เขาฉีหวนอยู่ห่างจากเมืองโซ่วหลิงออกไปกว่าสองร้อยลี้ เป็ูเาศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังิญญาที่อุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีพลังิญญามากมาย จึงนับว่าเป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้บ่มเพาะเต๋าในใต้หล้าปรารถนา เมื่อหลายร้อยปีก่อนมีการสร้างวัดวาอารามทั้งใหญ่และเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อแรกเริ่มราชวงศ์ซีเฉียนก็สร้างอารามเต๋าขึ้นในที่แห่งนี้ซึ่งูเาทางตอนเหนือ มีพลังิญญาบริสุทธิ์ที่สุดจากยอดเขาถึงเชิงเขา วัดวาอารามเล็กๆ ทำได้เพียงยอมถอยออกไปเท่านั้น จนถึงตอนนี้ ูเาลูกนี้กลายเป็สถานที่เอื้อมไม่ถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
คืนนั้น ภายในอารามเต๋าอันงดงามที่ตั้งอยู่บนยอดเขาทางเหนืออย่างเขาฉีหวนมีแสงสว่างวาบในความมืดก่อนปรากฏคนผู้หนึ่ง
เจียงเฉิงเยว่สวมอาภรณ์เต๋าสีดำ กลมกลืนไปกับยามค่ำคืนพอดิบพอดี จากนั้นเงยหน้ามองกลุ่มอาคารที่มืดมิดในยามราตรี ไม่มีรอยยิ้มขี้เล่น เขาค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เขาเดินไปยังอารามเต๋าเพียงไม่กี่ก้าว สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือป่าผลซิ่งจื่อ1 เวลานี้คือ่ฤดูร้อน ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยต้นไม้โบราณราวกับเมฆดำ ผลซิ่งจื่อสีทองจำนวนมากกลิ้งออกมาจากเมฆเป็ครั้งคราวด้วยสายลม
ในใจของเจียงเฉิงเยว่ทั้งเสียใจและมีความสุข จากนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกออกมา เขาเพียงแค่พลิกตัวแล้วบินขึ้นไปบนกิ่งไม้ นั่งบนกิ่งไม้และเด็ดมันออกมาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด มือหนึ่งถือมันไว้ในอ้อมแขน อีกมือหนึ่งนำมาเช็ดบนเสื้อผ้าอย่างลวกๆ แล้วส่งเข้าปาก
ในความหวานหอมมีรสอมเปรี้ยวอยู่เล็กน้อย
กว่าร้อยห้าสิบปี...
ยามแรกเพียงยื่นมือออกไปก็จับได้ตาม้า ไม่คาดคิดว่ายามนี้จะเติบโตได้สูงเสียดฟ้าเช่นนี้
หลังจากกินอยู่หลายลูกติดต่อกัน แม้เข้าปากรสชาติจะหวาน แต่หลังกินจนเพียงพอแล้วอดไม่ได้ที่จะเข็ดฟันอยู่บ้าง จึงเลิกละแล้วเด็ดมาเพิ่มอีก นำใส่ไว้ในถุงเฉียนคุนที่แขนเสื้อก่อนเก็บอย่างระมัดระวัง
เมื่อกินผลซิ่งจื่อแล้ว เขาถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีสิ่งที่สําคัญกว่าซึ่งต้องทําในการเดินทางครั้งนี้
หลังจากพลบค่ำ อารามเต๋าเงียบสงัดไร้เสียงผู้คน เจียงเฉิงเยว่กลั้นหายใจเล็ดลอดเข้าไปในยามค่ำคืน ใช้เวลาไม่นานมาถึงวิหารหลิงเซียวซึ่งเป็วิหารหลัก เมื่อผ่านเข้ามาเจียงเฉิงเยว่จึงรู้สึกประหลาดใจ วิหารยังคงเป็วิหารนั้นดังเดิม แต่ป้ายคำขวัญที่แขวนอยู่หน้าวิหารถูกเปลี่ยนเป็ศาลบรรพชนเจาอู่
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว ก่อนถือโอกาสที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ ผลักประตูวิหารออก เห็นเพียงภายในวิหารว่างเปล่า เทวรูปดั้งเดิมไม่อยู่อีกแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?
่เวลานี้ประดิษฐานผู้ใดไว้ในที่แห่งนี้่? เหตุใดไม่มีแม้แต่รูปปั้นกัน?
