เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคม เงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ ของหมี่หลันเยว่และพี่ชายก็มีรายได้ถึงเจ็ดสิบกว่าหยวนแล้ว แผงหนังสือของพวกเขากำลังเป็ที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนที่เคยอ่านหนังสือที่นี่แล้ว ก็ชักชวนเพื่อนใหม่ๆ มาด้วย แน่นอนว่าหมี่หลันเยว่ก็เริ่มลงมือทำตามแผนของเธอแล้วเช่นกัน
เธอบอกให้เด็กๆ ที่ชอบมาอ่านหนังสือการ์ตูนที่นี่ทราบว่า สามารถนำหนังสือการ์ตูนที่บ้านมาแลกเปลี่ยนหนังสือของเธอได้ เพราะหมี่หลันเยว่รู้ดีว่า ถ้าไม่มีหนังสือใหม่ๆ เข้ามา เด็กๆ ที่อ่านหนังสือการ์ตูนเก่าๆ จบแล้ว ก็จะไม่กลับมาที่นี่อีก
ถ้ามีหนังสือใหม่ๆ เข้ามาบ้าง ก็จะสามารถรั้งลูกค้าเก่าเอาไว้ได้ ยังไงซะ หนังสือที่นี่ก็ถือว่ามีค่อนข้างเยอะ แต่การแลกเปลี่ยนนี้จะต้องเข้มงวด ถ้าหนังสือการ์ตูนที่นำมามีคุณภาพหรือเนื้อเื่ไม่ดีเท่าหนังสือของเธอ หมี่หลันเยว่จะไม่แลก
เธอต้องทำให้หนังสือบนแผงของเธอมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แย่ลง ไม่อย่างนั้น ใครจะมาอ่านอีกล่ะ หมี่หลันเยว่แลกเปลี่ยนหนังสือการ์ตูนไปเยอะแล้ว เธอและพี่ชายมีความสุขมาก ทั้งสองคนได้อ่านหนังสือใหม่ๆ และยังได้เงินอีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ
"หนังสือการ์ตูนของเธอเก่าเกินไปจริงๆ คงแลกหนังสือไม่ได้หรอก ขอโทษด้วยนะ"
สำหรับเด็กที่นำหนังสือมาแลกไม่ได้ หมี่หลันเยว่ก็ยังคงสุภาพ เพราะคนที่มาแลกหนังสือได้นั้น ล้วนเป็คนที่รักการอ่าน เธอจึงให้ความเคารพต่อเด็กที่รักการอ่านพวกนี้
เด็กชายที่้าแลกหนังสือคนนี้ ถือหนังสือการ์ตูนในมืออย่างลังเล เขารู้ดีว่าหนังสือที่ถืออยู่นั้นเก่าเกินไป แต่ที่บ้านเขามีหนังสือการ์ตูนอยู่เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น เขาพลิกไปพลิกมาอ่านมันทุกวัน บางครั้งก็ให้เพื่อนยืมอ่านบ้าง ในฐานะที่เป็เด็กผู้ชาย เขาก็เป็คนใจกว้าง ดังนั้นหนังสือจึงขาดค่อนข้างเก่า
"นี่ น้องสาว พวกเรามาตกลงกันหน่อยได้ไหม ฉันไม่แลกหนังสือของเธอก็ได้ แต่ฉันจะยกหนังสือการ์ตูนเล่มนี้ให้เธอแทน แต่ต้องให้เธอให้ฉันยืมหนังสือการ์ตูนสามเล่ม แบบได้ไหม?"
