โค่วลิ่วตายแล้ว ตายด้วยไม้จิ้มฟันซีกนั้น
ในโลกของคนที่ฝึกวรยุทธ์และโลกของคนที่ไม่อาจฝึกวรยุทธ์อย่างโค่วลิ่วธรณีประตูนั้นไม่เพียงแต่เป็ประตูของโรงจวี้ฉ่าง แต่ยังเป็ธรณีประตูของคนทั่วไปและผู้ฝึกวรยุทธ์อีกด้วยโค่วลิ่วต้องเอาเท้าก้าวผ่านธรณีประตูนี้ไปเท่านั้น จึงจะเข้าไปในโรงจวี้ฉ่างได้นั่นเป็สาเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย
อันเจิงเดินเข้าไปเงียบ ๆแล้วมองไปที่ไม้จิ้มฟัน ไม้จิ้มฟันซีกนั้นดูเป็ไม้จิ้มฟันธรรมดา มันทำมาจากไม้ไผ่ส่วนหน้าของไม้จิ้มฟันมีเืติดอยู่ เืนั้นคงเป็เืของโค่วลิ่ว อันเจิงเดินไปที่ประตูของโรงจวี้ฉ่างเขาหยิบเงินที่อยู่ในเสื้อออกมาประมาณสองร้อยถึงสามร้อยตำลึง แล้วนำเงินทั้งหมดวางไว้ในมือของคนเฝ้าประตู“ข้ารบกวนพวกเ้าซื้อโลงศพสักโลงหนึ่ง แล้วฝากช่วยเก็บศพใส่เอาไว้ก่อนเดี๋ยวตอนข้ากลับข้าจะเอาไปฝังเอง”
คนเฝ้าประตูคนนั้นไม่ตอบอะไรออกมา แต่เมื่อได้สบตากับอันเจิงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเพียงเสี้ยววินาทีเขากลับรู้สึกเหมือนโดนสายตาของอันเจิงกรีดลงไปบนร่างกายของเขาเพียงแค่นั้นเขาก็รีบพยักหน้าทันที เขารู้สึกได้ว่าถ้าเขาปฏิเสธ วินาทีถัดไปความน่าสะพรึงกลัวอาจจะเกิดขึ้น!
อันเจิงในตอนนี้ ถึงแม้จะยังมีพลังไม่มากพอแต่แววตาของเขายังคงมีความเชือดเฉือนอยู่ในนั้น
คนเฝ้าประตูเก็บเงินที่ได้จากอันเจิงไว้ด้วยท่าทางเลิ่กลั่กอันเจิงเดินเข้าไปจนถึงธรณีประตูของโรงจวี้ฉ่าง เขาก้มลงมองที่ธรณีประตูนั้นตอนที่เข้ามาครั้งก่อน เขาไม่ได้สนใจธรณีประตูนี้แม้แต่น้อย ในตอนนี้เขารู้สึกเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมธรณีประตูที่กั้นระหว่างคนธรรมดาและผู้ที่ฝึกวรยุทธ์นั้นถึงได้สูงถึงเพียงนี้อันเจิงคิดถึงขนาดว่า ในเสี้ยววินาทีที่เขาก้าวข้ามธรณีประตูไปจะมีไม้จิ้มฟันลอยมาฆ่าเขาหรือไม่
ดังนั้นเท้าของเขาจึงหยุดที่ธรณีประตูนั้นสักครู่ รู้สึกได้ถึงการท้าทายให้ตัวเขาก้าวเท้าข้ามเข้ามา