“เจา...อู่...” เขาเอ่ยพึมพำกับตนเองสองครั้ง ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าสองคำนี้ช่างคุ้นหูจริง เป็เซียนจวินองค์ใดในแดน์ที่มีตัวอักษรสองตัวนี้ในนามหรือ?
หลังจากครุ่นคิดอยู่นานก็ไร้ประโยชน์ เขาไม่ใส่ใจอีก เจียงเฉิงเยว่จึงก้าวผ่านวิหารหลัก ตรงไปตามเส้นทางในความทรงจำ มุ่งหน้าไปยังเรือนรับรอง
ร้อยกว่าปีผ่านไป สถานที่นี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโดยรวมมากนัก ทำให้รู้สึกใจหายอยู่เล็กน้อย
สายเกินไปที่จะระลึกถึงอดีตที่สิ่งของยังอยู่แต่คนไม่มีอีกต่อไป ในไม่ช้าเขามาถึงอาคารเล็กที่คุ้นเคยในเรือนรับรอง ดอกอวี้หลาน2 กับดอกชบาที่ปลูกนอกหน้าต่างแกะสลักขนาดเล็กกำลังบานสะพรั่ง เขาเปิดหน้าต่างอย่างคุ้นเคยแล้วเดินเข้าไป ทว่าหลังจากเห็นว่าทั้งห้องสะอาดสะอ้าน รูปแบบ เครื่องใช้ แม้แต่เครื่องนอนกับธูปที่จุดอยู่ในเตาสัตว์มงคลสีทองยังคงเหมือนกับก่อนหน้านี้ทุกประการ จึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจขึ้นมา
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง ทันใดนั้นราวกับเวลาร้อยกว่าปีเพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น เป็ไปได้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นแล้วไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่อีก? เขาอดที่จะคิดไม่ได้
หากกล่าวโดยรวมแล้ว เขาเถลไถลอยู่ในโลกนี้มานานเกินไปจริงๆ ความทรงจำใน่ปีแรกดูเหมือนจะเลือนหายไปเป็ระยะๆ มีเพียงบางสถานการณ์และสถานที่ที่ประทับใจอย่างลึกซึ้งมากเท่านั้นที่ทุกค่ำคืนจะฝันถึงและตามติดเขาอย่างไม่รู้จบ อารามเต๋าแห่งนี้ อาคารเล็กหลังนี้ และห้องนอนห้องนี้...คือหนึ่งในนั้น
ทว่าขณะนี้เขาได้กลับเข้าสู่ความเป็จริงอีกครั้ง ใจพลันรู้สึกราวกับว่าพวกมันกำลังรอคอยเขาอยู่อย่างเงียบงัน เผยให้เห็นความอ้างว้างและความเศร้าเล็กน้อย เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ จากนั้นรีบเดินผ่านห้องนอนแล้วผลักเข้าไปยังห้องถัดไป
ห้องนี้ยังคงเป็ห้องนอนอีกห้องหนึ่ง การตกแต่งเหมือนกับก่อนหน้านี้อยู่มาก แต่ของข้างในถูกย้ายออกไปจนว่างเปล่า ไม่มีเครื่องนอนบนเตียง ไม่มีการจุดธูปในเตาธูป เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เขารีบส่งพลังิญญาไปสำรวจ ได้รับปฏิกิริยาบางอย่างจากค่ายกลจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก พูดเสียงแ่เบา “ยังดีที่ค่ายกลยังคงอยู่”
เขาพลิกตัวแล้วะโขึ้นไปบนคานทันที ยื่นมือออกไปที่ใดสักแห่ง แต่สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็อย่างยิ่ง ฝ่ามือของเขาว่างเปล่า เขาคว้าในสิ่งที่เขาคาดหวังไม่ได้ เจียงเฉิงเยว่เร่งรีบพลิกหาทุกซอกทุกมุมของห้องในอาคารเล็กนี้อย่างละเอียด แต่ผลลัพธ์กลับไม่พบสิ่งใด
ค่ายกลยังคงอยู่ แต่อาวุธวิเศษที่เขาให้กดทับค่ายกลเอาไว้กลับไม่อยู่แล้ว
เจียงเฉิงเยว่ตะลึงไปชั่วขณะ อาหังค้นพบมันหรือ? ถูกอาหังนำออกไปแล้วหรือไร?
