ถึงเวลารับประทานอาหาร ซ่งมู่ไป๋ชะงักก่อนจะเอ่ยอย่างปวดใจ เมื่อพบว่าบนโต๊ะไม่เพียงมีหมูน้ำแดง แต่ยังมีหมูต้มอีกหนึ่งจาน “โม่โม่ เธอทำเนื้อสองจานแบบนี้ไม่เปลืองไปเหรอ”
“พี่ซ่ง ฉันรู้ว่าพี่ชอบกินเนื้อก็เลยทำให้กินสองอย่างสองรสชาติค่ะ” เซี่ยโม่ตอบอย่างไม่คิดมาก
“ลำบากโม่โม่แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มอย่างตื้นตันใจ
“พวกเราเป็คนครอบครัวเดียวกัน อย่าถือสาเื่เล็กน้อยแค่นี้เลยค่ะ” เซี่ยโม่ตอบกลับอย่างใจกว้าง
ชาติที่แล้วเธออยู่ในแวดวงนักธุรกิจ คนแบบไหนไม่เคยเจอบ้าง ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเกาะขาทองคำขานี้ เธอก็ต้องพูดจากับอีกฝ่ายให้ดีให้หวานเข้าไว้
ด้วยกลัวว่าอาจารย์จะเผลอหลุดปากว่าเป็คนอยากกินหมูน้ำแดงเอง เธอเลยหันไปส่งสัญญาณบอกผ่านสายตา ชายชราเข้าใจสิ่งที่เซี่ยโม่สื่อจึงไม่พูดอะไรออกมา ทำเพียงแค่ส่งยิ้มคล้ายยืนยันให้เธอได้วางใจ
ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาซ่งมู่ไป๋ เขามองศิษย์อาจารย์ที่ลอบส่งสายตาให้แก่กันพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มรู้ดีว่าคุณปู่จ้าวหาใช่คนหน้าไม่อาย แต่พอเห็นทั้งสองคนใกล้ชิดสนิทสนมกัน ในขณะที่เวลาเด็กสาวอยู่กับเขามักจะออกท่าเกรงอกเกรงใจ เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดเคือง
ซ่งมู่ไป๋ไม่ชอบรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตายามเด็กสาวยิ้มให้เขา แล้วก็ไม่ชอบคำประจบที่เด็กสาวพูดเพื่อเอาอกเอาใจ เขาอยากให้เด็กสาวจริงใจต่อกัน เขาอยากเป็ส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้จริงๆ
เขาเก็บความน้อยใจนี้กลับคืนลงท้องแล้วกล่าวชมอาหารฝีมือเด็กสาวว่าอร่อย ไม่ว่าจะกับข้าวจานผักหรือจานเนื้อ รสชาติล้วนไม่เลวทั้งสิ้น
ทุกคนร่วมมื้ออาหารด้วยกันอย่างมีความสุข หลังจากท้องอิ่มเซี่ยโม่จึงทำการวัดตัวโดยเริ่มจากคุณปู่จ้าวก่อนเป็คนแรก
ขณะกำลังจะวัดตัวให้ซ่งมู่ไป๋ ชายหนุ่มกลับใบหน้าแดงก่อนจะเอ่ยอย่างเขินอาย “ทุกคนอย่ามองผมสิ ผมทำตัวไม่ถูก”
เซี่ยโม่ถามอย่างประหลาดใจ “พี่ซ่ง ั้แ่เด็กจนโต พี่ไม่เคยให้ใครวัดตัวเลยเหรอคะ”
ชายหนุ่มผงกศีรษะ ใบหน้ายังคงขึ้นสีแดงไม่หาย “ไม่เคยมีใครวัดตัวให้ฉันจริงๆ ตอนเด็กเวลาคุณย่าตัดชุดท่านไม่เคยวัดเลย ดูแค่ว่าฉันตัวสูงเท่าไรตัวหนาประมาณไหนแค่นั้น”
มีเื่ราวนะนี่!