เขามาเช่าหนังสือการ์ตูนที่นี่บ่อยๆ แน่นอนว่าเขารู้ว่าค่าเช่าหนังสือที่นี่คือเล่มละหนึ่งเฟิน
การกระทำของเขา เท่ากับการขายหนังสือการ์ตูนของตัวเองในราคาเพียงสามเฟิน เมื่อเทียบกับสภาพที่ขาดรุ่งริ่งของหนังสือเล่มนี้ ถือว่าเป็การเพิ่มผลประโยชน์สูงสุดแล้ว เพราะหนังสือการ์ตูนเล่มนี้ ตอนที่ซื้อมาก็มีราคาเพียงสี่เฟินเท่านั้น แถมยังเป็หนังสือใหม่ด้วย แต่คำพูดนี้เมื่อได้ยินเข้าหูของหมี่หลันเยว่ กลับทำให้เธอดีใจยิ่งกว่า
การใช้หนังสือแลกกับการเช่า ยังคุ้มค่ากว่าการใช้เงินเช่าหนังสือเสียอีก เพราะยังไงซะ หนังสือเล่มนี้ก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เมื่อนำกลับไปจัดเก็บ ก็ยังเอาออกมาให้เช่าได้ มูลค่าจึงไม่ได้มีเพียงสามเฟินเท่านั้น ทั้งสองคนต่างคำนวณผลประโยชน์ของตนเอง ผลลัพธ์จึงเป็ที่น่าพอใจทั้งสองฝ่าย
"ก็ได้ ในเมื่อพี่อยากอ่านหนังสือขนาดนี้ ฉันก็จะยอมตกลงแล้วกัน"
หมี่หลันเยว่แกล้งทำเป็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางฝืนใจของเธอ เด็กชายก็ยิ่งดีใจอยู่ข้างใน แอบภูมิใจว่ายังไงซะ ก็เป็แค่เด็กผู้หญิง หลอกง่ายจริงๆ
"ขอบคุณน้องสาวมากนะ ที่บ้านฉันยังมีหนังสือการ์ตูนอีกหลายเล่ม เดี๋ยวฉันจะเอามาแลกอีกนะ"
ผูกมิตรกันไว้ก่อน แล้วค่อยเอาหนังสือที่ขาดรุ่งริ่งที่บ้านมาให้เธอ เพราะยังไงซะหนังสือที่บ้านก็อ่านจนเบื่อแล้ว ถ้าเอามาที่นี่ เขาก็จะได้อ่านหนังสือใหม่ๆ มากมาย
"ได้สิ พรุ่งนี้พี่ก็เอามาให้ฉันดูเลยนะ เอามาด้วยกันเลย ฉันจะจดบัญชีไว้ให้ พี่ก็จะไม่ต้องเอาเงินมา จะมาอ่านหนังสือเมื่อไหร่ก็ได้เลย"
หมี่หลันเยว่อยากให้แผงหนังสือของเธอมีหนังสือใหม่ๆ มากขึ้น เธอจึงเร่งให้เด็กชายคนนี้ เอาหนังสือมาให้หมด
"ตกลง พรุ่งนี้ฉันจะเอามาให้ แล้วตอนนี้ฉันอ่านหนังสือได้ไหม"
เมื่อคิดว่าตัวเองสามารถอ่านหนังสือได้โดยไม่เสียเงิน เด็กชายก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
"แน่นอน เลือกเองเลย เลือกมาอ่านทีละเล่ม อ่านจบแล้วค่อยมาเอาเล่มใหม่ ห้ามเอาไปหลายเล่มนะ"
เด็กชายเลือกหนังสือการ์ตูนมาหนึ่งเล่มอย่างเชื่อฟัง แล้วไปนั่งอ่านอยู่ข้างๆ หมี่หลันเยว่ดูแลเด็กคนอื่นๆ ที่มาเช่าหนังสือต่อ
"ทำอะไรน่ะ รีบวางหนังสือลงนะ"
เสียงะโดังลั่นที่ด้านข้าง ทำให้หมี่หลันเยว่ใสะดุ้ง เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นพี่ชายกำลังวิ่งไล่ตามชายหนุ่มคนหนึ่ง นี่ทำให้หมี่หลันเยว่ใไม่น้อย
"พี่ หยุดนะ อย่าตามไป"