คำถามที่เขาไม่กล้าที่จะคิดใน่ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ยามนี้เอ่อล้นออกมา ไม่มีประโยชน์ที่จะหลบหนีอีกต่อไป อาหังเป็อย่างไรบ้างหลังจากนั้น? ไปที่แห่งใด? ใช้ชีวิตอย่างไร? ได้พบคนที่ชอบหรือไม่? อาจจะมีทายาท...จะยัง...จำเขาได้ เคยคิดถึงเขาหรือไม่กัน?
ดวงตาของเจียงเฉิงเยว่นั้นเศร้าหมองราวกับถูกเฉือนด้วยมีด เขาถอนหายใจสั้นบ้างยาวบ้าง3 จากนั้นเดินกลับไปที่ห้องก่อนหน้านี้ที่เคยเป็ของเขาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน นั่งอย่างเหม่อลอยบนเตียงในความมืดราวกับรูปปั้นอย่างไรอย่างนั้น
เป็เวลานานที่เขาหัวเราะเยาะตนเอง ทำไมถึงคาดหวังให้อาหังจำเขาได้? ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัยอยู่ในสถานที่ที่เขามองไม่เห็น...นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขา้าหรอกหรือ?
เจียงเฉิงเยว่สลัดความเ็ปในใจอย่างสิ้นหวัง จดจ่ออยู่กับการคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป? ณ ตอนนี้เขามีเพียงสองทางเลือก แย่งหยกชิ้นเดิมคืนจากพวกไป๋เจ๋อจวิน หรือไม่ก็...อาจถึงเวลาแล้วสำหรับเขา...ที่ควรไปสอบถามสักหน่อยเกี่ยวกับสถานการณ์ของเด็กคนนั้น
ฉิงชางจวินกำลังเศร้าอยู่ในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ฤดูแล้วฤดูเล่า4 ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา เขาใอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว พลิกตัวแล้วผลักหน้าต่างะโขึ้นไปบนต้นไม้ที่นอกหน้าต่าง ต้นไม้ส่งเสียงเบาๆ ก่อนที่ร่างของเขาจะซ่อนอยู่ในใบไม้
อย่างไรก็ตาม ฟ้าไม่เป็ใจ เขายังคงถูกค้นพบ
ศิษย์ผู้พิทักษ์ศาลบรรพชนสองคนในชุดที่ดูธรรมดาถามด้วยความประหลาดใจ “เป็ผู้ใด!”
เจียงเฉิงเยว่เตะเท้าเบาๆ ร่างของเขาะโขึ้นไปยังทางเดินในสวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว ศิษย์ทั้งสองคนจากด้านหลังะโพร้อมไล่ตามอย่างไม่ลดละ
“หยุดนะ!”
“เ้าหัวขโมย! กล้าดีอย่างไรถึงลอบเข้ามายังศาลบรรพชนเจาอู่? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่จงใจนำพวกเขา เขาหัวเราะแ่เบาพลางะโขึ้นไปบนหลังคา ทว่าเห็นศิษย์ทั้งสองนั้นลุกขึ้นพร้อมคว้าดาบไล่ตามมาต่อสู้อยู่พักหนึ่ง นับแต่ต้นจนจบกลับไม่ยอมยืนบนหลังคาเหมือนกันกับเขา
เจียงเฉิงเยว่ไล่ตามไปต่อสู้ ขึ้นลงๆ อยู่หลายครั้ง เท้าของเขาถึงหยุดนิ่ง แผ่นกระเบื้องที่เหยียบส่งเสียงดัง ‘แกร๊ก’
ศิษย์ทั้งสองถูกทำให้ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง โกรธจนหน้าแดงก่อนตวาดอย่างโกรธแค้น “เ้าหัวขโมย! ตามกฎของราชวงศ์ หากแตะต้องกับต้นไม้ใบหญ้าหรือกระเบื้องทุกชิ้นในศาลบรรพชนเจาอู่ ให้สังหารโดยไม่ละเว้น!!!”
“เอาชีวิตมา!!!”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะในขณะที่ต่อสู้ “ยังมีกฎที่ไร้สาระเช่นนี้...ไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยกระมัง?”
