ผู้วางยาพิษองค์รัชทายาทจริงๆ?
ไม่นะ… นางจะต้องหาทางไปพบโจวชิงหวาให้ได้!
หลังจากพยายามคิดหาหนทางอยู่พักใหญ่ หนีเจียเอ๋อร์ก็เสนอขึ้นว่า “ในเมื่อไม่อาจเข้าไปขอประทานอนุญาตจากฝ่าาโดยตรง เราจะสามารถใช้ของแทนตัวพระองค์ได้หรือไม่?”
กู่อวี่เสวียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็ประกายวาววับทันที “เช่นนั้น ก็ตามข้ามา”
ที่ทางเข้าห้องพระโรง มีขันทีร่างเล็กยืนขวางพวกนางไว้ “องค์หญิงใหญ่ ตอนนี้ฝ่าามิได้อยู่ที่นี่ พระองค์ทรงเสด็จไปยังตำหนักบูรพา เพื่อเฝ้าดูอาการองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
กู่อวี่เสวียนผลักเขาอย่างแรง “ข้ารู้ เลยจะเข้าไปรอที่ด้านในอย่างไรเล่า!”
หนีเจียเอ๋อร์จึงตามเข้าไปติดๆ
ขันทีตัวน้อยไม่กล้าห้ามปราม จึงจำต้องปล่อยให้ทั้งสองผ่านไปอย่างช่วยมิได้
เมื่อเข้าห้องมาแล้ว กู่อวี่เสวียนก็ค้นหาบางสิ่งอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พบป้ายหยกวางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะ
หนีเจียเอ๋อร์เข้าไปช่วยจัดของทุกอย่างให้เข้าที่ดังเดิม ก่อนจะตามกู่อวี่เสวียนออกไป
พอมีป้ายหยกอยู่ในมือ ผู้คุมจึงปล่อยให้พวกนางเข้าไปในคุกหลวงอย่างง่ายดาย
ตามทางเดิน มีนักโทษบางคนส่งเสียงร้องโหยหวน พลางยื่นมือออกมาจากกรงขังราวกับจะเสียสติ ซึ่งผู้คุมก็มิได้ปล่อยผ่าน เข้ามาไล่ตีทีละคน... ช่างเป็ภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้