เหล่าจ้าวลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยอย่างรู้ความ “โม่โม่ วันนี้ฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว งั้นฉันกลับก่อนนะ”
“พวกเราจะไปรดน้ำพรวนดินที่สวนสักหน่อย ถือเป็การย่อยอาหารไปในตัวด้วย” สองสามีภรรยาพร้อมใจกันลุกตาม
“พวกเด็กข้างนอกกลับไปกินข้าวที่บ้านกันหมดแล้ว งั้นเดี๋ยวผมไปเฝ้ารถให้แทนนะครับ” เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยอ้างบ้าง จากนั้นก็วิ่งออกไป
หลังจากทุกคนออกไปกันหมด เธอหันไปยิ้มให้ชายหนุ่ม “พี่ซ่ง ตอนนี้จะวัดตัวได้หรือยังคะ”
“ทำให้เธอหัวเราะแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มเก้อเขิน
เซี่ยโม่ส่ายศีรษะ “ไม่หรอกค่ะ เื่เล็กน้อยแค่นี้เอง เื่นี้ทำให้พี่คิดถึงคุณย่าใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ฉันโตมากับคุณย่าน่ะ คุณย่ามักจะตัดชุดให้ฉันบ่อยๆ แค่เห็นก็รู้ว่าขนาดตัวฉันเท่าไร แต่น่าเสียดายที่ท่านจากไปเมื่อหลายปีก่อน”
เธอนึกขึ้นมาได้ว่า ผู้หญิงในยุคนี้มักจะชำนาญการเย็บปักถักร้อย แต่มีเื่หนึ่งที่เธอนึกสงสัยคือ เหตุใดชายหนุ่มไม่เห็นพูดถึงมารดาเลยสักครั้ง
เธอไม่กล้าถามเพราะเกรงว่าประเด็นครอบครัวอาจเป็เื่ต้องห้ามสำหรับชายหนุ่ม เกิดเขาไม่ให้เธอเกาะขาทองคำขึ้นมาจะทำอย่างไร แบบนั้นแม้แต่เพื่อนก็คงไม่ได้เป็
ชายหนุ่มเก่งกล้าทั้งยังมีที่มาไม่ธรรมดา เธอต้องผูกมิตรเอาไว้ให้ดี
การจะหาจักรเย็บผ้าสักตัวในยุคนี้เป็เื่ยาก ชาติที่แล้วแม้เธอจะชอบพวกเสื้อผ้า เคยเรียนและตัดเย็บชุดด้วยจักรมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สันทัดงานพวกนี้อยู่ดี
ได้
เซี่ยโม่นำสายวัดมาใช้วัดตัวให้ชายหนุ่ม ครั้นถึงตำแหน่งเอวเธอยื่นแขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง
กลิ่นหอมหวานจากตัวเด็กสาวพลันกระทบปลายจมูก ่เวลานั้นสมองของซ่งมู่ไป๋ขาวโพลนไปชั่วขณะ เขายกมือกอดศีรษะเด็กสาวเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ัันุ่มลื่นทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ
เซี่ยโม่ชะงักไปเมื่อชายหนุ่มคว้ากอดศีรษะของตน ตอนนี้เธอเป็เพียงต้นอ่อนต้นหนึ่ง ไม่มีอะไรน่าดึงดูด
ถึงคุณตาคุณยายจะบอกว่าเธอกับชายหนุ่มเหมาะสมกันมาก แต่เธอกลับไม่คิดเช่นนั้น ด้วยฐานะของพี่ซ่ง สมควรลงเอยกับผู้หญิงที่เหมาะสมและมีฐานะเท่าเทียมกัน
ผู้หญิงอย่างเธอนับว่าห่างชั้นกับเขานัก ทั้งไร้มารดาให้พึ่งพิง เป็ที่รังเกียจของบิดา มีน้องชาย คุณตา และคุณยายเป็ภาระ คนสมองปกติอย่างพี่ซ่งไม่มีทางคิดกับเธอในเชิงชู้สาวแน่นอน ที่ชายหนุ่มมาสนิทสนมกับเธอก็เพราะ้าความอบอุ่นจากครอบครัวเท่านั้น
ถึงเซี่ยโม่จะคิดเช่นนี้ แต่สองแขนของชายหนุ่มที่กำลังกอดศีรษะของเธออยู่มันหมายความว่าอย่างไร?
