เยี่ยเฉินเฟิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น เก็บเศษผลึกิญญาที่กองอยู่ตรงหน้าขึ้นมาและรีบไปหยิบพลั่วมาขุดหลุมขนาดใหญ่ด้านหลังเรือนแล้วฝังร่างของชายปริศนาทันที
เพื่อความรอบคอบและปลอดภัย เยี่ยเฉินเฟิงไม่คิดที่จะอยู่ต่อให้เสียเวลา เขารีบกลับเข้าไปในห้องและเก็บสัมภาระลงในย่ามสะพาย แล้วหลบหนีออกจากบ้านที่เต็มไปด้วยอันตรายหลังนั้นทันที เขามุ่งหน้าเข้าไปยังเทือกเขาไป๋อวิ๋นที่ตั้งอยู่นอกเมืองไป๋ตี้
สามปีเต็มที่เยี่ยเฉินเฟิงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไป๋ตี้ เขาจึงคุ้นเคยกับลักษณะภูมิประเทศของเทือกเขาไป๋อวิ๋นเป็อย่างดี ใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม[1] เขาก็มาถึงที่ราบลุ่มอันแสบสงบที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาไป๋อวิ๋นและหลบซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำลับแห่งหนึ่ง
“ฟู่ ตรงนี้น่าจะปลอดภัยแล้วล่ะ”
เยี่ยเฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาพักผ่อนเพียงชั่วครู่ และเริ่มจัดการกับชิ้นส่วนความทรงจำที่สลับซับซ้อนอยู่ภายในหัว
“ฉีทงเทียนจากแคว้นเทวะปาฉี เขามีจิตอสูรอสรพิษสามเศียร พลังที่แท้จริงของเขานั้นอยู่ในเขตแดนราชันย์อสูรผกผัน และเป็คนที่มีหน้ามีตาในแคว้นเทวะปาฉี...”
ขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงกำลังเรียบเรียงความทรงจำจากชิ้นส่วนจิติญญา สิ่งแรกที่เขารับรู้ได้คือตัวตนและประวัติความเป็มาของชายปริศนา
“ราชันย์อสูรผกผัน... ราชันย์อสูรผกผันนี่มันเขตแดนระดับไหนกัน? แล้วแคว้นเทวะปาฉีมันอยู่ตรงไหนล่ะ?”
แม้เยี่ยเฉินเฟิงจะเติบโตขึ้นมาในตระกูลเยี่ยและได้รับความรู้อย่างกว้างขวาง แต่เพราะข้อมูลที่สืบทอดต่อกันมามีอยู่อย่างจำกัด เขาจึงรู้จักเขตแดนใหญ่เพียงสี่ระดับเท่านั้น ได้แก่ ผู้ใช้อสูริญญา ปรมาจารย์อสูรมายา ขุนพลอสูรโลกาและเซียนอสูร์ ซึ่งทุกระดับจะแบ่งแยกย่อยออกเป็หกขั้น แต่เขาไม่เคยได้ยินระดับเขตแดนราชันย์อสูรผกผันมาก่อน
ส่วนแคว้นเทวะปาฉีนั้น ยิ่งไม่เคยผ่านหูเขาเลยด้วยซ้ำ
และเื่นี้ก็เป็เครื่องยืนยันว่าความรู้นั้นสำคัญเพียงใด กล่าวคือ ไม่ว่าพร์จะสูงแค่ไหน จิตอสูรจะแข็งแกร่งมากเพียงไร ถ้าหากไม่มีข้อมูลความรู้คอยสนับสนุนก็ไม่มีทางที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด และมุ่งสู่เขตแดนที่สูงกว่าเดิมได้
หลังจากที่เยี่ยเฉินเฟิงรับรู้ฐานะของฉีทงเทียน เขาก็รีบเรียบเรียงความทรงจำจากจิติญญาที่ซับซ้อนต่อทันที ต่อมาไม่นานนัก เขาก็ถูกเคล็ดวิชาลับหลอมกายาดึงดูดความสนใจไป มันเป็เคล็ดวิชาจากแคว้นเทวะปาฉีที่ฉีทงเทียนเป็ผู้และไม่เคยเผยแพร่ให้ใครที่ไหน