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อันเจิงเข้ามาแล้วเห็นหญิงสาวที่ใส่กระโปรงสีม่วงคนนั้น นางมีลักษณะเฉพาะตัวที่ให้ความรู้สึกสนิทใจอย่างแปลกประหลาดแก่ผู้คนที่พบเห็นดูแล้วก็เหมือนกับเป็หญิงสาวเพื่อนบ้านที่อุ้มลูกชายไปอาบแดดข้างนอกอย่างไรอย่างนั้นไม่ได้รู้สึกว่าถูกนางรบกวนแม้แต่น้อย ลักษณะท่าทางของนางให้ความรู้สึกที่ดูสูงส่งทำให้เป็ที่รักใคร่ของเหล่าบรรดาชายหนุ่มเป็จำนวนมาก
“นายตัวเล็กเ้ากลับมาอีกครั้งแล้ว” นางพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
แต่เดิมนั้นนางถือว่าอันเจิงเป็เพื่อนตัวน้อย แต่ตอนนี้ได้เป็นายตัวเล็กแทนแล้วอันเจิงไม่ทราบว่าการเปลี่ยนวิธีเรียกนั้น เป็การแสดงออกว่านางมีท่าทีที่เปลี่ยนไปหรือไม่จากความรู้สึกที่ร้อนผ่าว ก็กลายเป็ร้อนยิ่งกว่า
“ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดี?” อันเจิงถาม
ในระหว่างที่หญิงสาวกระโปรงม่วงพูดอยู่นั้นแม้ว่าผ้าคลุมหน้าจะปิดบังรอยยิ้มของนางอยู่ แต่ก็มิอาจปิดกั้นดวงตาเปื้อนยิ้มของนางได้
“เ้าสามารถเรียกข้าว่า นายตัวใหญ่”
อันเจิงพูดกับตัวเอง “นายตัวเล็กนายตัวใหญ่...ฟังแล้วดูเหมือนกับเป็พี่สาวน้องชายกันเลย”
หญิงสาวกระโปรงม่วงตอบกลับอย่างอ่อนโยน“คนในที่นี้ล้วนเรียกข้าว่า นายหญิงใหญ่หรือไม่ก็นายใหญ่ถ้าเ้ารู้สึกว่าทั้งข้าและเ้าเราต่างมีวาสนาเป็พี่สาวน้องชายกันละก็มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็เื่ที่ไม่ดีอะไร ข้าไม่ได้รังเกียจน้องชายที่แสนวิเศษอย่างเ้าแล้วเ้ารังเกียจพี่สาวคนนี้หรือไม่?”
อันเจิงตอบกลับทันที “รังเกียจ”
หญิงสาวกระโปรงม่วงขมวดคิ้วแล้วจึงถาม“ทำไมเล่า”
อันเจิงตอบอย่างจริงจัง“ถ้าเป็พี่เป็น้องกันแล้ว ก็อาจจะไม่ได้เป็อย่างอื่นน่ะสิ”
หญิงสาวกระโปรงม่วงงงงัน“นี่เ้ากำลังพูดจาแทะโลมข้าหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ เ้าเพิ่งจะรู้ตัวหรือ?”
หญิงสาวกระโปรงม่วงปรับสายตาให้สดใสขึ้น“เ้ารู้สึกหรือไม่ว่าตัวเ้ากำลังแทะโลมเงินของข้าอยู่?”