หมี่หลันเยว่ะโสุดเสียง กลัวว่าพี่ชายจะไม่ฟังเธอ นั่นมันเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดนะ อย่าว่าแต่พี่ชายจะไล่ตามไม่ทันเลย ต่อให้ไล่ทัน ก็ต้องเสียเปรียบแน่นอน หนังสือการ์ตูนเล่มเดียว มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงชีวิต
โชคดีที่พี่ชายยังฟังเธออยู่ เขาหยุดฝีเท้า แต่กลับยืนอยู่ที่นั่น มองตามแผ่นหลังที่วิ่งหนีไป ก่อนจะหันหลังกลับมา หมี่หลันเยว่มองเห็นอย่างชัดเจนว่า ตัวพี่ชายสั่นเทาเล็กน้อย แทบจะควบคุมความโกรธของตัวเองไม่ได้
"พี่ ช่างมันเถอะ หนังสือการ์ตูนเล่มเดียวเอง ดูสิ เด็กส่วนใหญ่ก็ใจดีทั้งนั้น"
ไม่ว่าจะเป็คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ หรือคนที่กำลังเลือกหนังสืออยู่ ต่างก็พยักหน้าพร้อมเพรียงกัน เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเป็คนใจดี ให้พี่น้องคู่นี้สบายใจ
"เขาหยิบหนังสือการ์ตูนไปสามเล่มแล้ววิ่งหนีไป"
หมี่หลันหยางพูดอย่างขุ่นเคือง เมื่อได้ยินว่าหยิบไปสามเล่ม หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ยังไงซะ ความปลอดภัยของพี่ชายสำคัญที่สุด
"ช่างมันเถอะ วิ่งหนีไปแล้วนี่นา แต่ฉันให้แต่ละคนหยิบได้แค่เล่มเดียวนี่นา แล้วเขาเอาไปสามเล่มได้ยังไง"
หมี่หลันเยว่จำได้ว่า คนที่วิ่งหนีไป เธอก็ให้เช่าหนังสือไปแค่เล่มเดียวเท่านั้น
"เขาแย่งของเด็กคนอื่นไป"
น่ารังเกียจจริงๆ ที่ยังแย่งของคนอื่นด้วย มองดูเด็กชายสองคนที่นั่งยองๆ อยู่กับที่อย่างงุนงง หมี่หลันเยว่รีบเข้าไปปลอบใจ และให้เลือกเล่มใหม่ไปอ่านคนละเล่ม เด็กทั้งสองคนถึงค่อยสบายใจ พวกเขายังกลัวว่าเ้าของร้านจะให้พวกเขาชดใช้ค่าเสียหาย
"คุณตำรวจๆ พวกเขาๆ สองคน โดนขโมยหนังสือไป ช่วยพวกเขาหน่อยสิ น้องคนนี้ใจดีมาก ให้ผมอ่านหนังสือฟรีด้วย"
เป็เด็กชายที่เพิ่งจะตกลงกับหมี่หลันเยว่เื่แลกหนังสือไปเมื่อครู่นี้เอง ตอนนี้เขากำลังดึงชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบตำรวจอยู่
"น้องสาว อย่ากลัวไปเลย นี่คือคุณตำรวจที่เป็ลุงของฉันเอง ให้เขาช่วยเธอ ยังไงก็ต้องจับคนร้ายได้แน่"
เด็กชายรู้สึกว่าเมื่อกี้เพิ่งจะเอาเปรียบน้องคนนี้ไป พอเห็นว่าเธอถูกรังแก ก็อยากจะช่วยเธอสักหน่อย
นี่อาจจะเป็สิ่งที่เรียกว่าฮีโร่โดยธรรมชาติของผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็ผู้ชายหรือเด็กผู้ชาย ก็อยากจะยืนหยัดเพื่อคนอ่อนแอ มันเป็ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็คำพูดได้ มันเป็ความกล้าหาญและความเมตตาที่บริสุทธิ์ที่สุด
"ขอบคุณมากนะ ลำบากพี่แล้วสิ"
ถึงหมี่หลันเยว่จะเสียดายอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะเรียกตำรวจมาเพราะหนังสือการ์ตูนแค่สามเล่ม ยังไงซะ มูลค่าของหนังสือการ์ตูนสามเล่มมันน้อยนิดเกินไป