“เคล็ดวิชาลับ...เ้าฉีทงเทียนนั่นมีเคล็ดวิชาลับหลอมกายาเชียวหรือ”
เยี่ยเฉินเฟิงรู้แก่ใจดีว่าทักษะิญญาที่สืบทอดต่อกันมามีมูลค่าสูงกว่าเคล็ดิญญา เพราะทักษะิญญานั้นสามารถกำหนดความเร็วในการฝึกฝนและระดับสูงต่ำของเขตแดนได้
เช่นเดียวกับทักษะิญญา เคล็ดวิชาลับก็เป็สิ่งล้ำค่าและหาได้ยาก เขาเคยเห็นคำอธิบายเกี่ยวกับเคล็ดวิชาลับในตำราโบราณซึ่งตระกูลเยี่ยได้เก็บรักษาเอาไว้โดยบังเอิญ เขารู้มาว่าเคล็ดวิชาลับของทุกสำนักล้วนมีอานุภาพอัศจรรย์เหนือความคาดหมาย ทั่วทั้งแคว้นจื่อจินไม่มีสำนักใดที่มีเคล็ดวิชาลับสืบทอดเลย
เคล็ดวิชาลับหลอมกายานี้ มันเหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเยี่ยเฉินเฟิงโดยเฉพาะ เพราะใน่สามสามปีที่ผ่านมา ตัวเยี่ยเฉินเฟิงที่ไม่มีจิตอสูรนั้นได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการพัฒนาร่างกาย
แม้ว่าพลังกายของเขาจะติดอยู่ใน่คอขวด ไม่อาจก้าวหน้าไปอีกขั้นได้เพราะไม่ได้รับการสืบทอดทักษะใดๆ แต่เขาก็ได้วางรากฐานที่ดีให้แก่ร่างกายของเขาแล้ว
เทพดาราหกชีพจร เคล็ดวิชาลับขั้นสูงของแคว้นเทวะปาฉี ถูกแบ่งออกเป็หกระดับใหญ่ ได้แก่ หลอมผิว หลอมกายา หลอมอวัยวะ หลอมจิต หลอมกระดูกและชำระไขกระดูก
เมื่อบำเพ็ญจนถึงขั้นสูงสุด ร่างกายจะเปรียบเสมือนได้เกิดใหม่ เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอย่างไม่อาจต้านทานได้ พลังกายจะบรรลุถึงขั้นสองล้านจิน เพียงปล่อยหมัดหนึ่งครั้ง พลังกายที่ะเิออกมาก็มากพอที่จะเปลี่ยนยอดเขาให้กลายเป็ที่ราบและสามารถตัดแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวให้ขาดออกจากกันได้
“พละกำลังสองล้านจินเชียวรึ สมแล้วที่เป็เคล็ดวิชาลับขั้นสูงของแคว้นเทวะปาฉี หากข้าสามารถฝึกฝนเทพดาราหกชีพจรถึงขั้นสูงสุด ต่อให้ไม่มีจิตอสูร ข้าก็ยังเป็ยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้
เยี่ยเฉินเฟิงอ่านตำราเทพดาราหกชีพจรดูคร่าวๆ ในใจพลันเกิดความยินดีและเริ่มมีกำลังใจ หากมิใช่เพราะเขาต้องจัดการกับความทรงจำที่ซับซ้อนวุ่นวายต่อ คงอดรนทนไม่ไหวที่จะฝึกวิชาเทพดาราหกชีพจรเสียตอนนี้เลย
“ฟู่”
เยี่ยเฉินเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มความตื่นเต้นในใจและจัดการกับชิ้นส่วนความทรงจำที่เหลือต่อ ในยามที่เขาได้รับรู้ความทรงจำทั้งหมดจากสมองประหลาดนั่น ก็อาจทำให้ผู้คนถึงกับอึ้งไปเลย
ทักษะกลืนิญญา ที่มาไม่ชัดเจน ระดับไม่ชัดเจน หลังจากฝึกฝนจนสำเร็จ จะสามารถนำมายกระดับความแข็งแกร่งให้กับพลังิญญาของตนได้ด้วยการก่อร่างสร้างพลังดูดกลืนมหาศาลขึ้นมาภายในห้วงความคิดและกลืนกินจิตอสูรของฝ่ายศัตรู