อันเจิงก้มหน้าลงหลังจากนั้นถอนหายใจออกมายาว ๆ “วาสนา คำนี้ช่างโหดร้าย”
หญิงสาวกระโปรงม่วงรู้สึกว่าอันเจิงดูน่าสนใจเป็พิเศษดังนั้นนางจึงไม่ได้รู้สึกโกรธมากมายอะไร “ข้าไม่ได้พบเจอเด็กที่ดูสนุกสนานแบบเ้ามานานมากแล้วครั้งก่อนข้าเคยเจอเด็กตระกูลซูที่โลกมายาแห่งนี้นี่ล่ะ เด็กคนนั้นดูซุกซนกว่าเ้าสักหน่อยแล้วก็มีพร์มากกว่าเ้าอีกด้วยนะ อายุแค่หกขวบก็ล้างไขกระดูกแล้วอายุเจ็ดขวบก็บรรลุขอบเขตจุติ์ขั้นหนึ่ง อายุได้เก้าขวบก็บรรลุถึงขอบเขตจุติ์ขั้นสามแล้ว”
นางก้มลงแล้วยื่นมือไปลูบที่หัวของอันเจิง “แต่ว่าน่าเสียดายตอนเขาอายุได้สิบขวบ เขาก็ตายเสียแล้ว”
อันเจิงหรี่ตาแล้วจ้องมองไปที่หน้าท้องเรียบเนียนของนาง“ช่างน่าเสียดายจริง ๆ เหลือเวลาอีกสามวันก็จะครบรอบวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดปีของข้าพอดีดูเหมือนว่าข้าจะอายุยืนกว่าเด็กที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่นะชีวิตของคนเราล้วนมีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น ดูทิวทัศน์งดงามตรงหน้าสิดังนั้นการมีชีวิตต่อไปย่อมดีกว่า...นายตัวใหญ่ถ้ามีเื่อะไรก็พูดออกมาตรง ๆเถอะ ความหมายของข้าก็คือพูดออกมาตรง ๆ ได้เลย ถึงแม้ว่าข้ายังเด็กแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่แข็ง”
หญิงสาวกระโปรงม่วงก็ยังคงไม่โกรธ ถ้านางเป็ผู้ชายแล้วมีคนพูดออกมาแบบนี้ก็คงจะตายไปแล้วหลายพันครั้ง แต่ว่านางยังรู้สึกว่าเด็กน้อยอันเจิงคนนี้น่าสนใจถึงแม้จะพูดจาออกมาอย่างไม่มีสมบัติผู้ดี แต่นางก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
“แข็งรึ?”
นางทำตาหยีแล้วจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้เ้าแข็งเพียงพอเสียก่อนแล้วค่อยมาแทะโลมข้าใหม่ ข้าเชื่อในฝีมือของเ้า ต่อไปในภายหน้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้แน่แต่ว่าตอนนี้ เ้ายังไม่ไหว”
นางลุกขึ้นแล้วหันหลังกลับไปเอวของนางยักย้ายส่ายไปมาเล็กน้อย สะโพกกระดกขึ้นพร้อม ๆ กับที่ขาเรียวยาวก้าวเดินมองจากด้านหลัง กระโปรงสีม่วงที่พลิ้วไปมาตามการส่ายเอวของนางนั้น ขับเน้นให้เห็นถึงสะโพกงดงามมองเห็นผิวขาว ๆ รำไรภายใต้กระโปรงตัวนั้น นางตั้งใจทำ! จากนั้นอันเจิงจึงรู้ว่า ตัวเขาเองนั้นได้พ่ายแพ้แก่นางไปเสียแล้วอยากจะแทะโลมนาง แต่กลับโดนนางแทะโลมแทน
“คิดเยอะไปแล้ว”
อันเจิงยิ้มออกมาแล้วจึงเดินขึ้นไปชั้นสองเห็นเฉินเซ่าป๋ายยืนอยู่ที่หัวมุมของตัวตึกดูเหมือนว่าเขาจะเป็เด็กที่ผ่านโลกมามาก และในตอนนี้เขากำลังร้องไห้อยู่
“อันเจิง ตระกูลเฉินไม่มีอีกต่อไปแล้ว” เฉินเซ่าป๋ายพูดขึ้น
อันเจิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพยักหน้า“มิน่าเล่าพวกเขาจึงร้อนอกร้อนใจจะมาฆ่าเ้าเสียให้ได้ น่าจะคิดถอนรากถอนโคนั้แ่แรก”
เพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้นพวกต้าโค่วก็ไม่มีแล้ว ตระกูลเฉินก็ไม่มีอีกแล้ว ในที่สุดแล้วย่านหนานชานเป็ของใครกันแน่ก่อนที่เื่จะเกิดขึ้นไม่มีใครกล้าพูดออกมาบารมีของตระกูลเฉินก็มีตั้งมากอยู่ที่อันเจิงไม่รู้แต่ว่าเื่นี้ก็ทำให้อันเจิงรู้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียวว่า คนที่ทำลายบารมีของตระกูลเฉินได้จะต้องยิ่งใหญ่มากๆ เื่นี้จะเกี่ยวกับบัณฑิตที่ร้านเหล้าของแม่นางเยว่หรือไม่นะ?