ต้องบอกว่าการบ่มเพาะของศิษย์ผู้พิทักษ์ศาลบรรพชนสองคนนี้ค่อนข้างดีจริงเชียว ถึงอย่างนั้น ต่อให้เขาย่ำแย่เช่นไรก็ไม่ถึงขั้นจัดการกับศิษย์น้อยสองคนนี้ไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน เจียงเฉิงเยว่นำบ่วงพันธนาการเซียนที่เขาเคยใช้ในสวนฟางชิ่นมาก่อนจัดการกับศิษย์น้อยทั้งสอง มัดไปทั่วร่างนั้นอย่างแ่า
ศิษย์ทั้งสองล้มลงกับพื้น ก่อนที่ดาบิญญาจะตกลงไปด้านข้าง กลายเป็หนอนผีเสื้อที่ดิ้นพล่านไปมา
หัวใจของเจียงเฉิงเยว่เต้นแรง คิดว่าหากเขา้าหาใครสักคนเพื่อสอบถามเกี่ยวกับอาหัง สองคนนี้จึงเป็ตัวเลือกที่ดีในยามนี้ หากถูกส่งมาเพื่อดูแลศาลบรรพชน ย่อมควรทราบประวัติของอารามเต๋าแห่งนี้ชัดเจนกว่าคนอื่นๆ กระมัง?
หลังคิดได้เช่นนี้ เขาทรุดตัวลงนั่งยองตรงหน้าศิษย์น้อยทั้งสอง
แม้ว่าศิษย์น้อยทั้งสองจะถูกมัดไว้กลับไม่ยอมจำนนยังคงก่นด่าต่อไป อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้ได้รับการศึกษาที่ดีั้แ่ยังเด็ก ถ้อยคำที่พูดไม่หยุดในปากนั้นคือเป็ ‘เจตนาร้ายที่แอบแฝง’ กับ ‘ซ่อนเจตนาร้าย’ เจียงเฉิงเยว่ฟังถ้อยคำด่านั้นราวกับลมพัดเข้าหูก็ไม่ปาน
หลังจากเจียงเฉิงเยว่ปิดหูและลงไปนั่งยองๆ คนหนึ่งให้รางวัลคนหนึ่งะเิเกาลัด5 “นี่มันก็ดึกแล้ว จะเสียงดังครึกโครมไปทำไม?”
น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจในดวงตาสีแดงของศิษย์น้อยทั้งสองหลั่งลงมา พวกเขาด้อยกว่าผู้อื่นจริง และท่าทางการกัดริมฝีปากนั้นทำให้เขารู้สึกเวทนาเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้มบอก “น้องชายทั้งสองอย่าแตกตื่นไป...ข้าขอถามอะไรเ้าพวกเ้าสักเื่ ถามจบแล้วข้าจะไป พร้อมรับประกันว่าจะไม่แตะต้องที่แห่งนี้...” เขาที่คิดจะพูดว่า ‘ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น’ ทันใดนั้นกลับนึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งขโมยผลซิ่งจื่อไปกำมือใหญ่จึงรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อย จึงข้ามเื่นี้ไปแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “ใช่แล้ว ที่นี่กลายเป็ศาลบรรพชนเจาอู่ได้อย่างไร?”
ศิษย์น้อยทั้งสองสบตากันอย่างุนงงเป็เวลานาน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดอย่างโกรธเคือง “เดิมทีที่นี่คือศาลบรรพชนเจาอู่อยู่แล้ว!”
อีกคนพูดต่อ “ถูกต้อง เป็มาตลอด!”
โอ้ ดูเหมือนว่าที่วิหารหลิงเซียวเปลี่ยนเป็ศาลบรรพชนเจาอู่จะผ่านมาหลายปีแล้ว แม้แต่คนรุ่นหลังก็ไม่รู้เื่ที่มันเคยเป็วิหารหลิงเซียวมาก่อน ไม่แปลกใจที่ตอนเขาสอบถามวัดวาอารามเล็กๆ เ่าั้ที่เชิงเขาก่อนหน้านี้พวกเขาถึงได้งุนงงกัน เขาพลันหมดหนทาง เพราะเวลาผ่านมานานเกินไปจนเขาจำทางไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าจะขึ้นเขาได้อย่างไร นี่กลับบังคับให้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังิญญาอีกครั้งอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาแทน
“ชิ” เจียงเฉิงเยว่ปวดศีรษะขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงศาลบรรพชนเจาอู่ เขากลับนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาอีกครั้งจึงรีบถาม “ศาลบรรพชนเจาอู่ของพวกเ้าประดิษฐานเซียนจวินองค์ใดไว้?”
ทั้งสองสบตากันอย่างตกตะลึง หลังจากนั้นใช้สายตาที่เหมือนกับมองคนโง่เง่ามองมาที่เขาโดยพร้อมเพรียง เอ่ยอย่างอับจนหนทาง “ศาลบรรพชนเจาอู่ แน่นอนว่าที่ประดิษฐานอยู่คือจักรพรรดิเจาอู่!!!”