เธอถอยหลังออกมา พอรับรู้ได้ว่าในอ้อมแขนว่างเปล่า ซ่งมู่ไป๋ชะงักไปชั่วครู่
เด็กสาวยังเด็ก นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย
เขาสบตากับอีกฝ่าย สายตาของเด็กสาวมองมาที่เขาอย่างเคลือบแคลง ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกอายอย่างยิ่ง รีบอธิบายแก้ตัวเป็พัลวัน “เมื่อกี้ไม่รู้เป็อะไร จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา โชคดีที่ได้เธอช่วยพยุง ไม่งั้นฉันได้ล้มลงไปกองกับพื้นแน่”
เซี่ยโม่นึกว่าคือเื่จริง วันนี้ชายหนุ่มขับรถพาเธอไปนู่นไปนี่ ไม่แปลกหากจะรู้สึกเหนื่อยล้า
เธอรีบวัดส่วนอื่นต่อ เรียบร้อยแล้วก็กล่าวอย่างเกรงใจ “พี่ซ่ง วันนี้พี่คงจะเหนื่อยแย่แล้ว นอนพักสักหน่อยดีไหมคะแล้วค่อยกลับ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า กลัวว่าเด็กสาวจะเกิดภาพจำไม่ดี อีกทั้งเขายังมีธุระที่ต้องไปทำอีก “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเดี๋ยวกลับเลยดีกว่า ฉันยังต้องเอารถที่ยืมมาไปคืนอีก แล้วก็อย่าลืมนะ วันจันทร์เก้าโมงเช้าเจอกันที่หน้าโรงเรียน ไม่เจอไม่กลับ”
“ค่ะ”
หลังจากมองส่งจนชายหนุ่มขับรถหายลับไปจากสายตา เซี่ยโม่ถือผ้ากับตัวเลขที่ได้จากการวัดตัวเดินไปหาภรรยาของผู้ใหญ่บ้าน
หลังจากบอกลักษณะเสื้อผ้าที่อยากได้อย่างละเอียด เธอก็เดินกลับบ้าน เพิ่งย่างเท้าเข้ามาในบ้าน เสี่ยวเฮยก็วิ่งเข้ามาหา พร้อมทั้งใช้หัวดุนดันขาเธออย่างออดอ้อน
เธอก้มตัวแล้วลูบหัวมัน “ไปเล่นเถอะ พรุ่งนี้ฉันไม่ลืมให้นมแกแน่นอน”
ราวกับเสี่ยวเฮยฟังรู้เื่ มันวิ่งไปเล่นกับน้องชายของเธอทันทีหลังพูดจบ
เซี่ยโม่หยิบหนังสือเรียนออกมา เธอวางแผนว่าหลายวันต่อจากนี้จะตั้งใจอ่านหนังสือ เพื่อทำคะแนนออกมาให้ดีและสอบข้ามระดับให้ได้ ไม่เช่นนั้นเธอคงจะเสียหน้าแย่
ใช้เวลาอ่านหนังสืออยู่หลายชั่วโมงจนกระทั่งท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท
“ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว หลายวันต่อจากนี้หนูกะว่าจะอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านค่ะ” เธอปรึกษาเื่นี้กับคุณตาคุณยาย
“โม่โม่ ตอนนี้พวกเรามีเงินแล้ว หลานไม่จำเป็ต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรอีกแล้ว” พอได้ยินว่าหลานสาวจะไม่ขึ้นไปบนเขาอีก สองสามีภรรยารู้สึกโล่งอกอย่างยิ่ง
“ได้ค่ะ แต่ตอนเช้าหนูว่าจะไปเก็บหญ้าแห้วหมู แล้วค่อยกลับมาอ่านหนังสือที่บ้าน”
“แบบนี้ก็ดี”
กลางดึกขณะที่ทุกคนกำลังนอนหลับ เสียงร้องของเสี่ยวเฮยดังแทรกความเงียบยามค่ำคืน แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่เซี่ยโม่หูไวเลยตื่นขึ้นมา
ั้แ่เอามันกลับมา เธอทำที่อยู่ให้เสี่ยวเฮยนอนนอกตัวบ้าน แต่ไหนแต่ไรมันไม่เคยส่งเสียงร้องกลางดึกเลยสักครั้ง หรือจะมีเื่อะไรเกิดขึ้น?
เซี่ยโม่เปิดประตูออกไปดูอย่างระมัดระวัง อาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์ช่วยในการมองเห็น พบว่าเสี่ยวเฮยกำลังเห่าใส่ประตู
มีคนอยู่ข้างนอกประตูอย่างนั้นหรือ? หรือแม่ของมันมาหา?
โชคดีที่คืนนี้แสงจันทร์ค่อนข้างสว่างจึงมองเห็นในที่มืดได้ไม่ลำบาก ครั้นเปิดประตูออกไปดูกลับไม่เจอสิ่งใด
แปลกเหลือเกิน? เช่นนั้นเสี่ยวเฮยเห่าอะไร? หรือเพราะว่ามันหิว?
เซี่ยโม่หยิบถ้วยสำหรับใส่อาหารของมันโดยเฉพาะออกมา เทนมใส่ลงไปสองถุง มันกระดิกหางไปมาพร้อมทั้งวิ่งเข้ามากิน
นั่นไง มันหิวจริงๆ ด้วย!
เซี่ยโม่วางแผนไว้ว่า ต่อจากนี้เธอจะออกมาเทนมให้มันก่อนเข้านอน มันจะได้ไม่ส่งเสียงร้องกลางดึกอีก
รอจนเ้าลูกหมากินนมเสร็จ เธอก็ชี้ไปตรงที่นอนของมัน “ไปนอนได้แล้วไป”
เสี่ยวเฮยรีบวิ่งกลับไปนอน เธอยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะกลับเข้าบ้านไปนอนต่อบ้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้