“เ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป” อันเจิงถามเฉินเซ่าป๋าย
“ตระกูลเฉินก็ไม่มีแล้วข้าเกรงว่าโรงจวี้ฉ่างจะไม่อนุญาตให้เ้าอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วน่ะสิ”
“พวกเขาอนุญาตให้ข้าอยู่ได้จนถึงพรุ่งนี้เช้าเพราะข้ามอบของที่มีค่าที่สุดของตระกูลเฉินให้ไป พวกเขาให้ข้าอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนข้ามีความ้าที่จะฝึกวรยุทธ์ ข้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะต้องแก้แค้นพวกมันแต่ว่า...ตอนนี้แม้แต่จะแก้แค้นใครข้ายังไม่รู้เลย ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าต้องไม่ยอมบอกข้าเป็แน่ข้ารู้ว่าท่านพ่อท่านแม่ไม่้าให้ข้าแก้แค้นเพราะว่าศัตรูจะต้องแข็งแกร่งเป็อย่างยิ่ง พวกท่านคงไม่อยากจะให้ข้าเป็อะไรไปเสียก่อน”
“เ้าอายุเพียงสิบขวบเท่านั้นก็บรรลุถึงขอบเขตจุติ์แล้วตอนที่ข้าอายุเท่าเ้า ข้ายังฝึกไม่ได้ด้วยซ้ำไป”
“ถ้ายังเป็แบบนี้เ้าก็สมควรตายนัก ถ้าหากเ้าต้องตายจริงๆ ละก็ เ้าสมควรต้องรับผิดชอบเื่จิตใจของบิดามารดาเ้าด้วยด้วยสติปัญญาของเ้า ข้าว่าเ้าจะต้องไปที่จักรวรรดิต้าซีถ้าไปที่นั่นเ้าสามารถไปตั้งหลักที่สถานที่ดี ๆ อย่างสำนักจงเหมินได้และข้าก็อยากให้เ้าลองคิดย้อนไปใน่ที่เ้ายังอายุไม่ถึงสิบขวบตัวเ้าเองนั้นฆ่าคนไปก็มาก แต่เ้าก็ไม่เคยมีความผิด ทั้ง ๆ ที่คนที่เ้ารังแกก็ไม่ใช่คนของเ้าเ้าอย่ามาทำท่าทางเหล่านี้ต่อหน้าข้าอีก เพราะว่าเ้าไม่ได้น่าสงสารเลยสักนิด”
เฉินเซ่าป๋ายอึ้งไปชั่วครู่หลังจากนั้นจึงสูดลมหายใจลึก “ที่เ้าพูดก็ถูก ตัวข้าแข็งแกร่งกว่าคนอื่นดังนั้นแต่ก่อนข้าจึงกดขี่ข่มเหงรังแกคนที่ด้อยกว่า แต่ในตอนนี้คนอื่นแข็งแกร่งกว่าข้าตระกูลเฉินในตอนนี้จึงถูกทำลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สัจธรรมของโลก ไยข้าจะต้องเอะอะโวยวายด้วยอันเจิง เ้ามากับข้าเถอะ ข้ารู้ว่าตัวเ้าเองนั้นจะไปที่แห่งใดที่แห่งนั้นก็คือที่ที่จะทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างไรเล่า ที่แห่งนั้นจะต้องเป็สถานที่ที่คนอื่นไม่รู้อย่างสำนักจงเหมินเท่านั้นและจะต้องเป็เพราะว่าท่านพ่อท่านแม่ข้ารู้เื่ความลับนี้แน่ ๆตระกูลเฉินของข้าจึงถูกทำลายในวันนี้”
“พวกมันถามท่านพ่อท่านแม่ข้าว่าสำนักจงเหมินนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ว่าพวกท่านยืนกรานที่จะไม่ตอบพวกมันเพื่อตอบแทนที่ท่านพ่อท่านแม่ข้าปกป้องความลับนี้ สำนักจงเหมินจะต้องยอมให้ข้าเข้าเรียนที่นั่นแน่อันเจิงเ้ามากับข้าเถอะ เพราะในตอนนี้ข้ายังคงรู้สึกเคว้งคว้างเหลือเกิน”