จักรพรรดิเจาอู่? รู้สึกราวกับว่าเคยได้ยินจากที่ใดอยู่เสมอ? แต่เขาไม่มีเวลาให้คิดอย่างละเอียดถึงขนาดต้องใส่ใจว่าเป็ศาลบรรพชนเจาอู่หรือวิหารหลิงเซียว เขามุ่งไปที่หัวข้อหนึ่งแล้วสอบถาม “เป็เช่นนี้เอง น้องชายทั้งสอง เคยได้ยินหรือไม่ว่าภายใต้จักรพรรดิิจงในราชวงศ์ปัจจุบัน เคยมีองค์ชายสองพระองค์มาฝึกฝนในที่แห่งนี้ี่?”
ศิษย์น้อยทั้งสองสบตากันแล้วหันกลับมามองเขาอย่างสงสัยเล็กน้อย เป็เวลานาน หนึ่งในนั้นถึงค่อยๆ เปิดปากพูด “เ้ากำลังพูดถึงองค์รัชทายาทแห่งจักรพรรดิจวงเซวียน องค์ชายเฉินกับจักรพรรดิเจาอู่ใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะแล้วตอบ “ทำไมพวกเ้าถึงยังไม่เลิกกล่าวถึง ‘จักรพรรดิเจาอู่’ เช่นนี้เล่า...จักรพรรดิจวงเซวียนคือผู้ใดอีก? ที่ข้าพูดถึงคือโอรสพระองค์โตของจักรพรรดิิจง หลี่อวิ๋นเฉินกับองค์ชายห้า...” เมื่อกล่าวไปเพียงครึ่ง เขากลับนิ่งไปทันใด สำหรับจักรพรรดิผู้ล่วงลับมักจะเรียกขานด้วยพระราชสมัญญานาม6 จวงเซวียนคือพระราชสมัญญานามของิจงไม่ใช่หรือ? ถ้าเช่นนั้นแล้ว…
เจียงเฉิงเยว่พลันรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ เขาเบิกตากว้างอย่างเงียบงัน หันไปหาศิษย์น้อยทั้งสองจนเกือบจะสั่นสะท้านแล้วถามอีกครั้ง “จักรพรรดิเจาอู่ที่พวกเ้ากล่าวถึง...หรือ หรือว่า...หมายถึงโอรสองค์ที่ห้าของจักรพรรดิิจง หลี่อวิ๋นหัง?
ศิษย์น้อยทั้งสองจ้องเขาด้วยความงงงวยอยู่บ้าง เป็เวลานานถึงค่อยๆ พยักหน้า
เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอารมณ์ของตนเองในเวลานี้อย่างไร ใ ยินดี ขื่นขม เสียดาย กลัว...หรือว่า...ทั้งหมด สิ่งเดียวที่เขารู้คือความคิดของเขาว่างเปล่าอยู่นาน
เมื่อเห็นเขาตกตะลึงอยู่นาน ใบหน้าซีดเซียว มีท่าทางจริงจัง ศิษย์น้อยทั้งสองกังวลขึ้นมาเล็กน้อย หนึ่งในนั้นก็ถามว่า “ผู้าุโ...ท่านนี้? ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ใช้เวลานานกว่าจะรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งของตนเองอีกครั้ง เขาก้มศีรษะลงยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นเงยหน้าที่ไร้สีเืมองไปที่ศิษย์น้อยทั้งสอง สอบถามด้วยรอยยิ้ม “เล่าเื่เกี่ยวกับจักรพรรดิเจาอู่ให้ข้าฟังหน่อยสิ”
------------------------
[1] ผลซิ่งจื่อ หมายถึง แอปริคอต
[2] ดอกอวี้หลาน หมายถึง ดอกแมกโนเลีย
[3] ถอนหายใจสั้นบ้างยาวบ้าง เป็สำนวน หมายถึง ใช้บรรยายถึงลักษณะของผู้ที่มีท่าทีกลัดกลุ้ม
[4] เศร้าอยู่ในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ฤดูแล้วฤดูเล่า เป็สำนวน หมายถึง จมปลักอยู่ในความเศร้าโศก
[5] คนหนึ่งให้รางวัลคนหนึ่งะเิเกาลัด หมายถึง โหวกเหวกโวยวาย
[6] พระราชสมัญญานาม หมายถึง พระนามของจักรพรรดิที่ได้รับหลังสิ้นพระชนม์แล้ว