กล่าวได้ว่าหากรู้แจ้งในทักษะกลืนิญญาแล้วนั้น เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่ต้องกังวลเื่โอสถวิเศษใดๆ เขาเพียงต้องต่อสู้ไปเรื่อยๆ และใช้ทักษะกลืนิญญาดูดกลืนจิตอสูรของอีกฝ่ายมาเพื่อเพิ่มระดับเขตแดนของตน
แต่เยี่ยเฉินเฟิงนั้นไม่มีจิตอสูร เขาจึงไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถฝึกฝนทักษะกลืนิญญาที่ดูพลิกฟ้าพลิก์นี้ได้หรือไม่
นอกจากเทพดาราหกชีพจรและทักษะกลืนิญญา เยี่ยเฉินเฟิงก็ยังรู้สึกสนใจในเคล็ดิญญาเคลื่อนย้ายเงาพรายอีกด้วย
เคลื่อนย้ายเงาพรายแบ่งออกเป็เก้าระดับ ทุกระดับจะสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วประดุจเงาพราย และทวีคูณความเร็วมากขึ้นในทุกระดับ
เมื่อฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด จะสามารถใช้เคล็ดเคลื่อนย้ายเงาพรายขั้นเก้าได้ ด้วยความเร็วที่ทวีคูณขึ้นอีกเก้าเท่าเมื่อรวมกับพลังทำลายล้างของเทพดาราหกชีพจร เขาก็จะสามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย
แต่ถ้าหากเยี่ยเฉินเฟิงยังไม่บรรลุถึงขั้นปรมาจารย์อสูรมายา เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนเคล็ดเคลื่อนย้ายเงาพรายได้ เนื่องด้วยข้อจำกัดของระดับพลัง
“หือ นี่มันอะไรกัน? ชิ้นส่วนวิชาแพทย์งั้นรึ...”
ตอนที่เยี่ยเฉินเฟิงเรียบเรียงความทรงจำในจิติญญาใกล้จะเสร็จแล้ว เขาจึงพบว่ามีคำอธิบายเกี่ยวกับวิชาแพทย์อยู่มากมาย
แม้ว่าวิชาแพทย์จะไม่มีประโยชน์มากนักสำหรับผู้ใช้จิตอสูรระดับสูง แต่สำหรับเขตแดนของเยี่ยเฉินเฟิงในยามนี้ถือว่าจำเป็อย่างยิ่ง
หากในมือมีวิชาแพทย์ที่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ เขาก็สามารถหยิบยืมความรู้เ่าั้มากระตุ้นพลังแฝงภายในร่างกายเพื่อสนับสนุนการฝึกเคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรได้
นอกจากวิชาแพทย์แล้ว เยี่ยเฉินเฟิงยังค้นพบอักขระอาคมอันล้ำค่าอีกด้วย
อักขระอาคมคือสิ่งที่ล้ำค่าและหาได้ยากในแคว้นจื่อจิน ไม่ว่าจะเป็ค่ายกลอันซับซ้อนหรือศัสตราิญญาที่มีพลังทำลายล้างก็ถือกำเนิดขึ้นจากการสลักอักขระอาคมทั้งนั้น
เล่ากันว่าราชครูซือถูชวนแห่งแคว้นจื่อจิน ก็เป็หนึ่งในผู้ใช้อักขระอาคมเช่นกัน แม้แต่ฮ่องเต้ของแคว้นจื่อจินยังต้องยอมก้มหัวให้เขาและไม่กล้าล่วงเกินเขาแม้แต่น้อย
“หากข้าร่ำเรียนอักขระอาคมจากชิ้นส่วนความทรงจำได้สำเร็จ ข้าก็จะกลายเป็ผู้ใช้อักขระอาคมได้เหมือนกันสินะ” สีหน้าของเยี่ยเฉินเฟิงเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