อันเจิงส่ายหัว “ตัวข้านั้นไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้จะไปกับเ้าทำไมกัน? บิดามารดาเ้าสละชีวิตเพื่อให้เ้ามีโอกาสขนาดนี้เ้าควรจะต้องซาบซึ้งในสิ่งที่พวกท่านทำให้กับเ้าสิ...เฉินเซ่าป๋ายตอนนี้ข้ารู้สึกว่าตัวข้าควรจะฆ่าเ้าจริง ๆ แล้ว”
“ข้ารู้ดีในเื่นั้นแต่ว่าข้าควรจะทำอย่างไร? ต้องร้องไห้งั้นหรือ?ข้าก็ร้องไห้ออกไปแล้ว ร้องไห้ไปก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นได้แต่มันกลับทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน ในเมื่อข้าร้องไห้กับเื่ที่ทำร้ายข้าจนถึงที่สุดแล้วเื่นั้นก็คือ่ที่ท่านพ่อกับท่านแม่ข้ากำลังจะตายไหนจะตระกูลของข้าที่ถูกทำลายอีก เื่นี้จะเป็แรงผลักดันที่ทำให้ข้าต้องฝึกวรยุทธ์เพื่อที่จะได้ไม่มีอะไรมาทำร้ายจิตใจของข้าได้อีกต่อไป”
อันเจิงโบกมือพลางพูด “ลาก่อน”
เฉินเซ่าป๋ายยังคงไม่ยอมแพ้“เ้ามากับข้าเถอะ มาเป็องครักษ์ของข้า ข้าขอสัญญากับเ้าขอเพียงข้าเข้าไปในสำนักจงเหมินได้ ถ้าข้าออกมาจากสำนักและวรยุทธ์ของข้าอยู่ในขั้นสูงสุดแล้วจะมีคนมานับหน้าถือตาข้าเป็จำนวนมาก เ้าที่เป็องครักษ์ของข้าก็จะได้รับเกียรติยศเช่นนี้เหมือนกัน”
“เ้าไปเลย!” อันเจิงไม่สนใจ
“นี่เ้าไม่รู้ถึงความปรารถนาดีของข้าเลยหรือ?”
อันเจิงไม่ตอบโต้ใด ๆ อีก แล้วหันหลังกลับไปแต่เฉินเซ่าป๋ายรั้งเขาไว้ “ที่จริงข้ารู้สึกกลัวอยู่บ้าง...แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาก่อนอันเจิง ขอเพียงเ้ามากับข้า ต่อไปนี้ข้าจะมอบรางวัลให้เ้านับไม่ถ้วนเลย ในภายหน้าถ้าข้ามีตำแหน่งใหญ่โตเ้าก็จะได้รับความเคารพจากคนทั้งโลก”
แต่อันเจิงไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปอีก
พวกต้าโค่วไม่มีแล้วตระกูลเฉินก็ไม่มีแล้ว นี่เป็สิ่งที่อันเจิงอยากจะเห็น แต่ว่าเขากลับไม่ได้อะไรจากสิ่งนี้เลยหากมีหยกแห่งิญญาสิบสองก้อนก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงร่างกายของคนได้หนึ่งคนแต่ว่าต้องได้รับการช่วยเหลือจากคนที่บรรลุถึงขอบเขตสุมารุในการล้างไขกระดูกเสียก่อนสำนักจงเหมินมีค่ายกลที่จะทำการล้างไขกระดูกให้กับศิษย์ที่เข้าไปใหม่โดยเฉพาะแต่ว่าเงื่อนไขในการรับศิษย์ของสำนักจงเหมินนั้นเข้มงวดเป็อย่างมากด้วยร่างกายของอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วในตอนนี้ อย่างไรก็เข้าสำนักจงเหมินไม่ได้แน่นอน