แต่เธอลืมไปว่านี่คือยุคสมัยไหน คุณตำรวจในยุค 70 นั้นกระตือรือร้นและมีน้ำใจมากแค่ไหน อย่าว่าแต่หนังสือการ์ตูนสามเล่มเลย แม้แต่เงินหนึ่งเฟิน พวกเขาก็จะพยายามไม่ให้ประชาชนต้องรู้สึกสูญเสีย
"ฉันเป็ตำรวจประจำเขตนี้ ชื่อ หลิวชิงเวย นี่คือบัตรประจำตัวของฉัน"
คุณตำรวจหลิวปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เขาแสดงบัตรประจำตัวให้หมี่หลันเยว่และหมี่หลันหยางดูก่อน จากนั้นก็สอบถามรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด และยังถามพยานตัวน้อยๆ ที่อยู่รอบข้าง เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พี่น้องคู่นี้พูดนั้นเป็ความจริง
"ผมก็บอกไปแล้วว่าเื่มันเป็แบบนี้ คุณตำรวจยังไม่เชื่ออีก ถามไปถามมา น่ารำคาญจริงๆ"
เด็กชายที่ไปช่วยหมี่หลันเยว่ตามหาคนมาช่วย รู้สึกไม่พอใจที่ลุงของเขามาแย่งความดีความชอบไป ถ้าน้องสาวรู้ว่าเขาช่วยเธอจัดการเื่ต่างๆ เสร็จแล้ว เธอจะรู้สึกขอบคุณเขามากขึ้นไหม แล้วจะให้เขาอ่านหนังสือการ์ตูนเพิ่มอีกหลายเล่มหรือเปล่า
ความหวังดีของเด็กชายนั้นดีจริงๆ แต่ความเป็จริงนั้นโหดร้าย เื่ไม่ได้เป็ไปตามที่เขาคาดหวังไว้
"การทำงานต้องมีขั้นตอน เขาต้องถามให้แน่อยู่แล้ว"
หมี่หลันเยว่อธิบายให้เด็กชายฟังอย่างอดทน ตำรวจหนุ่มที่กำลังสอบถามอยู่ มองเธออย่างประหลาดใจ
ยังมีการทำงาน ยังมีขั้นตอน เด็กคนนี้ฉลาดเป็กรดจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ออกมาตั้งแผงเองได้ ไม่ใช่แค่กล้าหาญ สมองก็ไม่ธรรมดา
"เด็กน้อย เธอชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน"
หมี่หลันเยว่รู้ว่าเธอต้องตอบคำถามนี้ เธอไม่อยากแจ้งตำรวจ ก็เพราะกลัวขั้นตอนพวกนี้นี่แหละ เพราะเธอยังเด็กอยู่ ถ้าแจ้งตำรวจไป ตำรวจก็ต้องแจ้งให้ผู้ใหญ่ที่บ้านทราบ ถึงตอนนั้น ธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ของเธอกับพี่ชายก็ต้องถูกเปิดโปง
แต่ในเมื่อตำรวจมาแล้ว เธอกับพี่ชายก็ไม่สามารถเก็บความลับไว้ได้แล้ว เมื่อคิดถึงธุรกิจของเธอกับพี่ชายที่เพิ่งจะเริ่มมาได้เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น แถมรายได้ก็ยังดีขนาดนี้ ถ้าพ่อแม่ห้ามพี่น้องคู่นี้ ไม่ให้ออกมาตั้งแผงขาย ก็ถือเป็การสูญเสียครั้งใหญ่ และความเป็ไปได้ที่พ่อแม่จะห้ามก็มีมากด้วย ทั้งหมดก็เป็เพราะคนคนนั้น
แต่จะโกรธไปก็เท่านั้น ตำรวจมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ต้องเผชิญหน้า
"หนูชื่อหมี่หลันเยว่ ปีนี้อายุห้าขวบ บ้านอยู่ที่..."