หลังจากจัดการชิ้นส่วนความทรงจำในหัวครบแล้ว จิตใจของเขาก็เริ่มสับสน เขาไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตจะเกิดการผกผันครั้งยิ่งใหญ่เพียงเพราะสมองประหลาดก้อนหนึ่ง
“เริ่มจากการทำความเข้าใจทักษะกลืนิญญาก่อนก็แล้วกัน”
ไม่ว่าจะเป็เทพดาราหกชีพจรหรือเคลื่อนย้ายเงาพรายก็ไม่ล้ำค่าเท่ากับทักษะกลืนิญญา และที่สำคัญไปกว่านั้นคือเยี่ยเฉินเฟิงคิดจะใช้ทักษะกลืนิญญาทดลองปลุกจิตอสูรของตนดูสักครั้ง
“เอ๊ะ ทักษะกลืนิญญาเข้าใจง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ขณะที่เขากำลังเรียนรู้ทักษะกลืนิญญาอยู่นั้น เขาก็พบว่าทักษะดังกล่าวคล้ายจะถูกสร้างมาเพื่อตัวเขาจริงๆ มันสมบูรณ์แบบ ชัดเจน ไม่มีจุดที่คลุมเครือ
สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายโดยปราศจากอุปสรรค
“หรือเป็เพราะตัวข้าหลวมรวมกับสมองกลืนเทวะ ระดับการรู้แจ้งจึงพัฒนาขึ้นมาก” เยี่ยเฉินเฟิงคาดเดาและบ่นพึมพำกับตัวเอง
เดิมทีพร์ของเยี่ยเฉินเฟิงก็สูงจนหาตัวจับได้ยากแล้ว ตอนนี้สมองของเขายังผนวกเข้ากับสมองประหลาด ความสามารถในการรู้แจ้งจึงสูงราวกับปีศาจร้าย
เพราะสมองประหลาดมีแหล่งที่มาไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีพลังกลืนกินอันแข็งแกร่ง เยี่ยเฉินเฟิงจึงตั้งชื่อให้มันว่าสมองกลืนเทวะ
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งวันเต็มๆ ภายในห้วงความคิดของเยี่ยเฉินเฟิงที่ตั้งสมาธิเรียนรู้ทักษะกลืนิญญาอยู่ ก็เริ่มก่อร่างวังวนของจิติญญาขึ้น จุดกึ่งกลางของวังวนพลันปรากฏไข่โลหิตหนึ่งใบ ยิ่งเวลาผ่านไปไข่ใบนั้นก็ยิ่งขยายใหญ่และเป็รูปเป็ร่างชัดเจน
หลังจากไข่โลหิตก่อร่างสมบูรณ์แล้ว พลังิญญาพิสุทธิ์หลายสายก็แผ่กระจายออกมาจากไข่ใบนั้นและซึมซาบเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเฉินเฟิง
เมื่อพลังิญญาไหลเวียนจนทั่วร่างของเขา จุดคอขวดที่เขาเพียรพยามแทบตายแต่ก็ไร้วิธีทะลวงผ่าน กลับถูกพลังิญญาดังกล่าวทะลวงผ่านไปอย่างง่ายดาย ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ในเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหนึ่งสมใจปรารถนา
“ทะลวงผ่านแล้ว ข้าบรรลุเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหนึ่งได้แล้ว อย่าบอกนะว่าไข่โลหิตในห้วงจิติญญาคือจิตอสูรของข้า?”
เยี่ยเฉินเฟิงฉีกยิ้มเจื่อนๆ เขาไม่คิดเลยว่าจิตอสูรที่เขาทุ่มเทก่อร่างสร้างมาแทบตาย จะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ มันเป็เพียงแค่ใข่ใบหนึ่งก็เท่านั้น
“แล้วตกลงเ้านี่เป็ไข่อะไรล่ะ?” คิดไปคิดมา ในใจของเขาก็เปี่ยมไปด้วยการรอคอย...
---------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