“แล้วเ้าจะเสียใจภายหลัง!” เฉินเซ่าป๋ายะโอยู่ด้านหลังของอันเจิง
เมื่ออันเจิงหันกลับไปดูอีกครั้งเขาก็พบว่าผมของเฉินเซ่าป๋ายนั้นได้เปลี่ยนเป็สีขาวเสียแล้ว
ผมขาวั้แ่อายุสิบขวบ ก็คือเฉินเซ่าป๋ายนี่ล่ะ
อันเจิงลงมาจากชั้นที่สอง หลังจากนั้นเขาได้เดินไปที่ข้างหน้าตู้สินค้าที่ห้องโถงใหญ่ มองไปที่ผู้ร่วมงานที่แสนหยิ่งยโส“ข้าขอถามหน่อยว่าจะไปเจอนายตัวใหญ่ได้อย่างไร ข้าอยากจะบอกนางว่าตอนนี้ข้าเสียใจ”
ผู้ร่วมงานคนนั้นอึ้งไปชั่วครู่หลังจากนั้นจึงด่าออกไปประโยคหนึ่ง “เ้าบ้าไปแล้วหรือไง”
อันเจิงมองไปรอบทิศเขารู้ว่านายตัวใหญ่คนนั้นจะต้องแอบมองเขาอยู่อย่างแน่นอนและต้องมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากของนางแน่ ๆ นางรู้มานานแล้วว่าตระกูลเฉินจะต้องถูกทำลายดังนั้นนางจึงตั้งใจปรากฏตัวต่อหน้าเขา นางคงรู้สึกว่าหมากตานี้สนุกไม่น้อยในเมื่อไม่มีตระกูลเฉินอีกต่อไปแล้ว อันเจิงจะต้องเสียใจแน่ที่รีบปฏิเสธนางั้แ่ต้นดังนั้นนางจึงไม่ยอมปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีก นางอยากเห็นอันเจิงมีท่าทีเสียใจ
ชีวิตคนเราก็น่าเบื่อแบบนี้ละนะ ในที่สุดก็ไม่รู้ว่าใครแทะโลมใครกันแน่?
อันเจิงสอดส่องสายตาไปทั่วแต่กลับไม่พบอะไร หญิงสาวกระโปรงม่วงไม่ยอมปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกอันเจิงจึงหันหลังกลับไปด้วยความสิ้นหวัง
ถ้าข้าไม่ได้ทำให้เ้ารู้สึกว่าข้าเสียใจเลยแม้แต่น้อยถ้าเป็อย่างนั้นพวกเ้าก็ฆ่าข้าเถอะ
หลังจากที่อันเจิงออกมาจากโรงจวี้ฉ่างก็มืดค่ำแล้ว
ย่านหนานชานช่างเงียบเหงาเหลือเกินแม้แต่คนเดินไปเดินมายังไม่มี เขาเดินไปถึงหน้าประตูสำนักของพวกต้าโค่ว พบว่าด้านในยังมีตะเกียงจุดอยู่หลังจากนั้นเขาเห็นว่า นอกจากศพของโค่วลิ่วและโค่วปาแล้ว ศพของทุกคนล้วนถูกแขวนอยู่บนกำแพงศพเ่าั้ดูแข็งทื่อไปหมด มุมมืดที่อยู่ภายในห้องนั้นราวกับมีปีศาจนั่งอยู่ สายตาเย็นะเืกำลังจ้องมองมาที่อันเจิง
อันเจิงไม่ได้พบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้เป็ครั้งแรกดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ออกมาจากสำนักต้าโค่วแล้วอันเจิงจึงเดินทางกลับบ้านแต่เขาเห็นว่าบ้านของตัวเองจุดตะเกียงอยู่เช่นกัน จึงเริ่มรู้สึกกังวลอยู่ในใจเพราะตอนที่เขาออกไปนั้นฟ้ายังสว่างอยู่เลยแล้วจะจุดตะเกียงไว้ได้อย่างไร
เมื่ออันเจิงเพ่งมองให้ชัดเจน ก็พบว่ามีคนนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้านและเขากำลังแสยะยิ้มกลับมาให้