หมี่หลันเยว่ถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่รู้ว่าจะบอกที่อยู่บ้านตัวเองยังไง
เพราะตอนนี้ไม่มีถนนหนทางอะไรนี่นา จะบอกว่าบ้านอยู่ใกล้เนินเขาได้อย่างไร เธอหันไปมองพี่ชาย พี่ชายก็ทำหน้างง เธอจึงบอกกับคุณตำรวจว่า
"ขอโทษค่ะ คุณลุงตำรวจ พวกเราไม่รู้ว่าจะบอกที่อยู่ยังไง"
ตำรวจหนุ่มหัวเราะ เด็กคนนี้น่ารักเหลือเกิน
"อย่างนั้นเธอเล่ารายละเอียดให้ลุงฟังหน่อยสิว่าคนที่เอาหนังสือไปเมื่อกี้หน้าตาเป็ยังไง เผื่อลุงจะช่วยตามหาหนังสือคืนมาให้ได้"
ในเมื่อเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว หมี่หลันเยว่ก็อยากให้เขาช่วยจับคนร้ายจริงๆ อย่างนั้นก็จะไม่มีใครกล้ามาทำอะไรแผงหนังสือของเธอได้อีกแล้ว ตอนแรกที่ไม่อยากแจ้งตำรวจ ก็เพราะไม่อยากให้คนในบ้านรู้ แต่ในเมื่อไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว อย่างนั้นก็ขู่ให้คนอื่นเกรงกลัวเสียเลย
"เขาน่าจะอายุสิบเจ็ดสิบแปด สูงประมาณหนึ่งเมตรเจ็ดสิบห้า ผอม ผิวขาวกว่าผู้ชายทั่วไป ผมยาวเล็กน้อย แสกข้าง ชอบใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้าขาว กางเกงขากระบอกสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าผ้าใบสีขาว อ้อ ใช่แล้ว ติ่งหูใหญ่ หูซ้ายมีไฝ"
รายละเอียดขนาดนี้ ตำรวจหลิวถึงกับต้องประหลาดใจ เด็กหญิงคนนี้ทำให้หลิวชิงเวยต้องประเมินเธอใหม่ เขาไม่ต้องสืบอะไรแล้ว คุณตำรวจหลิวรู้แล้วว่าคนร้ายเป็ใคร แถวนี้ก็มีคนอยู่แค่นี้ เขาคุ้นเคยกับทุกคนดีอยู่แล้ว แต่การที่จะไขคดีได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ก็ต้องขอบคุณความสามารถในการสังเกตของเด็กคนนี้
"เธอและพี่ชายรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวลุงไปช่วยตามหาหนังสือให้"
หลิวชิงเวยบอกลาหมี่หลันเยว่ แล้วหันหลังไปตามหาคนร้าย หนังสือการ์ตูนสามเล่ม ไม่คุ้มค่าที่จะจับคนร้ายจริงๆ แต่ก็ควรจะอบรมสั่งสอนเสียหน่อย
ไม่ต้องเสียเวลามาก หลิวชิงเวยก็ลากตัวคนร้ายออกมาจากบ้านได้ ตอนที่ไปถึงบ้านของคนร้าย ไอ้หมอนี่กำลังนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีสนุกสนาน หลิวชิงเวยถึงกับหัวเราะไม่ออก
"นี่นายทำผิดกฎหมายข้อหาร้ายแรง รู้ไหม แย่งชิงมันร้ายแรงกว่าลักขโมยอีกนะ โชคดีที่เด็กไม่ได้ไล่ตามนายไป ถ้าไล่ตามไป นายก็คงต้องทำร้ายเด็กแน่ ถ้าทำร้ายคนาเ็ โทษก็จะยิ่งหนักเข้าไปอีก ทำร้ายร่างกายคนอื่นโดยเจตนา อย่าว่าแต่ติดคุกสองสามวันเลย ศาลตัดสินนายก็ถือว่าเบาแล้ว"